หญิงสาวที่กำลังมีหน้าที่การงานที่มั่นคงในยุคปัจจุบันทั้งยังสร้างความก้าวหน้าให้ชีวิตด้วยการเรียนต่อปริญญาโทอีก แต่ว่าชะตากลับมาพลิกผันเมื่อเธอทำงานหนักมากเกินไปจนต้องจบชีวิตลงแล้วมาเข้าร่างของหญิงสาวในยุค 70's ที่ต้องตายด้วยความรันทดภายในบ้านของอดีตสามี เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในความรับผิดชอบ เด็กชายวัยห้าขวบหน้าตาน่ารักกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ เพราะคิดว่าแม่ของเขาได้ตายไปแล้ว เมื่อความทรงจำทั้งหมดพรั่งพรูเข้ามาเธอก็รู้ว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องฮึดสู้และพาชีวิตของพวกเขาออกไปสู่วันที่ดีกว่า
Узнайте большеบนชั้นสิบสี่ในตึกแห่งหนึ่งใจกลางกรุงปักกิ่ง ท่ามกลางความวุ่นวายในอาคารสำนักงานหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับงานที่กองจนแทบจะสูงท่วมหัว ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ต่างก็มีชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน
เจินเหยาหญิงสาววัยสามสิบปีผู้มุ่งมั่นในการทำงานและการเรียน หลังจากใช้เวลาในวัยหนุ่มสาวไปกับการทำงานเพื่อสร้างฐานะ เจินเหยาได้เข้าทำงานในบริษัทส่งออกวัตถุดิบจำพวกอาหารแห้งจากประเทศจีน งานของเธอเกี่ยวข้องกับการติดต่อประสานงานกับลูกค้าต่างประเทศ รวมถึงการจัดการเรื่องเอกสารศุลกากรเพื่อส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยความรับผิดชอบและความสามารถที่โดดเด่น เจินเหยาได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารและได้รับมอบหมายงานที่ท้าทายอยู่เสมอ
หลังจากส่งอีเมลแจ้งข่าวดีให้กับลูกค้าและหัวหน้าแล้วเจินเหยาก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เธอหันมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่ม วันนี้เป็นวันที่งานของเธอต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ เมื่อสินค้าไม่ผ่านด่านศุลกากรขาเข้าของประเทศปลายทาง ทำให้เกิดความล่าช้าและอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท เจินเหยาจำเป็นต้องรีบแก้ไขสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เธอจึงติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายศุลกากรและลูกค้าที่ต่างประเทศ การแก้ปัญหาเหล่านี้ใช้เวลาหลายชั่วโมงจนในที่สุดก็สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้สำเร็จ แต่กว่าจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จสิ้นก็เล่นเอาดึกดื่น
“เสี่ยวเหยา พี่จะกลับบ้านแล้วนะ เหนื่อยหน่อยนะวันนี้” เสียงของลี่หยุน เพื่อนร่วมงานที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ กล่าวขึ้น
เจินเหยาที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หันมาสบตากับลี่หยุนแล้วพยักหน้าเบา ๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “อือ ขอบคุณมากค่ะหยุนเจี่ย กลับดี ๆ นะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
“แน่ใจนะว่าไม่กลับพร้อมกัน วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากเลย อย่าหักโหมเกินไปล่ะ” ลี่หยุนพูดด้วยความเป็นห่วง พลางมองดูเจินเหยาที่ยังทำงานไม่เสร็จ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการ” เจินเหยาตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าได้
ลี่หยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “โอเค งั้นพี่ไปก่อนนะ แล้วอย่าอยู่ดึกจนเกินไปล่ะ” หลังจากนั้นเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าและออกจากออฟฟิศ
เจินเหยาหันกลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ในใจเธอรู้ดีว่าตัวเองควรจะหยุดพัก แต่ความกังวลเกี่ยวกับงานทำให้เธอไม่สามารถหยุดพักได้เลย
"วันนี้ต้องกลับบ้านดึกอีกแล้วสินะ" เธอพึมพำกับตัวเองขณะที่เก็บของลงในกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน ถึงแม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่จิตใจกลับไม่ยอมแพ้ เธอยังคงมุ่งมั่นและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเสมอ
เจินเหยากลับมาถึงบ้านในสภาพที่เหนื่อยล้าเต็มที ทันทีที่เปิดประตูห้องเช่าเล็ก ๆ ออก ความเงียบสงบภายในห้องทำให้เธอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ห้องนี้แม้จะไม่หรูหราแต่ก็เป็นที่พักผ่อนที่เจินเหยาหวงแหนที่สุด เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
"ไม่ไหวแล้วจริง ๆ วันนี้" เจินเหยาพึมพำกับตัวเองพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับที่ปวดตึงจากความเครียด การทำงานหนักมาทั้งวันไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับเธอ เธอเคยชินกับการที่ต้องทำงานจนดึกดื่นไปเสียแล้ว
หลังจากพักสายตาอยู่ครู่หนึ่งเจินเหยาก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งมีคอมมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและหนังสือเรียนวางอยู่อย่างเรียบร้อย เธอกำลังเรียนปริญญาโทในคณะบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะต้องจบการศึกษาให้ได้ภายในภาคการศึกษานี้ ไม่เพียงแค่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองแต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายงานที่เธอรักอีกด้วย
การเรียนปริญญาโทควบคู่ไปกับการทำงานเต็มเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเจินเหยา การจัดการเวลาให้ลงตัวระหว่างการทำงานและการเรียนเป็นสิ่งที่เธอต้องฝึกฝนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบริหารเวลาและแรงกายในการทำวิทยานิพนธ์
เมื่อเปิดคอมพิวเตร์โน้ตบุ๊กขึ้นมาก็เริ่มต้นทำงานวิทยานิพนธ์ทันที แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่เธอก็ไม่ยอมให้ตัวเองหยุด เธอเข้าใจดีว่าการทำวิทยานิพนธ์ต้องใช้ความทุ่มเทและความใส่ใจในรายละเอียดมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอมีอยู่เสมอ
“ต้องทำให้เสร็จเร็วที่สุด” เจินเหยาพูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและกราฟต่าง ๆ
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปเธอยังคงนั่งทำงานด้วยความตั้งใจ แสงไฟจากโคมไฟบนโต๊ะทำงานเป็นแหล่งแสงสว่างเดียวที่มีในห้องขณะนี้ เจินเหยารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแต่ก็ถอดใจไม่ได้ สมองของเธอหมุนไปพร้อมกับข้อมูลและทฤษฎีต่าง ๆ ที่ต้องเขียนลงไป
ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาเจินเหยาดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน เธอทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำงานและการเรียนซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้ ทั้งสองอย่างต้องใช้พลังงานอย่างมากทำให้เจินเหยาแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับการดูแลตัวเอง
ทุกเย็นหลังจากทำงานเสร็จเธอจะกลับมาบ้านและเริ่มทำวิทยานิพนธ์ต่อทันที บ่อยครั้งที่เจินเหยานั่งทำงานจนลืมเวลา ข้าวปลาไม่ยอมกิน นอนพักเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ตื่นมาทำงานต่อเป็นวัฏจักร ร่างกายของเธอเริ่มเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้จึงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหยุดพัก
