หญิงสาวที่กำลังมีหน้าที่การงานที่มั่นคงในยุคปัจจุบันทั้งยังสร้างความก้าวหน้าให้ชีวิตด้วยการเรียนต่อปริญญาโทอีก แต่ว่าชะตากลับมาพลิกผันเมื่อเธอทำงานหนักมากเกินไปจนต้องจบชีวิตลงแล้วมาเข้าร่างของหญิงสาวในยุค 70's ที่ต้องตายด้วยความรันทดภายในบ้านของอดีตสามี เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในความรับผิดชอบ เด็กชายวัยห้าขวบหน้าตาน่ารักกำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ เพราะคิดว่าแม่ของเขาได้ตายไปแล้ว เมื่อความทรงจำทั้งหมดพรั่งพรูเข้ามาเธอก็รู้ว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องฮึดสู้และพาชีวิตของพวกเขาออกไปสู่วันที่ดีกว่า
View Moreบนชั้นสิบสี่ในตึกแห่งหนึ่งใจกลางกรุงปักกิ่ง ท่ามกลางความวุ่นวายในอาคารสำนักงานหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับงานที่กองจนแทบจะสูงท่วมหัว ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ต่างก็มีชะตากรรมที่ไม่ต่างกัน
เจินเหยาหญิงสาววัยสามสิบปีผู้มุ่งมั่นในการทำงานและการเรียน หลังจากใช้เวลาในวัยหนุ่มสาวไปกับการทำงานเพื่อสร้างฐานะ เจินเหยาได้เข้าทำงานในบริษัทส่งออกวัตถุดิบจำพวกอาหารแห้งจากประเทศจีน งานของเธอเกี่ยวข้องกับการติดต่อประสานงานกับลูกค้าต่างประเทศ รวมถึงการจัดการเรื่องเอกสารศุลกากรเพื่อส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยความรับผิดชอบและความสามารถที่โดดเด่น เจินเหยาได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารและได้รับมอบหมายงานที่ท้าทายอยู่เสมอ
หลังจากส่งอีเมลแจ้งข่าวดีให้กับลูกค้าและหัวหน้าแล้วเจินเหยาก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เธอหันมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่ม วันนี้เป็นวันที่งานของเธอต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ เมื่อสินค้าไม่ผ่านด่านศุลกากรขาเข้าของประเทศปลายทาง ทำให้เกิดความล่าช้าและอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท เจินเหยาจำเป็นต้องรีบแก้ไขสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เธอจึงติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายศุลกากรและลูกค้าที่ต่างประเทศ การแก้ปัญหาเหล่านี้ใช้เวลาหลายชั่วโมงจนในที่สุดก็สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้สำเร็จ แต่กว่าจะจัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จสิ้นก็เล่นเอาดึกดื่น
“เสี่ยวเหยา พี่จะกลับบ้านแล้วนะ เหนื่อยหน่อยนะวันนี้” เสียงของลี่หยุน เพื่อนร่วมงานที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ กล่าวขึ้น
เจินเหยาที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หันมาสบตากับลี่หยุนแล้วพยักหน้าเบา ๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “อือ ขอบคุณมากค่ะหยุนเจี่ย กลับดี ๆ นะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
“แน่ใจนะว่าไม่กลับพร้อมกัน วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากเลย อย่าหักโหมเกินไปล่ะ” ลี่หยุนพูดด้วยความเป็นห่วง พลางมองดูเจินเหยาที่ยังทำงานไม่เสร็จ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการ” เจินเหยาตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความเหนื่อยล้าได้
ลี่หยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “โอเค งั้นพี่ไปก่อนนะ แล้วอย่าอยู่ดึกจนเกินไปล่ะ” หลังจากนั้นเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าและออกจากออฟฟิศ
เจินเหยาหันกลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ในใจเธอรู้ดีว่าตัวเองควรจะหยุดพัก แต่ความกังวลเกี่ยวกับงานทำให้เธอไม่สามารถหยุดพักได้เลย
"วันนี้ต้องกลับบ้านดึกอีกแล้วสินะ" เธอพึมพำกับตัวเองขณะที่เก็บของลงในกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน ถึงแม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยล้าแต่จิตใจกลับไม่ยอมแพ้ เธอยังคงมุ่งมั่นและตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเสมอ
เจินเหยากลับมาถึงบ้านในสภาพที่เหนื่อยล้าเต็มที ทันทีที่เปิดประตูห้องเช่าเล็ก ๆ ออก ความเงียบสงบภายในห้องทำให้เธอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ห้องนี้แม้จะไม่หรูหราแต่ก็เป็นที่พักผ่อนที่เจินเหยาหวงแหนที่สุด เธอวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
"ไม่ไหวแล้วจริง ๆ วันนี้" เจินเหยาพึมพำกับตัวเองพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับที่ปวดตึงจากความเครียด การทำงานหนักมาทั้งวันไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับเธอ เธอเคยชินกับการที่ต้องทำงานจนดึกดื่นไปเสียแล้ว