เช้าวันหนึ่งหลังจากคืนที่เธอทำวิทยานิพนธ์จนโต้รุ่ง เจินเหยาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เกินกว่าจะบรรยายได้ แต่เธอก็ยังคงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและเตรียมตัวไปทำงานที่บริษัทเหมือนเช่นทุกวัน เธอเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนชุด ในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำอยู่นั้นความปวดหัวที่เธอเคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้เริ่มรุนแรงขึ้น
"ทำไมถึงปวดหัวขนาดนี้" เจินเหยาพึมพำกับตัวเองขณะที่น้ำไหลรดผ่านใบหน้าและไหล่ ความรุนแรงของอาการปวดหัวทำให้เธอต้องเอามือจับศีรษะพยายามบรรเทาความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างหมุนรอบตัวเอง ภาพที่เห็นเริ่มพร่ามัวและเสียงในหัวก็เหมือนจะดังก้องขึ้นมา
เธอรีบปิดน้ำแล้วพยุงตัวออกจากห้องน้ำอย่างยากลำบาก ขาเริ่มอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว จากนั้นก็เดินโซเซไปที่เตียงนอนและทิ้งตัวลงนั่ง พยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายสงบลง แต่ความปวดหัวกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เธอรู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป
"นี่มันอะไรกันเนี่ย..." เธอพูดด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยินเองขณะที่พยายามเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ ๆ ตั้งใจจะโทรเรียกรถพยาบาลเพราะรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเป็นอะไรที่มากกว่าความเหนื่อยล้าธรรมดา
มือของเจินเหยาสั่นขณะที่กดเบอร์โทรฉุกเฉิน ร่างกายเริ่มไม่มีแรงที่จะประคองตัวเองอีกต่อไป ความรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้แทบไม่สามารถคิดอะไรได้อีก เธอกดหมายเลขโทรออกและยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู แต่ก่อนที่จะพูดอะไรได้ก็รู้สึกว่าความมืดมิดค่อย ๆ กลืนกินสติไปจนหมดสิ้น
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่รับสายได้ยินเสียงการโทรเข้ามา แต่ไม่มีเสียงพูดจากเจินเหยา พวกเขาพยายามเรียกและถามชื่อหรือที่อยู่ของผู้ที่โทรมา แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความเงียบสงัด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกังวลว่าผู้ที่โทรมาอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
"สวัสดีค่ะ…มีเรื่องเร่งด่วนอะไรให้ช่วยเหรอคะ" เจ้าหน้าที่พูดคำนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง
เจินเหยานอนหมดสติอยู่บนเตียง โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้นห้อง เธอไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไป ร่างกายที่เคยแข็งแรงและเต็มไปด้วยพลังงานตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของตัวตนเดิมที่กำลังลอยลับไปในความมืด
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเจินเหยาอยู่ในสภาพใด ไม่มีใครมาช่วยเธอในเวลานั้น ความเงียบงันและความเหน็บหนาวเข้ามากลืนกินห้องเล็ก ๆ สติสัมปชัญญะของเจินเหยาเริ่มหลุดลอยออกไปเรื่อย ๆ เหมือนกับตกลงไปในความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีเสียงใด ๆ เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าที่ทับถมเข้ามาเท่านั้น
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นทีมกู้ภัยของโรงพยาบาลได้รับแจ้งจากศูนย์ว่ามีสายโทรศัพท์ที่น่าสงสัยมาจากเบอร์โทรศัพท์ของเจินเหยา พวกเขาเร่งออกไปยังสถานที่ตามที่ได้รับแจ้งเพื่อหาผู้ที่อาจจะประสบเหตุการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่ทางโรงพยาบาลก็พยายามติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังไม่มีใครตอบรับ
ในขณะที่ร่างกายของเจินเหยาเริ่มเข้าสู่สภาวะไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป ประตูห้องของเธอถูกเปิดออกโดยทีมกู้ภัยที่รีบรุดเข้ามาตามการแจ้งเหตุ พวกเขาพบหญิงสาวนอนหมดสติอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและไม่มีสัญญาณของการตอบสนองใด ๆ
"เธอไม่หายใจแล้ว" หนึ่งในทีมกู้ภัยตะโกนขึ้นอย่างเร่งรีบ ขณะที่คนอื่น ๆ พยายามทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างทำงานอย่างเร่งรีบเพื่อพยายามช่วยชีวิตเธอ
เจินเหยาในขณะนี้เหมือนจะหลุดพ้นจากความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมด ร่างกายของเธอไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอีกต่อไป ทุกอย่างเงียบสงัดและไม่มีเสียงรบกวน ทุกความคิดและความรู้สึกเริ่มจางหายไปเหมือนกับแสงไฟที่ค่อย ๆ ดับลง
ความรู้สึกสุดท้ายที่เธอรู้สึกคือการหลุดพ้นจากโลกที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เสียงต่าง ๆ ค่อย ๆ หายไปในระยะไกล ขณะที่เธอจมดิ่งลงไปในความเงียบงันที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ตอนพิเศษ 6ครอบครัวสุขสันต์ สิบปีผ่านไปกิจการของเว่ยเถียนเถียนเติบโตจนกลายเป็นน้ำเต้าหู้ยี่ห้อดังที่ขายในร้านค้าทั่วประเทศจีน สินค้าอย่างอื่นก็เช่นกันตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักผลิตภัณฑ์เต้าหู้ของหยางเว่ยคอมปานีแล้ว หากจะซื้อเต้าหู้มาทำอาหารผู้คนจะนึกถึงเต้าหู้ยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อแรก “แม่ค่ะ วันนี้พวกเราทำหม้อไฟซุปเต้าหู้ยี้กินกันดีไหมคะ อากาศหนาวแล้วหนูอยากกินอะไรอุ่น ๆ ค่ะ” เด็กหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น เธอเดินเคียงข้างกับแม่ของเธอเพื่อเลือกซื้อของในร้านสะดวกซื้อเอาไปทำอาหารเย็นกินกันในวันที่อากาศหนาว “ก็ดีเหมือนกัน กินอะไรร้อน ๆ จะได้โล่งคอหน่อย ยิ่งช่วยนี้พ่อทำงานหนักด้วยได้กินหม้อไฟซุปเต้าหู้ยี้คงจะดี” คนเป็นแม่เห็นด้วยเช่นกัน ท
ตอนพิเศษ 5เจ้าตัวเล็ก เวลาผ่านไปอย่างรวเร็วจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเจ็ดเดือนแล้ว เว่ยเถียนเถียนท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที ทั้งพ่อและแม่สามีต่างก็เตือนเธอว่าช่วงนี้ให้เลิกโหมงานหนักได้แล้วเพราะใกล้คลอดจะต้องรักษาสุขภาพให้ดี ไม่งั้นเดี๋ยวจะคลอดยาก แต่ว่าเว่ยเถียนเถียนเป็นหญิงสาวที่มาจากยุคสมัยใหม่ คนในยุคสมัยของเธอต่อให้ท้องแก่ใกล้คลอดก็ยังคงทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง เธอจึงไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ว่าจะคลอดยากแต่อย่างใด อีกอย่างตอนนี้โรงพยาบาลก็เริ่มมีความก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว การผ่าคลอดก็เริ่มมีบ้างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงสักเท่าไร “เถียนเถียนหยุดทำงานได้แล้วลูก พักผ่อนซะบ้าง อีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้วนะ” แม่หยางกล่าวกับเว่ยเถียนเถียนด้วยความเป็นห่วง&
ตอนพิเศษ 4สมาชิกใหม่ เป็นเพราะว่ากิจการของเว่ยเถียนเถียนเติบโตขึ้นมาก ที่โรงงานผลิตสินค้าออกมามากมายทั้งส่งออกไปให้กับลูกค้าเจ้าใหญ่ที่สั่งประจำ ทั้งลูกค้าร้านเล็ก ๆ ที่มาสั่งบ้างประปรายแค่นี้ก็มากมายจนล้นมือแล้ว แต่สำหรับเว่ยเถียนเถียนนั้นเธอยังคิดว่าเพียงแค่นี้ยังไม่พอ เพราะในอนาคตเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศเธอก็จะได้ส่งสินค้าไปขายที่ต่างประเทศ ดังนั้นการเตรียมการไว้ตั้งแต่ตอนนี้ย่อมดีกว่า เว่ยเถียนเถียนสั่งขยายโรงงานเพิ่มอีก เธอตั้งใจจะเปลี่ยนตึกแถวที่เธออยู่ตอนนี้ซึ่งเลิกเปิดเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้นานแล้วให้เป็นหน้าร้านใหญ่เพื่อขายสินค้า เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นย่านการค้าและใกล้กับย่านอาหารจึงคิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะอย่างน้อยหากของที่ร้านอาหารที่เป็นลูกค้าของเธอหมดกะทันหันก็จะได้วิ่งมาเอาที่นี่ได้ อีกอย่างยังง่ายต่อลูกค้ารายย่อยที่มาซื้อวัตถุดิบไปทำอา
ตอนพิเศษ 3พ่อมารับ บรรยากาศช่วงเลิกเรียนที่โรงเรียนประถมเต็มไปด้วยความครึกครื้น เด็ก ๆ ที่เรียนหนักมาทั้งวันต่างก็อยากลับไปพักผ่อนที่บ้านเต็มที บางคนที่ผู้ปกครองมารับก็เดินไปพบกับผู้ปกครองที่รออยู่แล้ว ส่วนเด็กที่โตหน่อยจะกลับบ้านเองก็พากันทยอยเดินออกจากประตูโรงเรียน
ตอนพิเศษ 2เด็กน้อยไปโรงเรียนจางเสวียอี้ตอนนี้อายุจะแปดขวบแล้วถึงเวลาต้องไปโรงเรียนเสียที สมัยนี้การศึกษาค่อนข้างสำคัญเพราะถ้าใครได้รับการศึกษาที่ดีกว่าก็ย่อมจะได้เปรียบกว่าคนอื่น ยิ่งมหาวิทยาลัยเปิดแล้ว คิดว่าต่อไปบ้านเมืองคงเป็นไปในทางที่ดีขึ้นและจางเสวียอี้ก็อาจจะมีอนาคตที่ดีเว่ยเถียนเถียนพาจางเสวียอี้ไปสมัครเรียนที่โรงเรียนประถมของเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขามากนัก ที่โรงเรียมานักเรียนมากมาย เด็กชายเองก็ตื่นเต้นมากที่จะได้เรียนหนังสือจะได้มีเพื่อน“นี่เป็นหนังสือแล้วก็แบบเรียนทั้งหมดนะคะ คุณแม่ไปชำระค่าธรรมเนียมการศึกษากับค่าหนังสือได้ที่ห้องการเงินเลย เดี๋ยวฉันจัดการเตรียมของไว้ให้” ครูผู้ที่จะเป็นครูประจำชั้นของจางเสวียอี้บอก เธอเตรียมการไว้ให้เสร็จสรรพ เว่ยเถียนเถียนมีหน้าที่เพียงแค่จ่ายเงินเท่านั้น“ขอบคุณมากค่ะครูฟาง ฝากเสวียอี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันไปจ่ายเงินก่อน” เว่ยเถียนเถียนพูดจบก็เดินไปที่ห้
ตอนพิเศษ 1คืนเข้าหอดั่งทองพันชั่ง ในห้องหอที่ตกแต่งอย่างสวยงามในวันแต่งงาน แสงจากโคมไฟหรูหราส่องสว่างทั่วทั้งห้องสะท้อนกับผนังสีครีมที่ประดับด้วยดอกไม้และผ้าซาตินสีขาวดูอ่อนหวาน สร้างบรรยากาศแห่งความรักที่อบอวลอยู่ในอากาศหยางป๋อนั่งอยู่บนเตียงที่เรียงรายด้วยหมอนและผ้าห่มนุ่ม เขายังรู้สึกได้ถึงอาการมึนเมาจากการดื่มเหล้าตลอดงาน เขาหันไปมองเว่ยเถียนเถียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอสวมชุดเจ้าสาวที่สวยงามพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขทำให้ใจของเขาพองโต สายตาที่ทั้งสองมองกันนั้นเต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจ“วันนี้เป็นวันพิเศษจริง ๆ เลยนะ” เว่ยเถียนเถียนกล่าวเสียงเบาแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก“ใช่แล้ว” หยางป๋อยิ้มตอบ เขายื่นมือไปจับมือเธอไว้แนบชิดกันและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของมือเธอ “ผมยังไม่อยากให้คืนนี้จบลงเลย”เว่ยเถียนเถียนมองเขาด้วยความรักก่อนที่จะโ
Комментарии