หลังจากพักสายตาอยู่ครู่หนึ่งเจินเหยาก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งมีคอมมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและหนังสือเรียนวางอยู่อย่างเรียบร้อย เธอกำลังเรียนปริญญาโทในคณะบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะต้องจบการศึกษาให้ได้ภายในภาคการศึกษานี้ ไม่เพียงแค่เป็นการพิสูจน์ความสามารถของตัวเองแต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายงานที่เธอรักอีกด้วย
การเรียนปริญญาโทควบคู่ไปกับการทำงานเต็มเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเจินเหยา การจัดการเวลาให้ลงตัวระหว่างการทำงานและการเรียนเป็นสิ่งที่เธอต้องฝึกฝนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบริหารเวลาและแรงกายในการทำวิทยานิพนธ์
เมื่อเปิดคอมพิวเตร์โน้ตบุ๊กขึ้นมาก็เริ่มต้นทำงานวิทยานิพนธ์ทันที แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่เธอก็ไม่ยอมให้ตัวเองหยุด เธอเข้าใจดีว่าการทำวิทยานิพนธ์ต้องใช้ความทุ่มเทและความใส่ใจในรายละเอียดมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอมีอยู่เสมอ
“ต้องทำให้เสร็จเร็วที่สุด” เจินเหยาพูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและกราฟต่าง ๆ
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปเธอยังคงนั่งทำงานด้วยความตั้งใจ แสงไฟจากโคมไฟบนโต๊ะทำงานเป็นแหล่งแสงสว่างเดียวที่มีในห้องขณะนี้ เจินเหยารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแต่ก็ถอดใจไม่ได้ สมองของเธอหมุนไปพร้อมกับข้อมูลและทฤษฎีต่าง ๆ ที่ต้องเขียนลงไป
ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาเจินเหยาดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน เธอทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำงานและการเรียนซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้ ทั้งสองอย่างต้องใช้พลังงานอย่างมากทำให้เจินเหยาแทบไม่มีเวลาเหลือสำหรับการดูแลตัวเอง
ทุกเย็นหลังจากทำงานเสร็จเธอจะกลับมาบ้านและเริ่มทำวิทยานิพนธ์ต่อทันที บ่อยครั้งที่เจินเหยานั่งทำงานจนลืมเวลา ข้าวปลาไม่ยอมกิน นอนพักเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ตื่นมาทำงานต่อเป็นวัฏจักร ร่างกายของเธอเริ่มเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้จึงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหยุดพัก
เช้าวันหนึ่งหลังจากคืนที่เธอทำวิทยานิพนธ์จนโต้รุ่ง เจินเหยาก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เกินกว่าจะบรรยายได้ แต่เธอก็ยังคงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและเตรียมตัวไปทำงานที่บริษัทเหมือนเช่นทุกวัน เธอเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนชุด ในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำอยู่นั้นความปวดหัวที่เธอเคยรู้สึกมาก่อนหน้านี้เริ่มรุนแรงขึ้น
"ทำไมถึงปวดหัวขนาดนี้" เจินเหยาพึมพำกับตัวเองขณะที่น้ำไหลรดผ่านใบหน้าและไหล่ ความรุนแรงของอาการปวดหัวทำให้เธอต้องเอามือจับศีรษะพยายามบรรเทาความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างหมุนรอบตัวเอง ภาพที่เห็นเริ่มพร่ามัวและเสียงในหัวก็เหมือนจะดังก้องขึ้นมา
เธอรีบปิดน้ำแล้วพยุงตัวออกจากห้องน้ำอย่างยากลำบาก ขาเริ่มอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว จากนั้นก็เดินโซเซไปที่เตียงนอนและทิ้งตัวลงนั่ง พยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายสงบลง แต่ความปวดหัวกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เธอรู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป
"นี่มันอะไรกันเนี่ย..." เธอพูดด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยินเองขณะที่พยายามเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ ๆ ตั้งใจจะโทรเรียกรถพยาบาลเพราะรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเป็นอะไรที่มากกว่าความเหนื่อยล้าธรรมดา
มือของเจินเหยาสั่นขณะที่กดเบอร์โทรฉุกเฉิน ร่างกายเริ่มไม่มีแรงที่จะประคองตัวเองอีกต่อไป ความรู้สึกเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้แทบไม่สามารถคิดอะไรได้อีก เธอกดหมายเลขโทรออกและยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู แต่ก่อนที่จะพูดอะไรได้ก็รู้สึกว่าความมืดมิดค่อย ๆ กลืนกินสติไปจนหมดสิ้น
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่รับสายได้ยินเสียงการโทรเข้ามา แต่ไม่มีเสียงพูดจากเจินเหยา พวกเขาพยายามเรียกและถามชื่อหรือที่อยู่ของผู้ที่โทรมา แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความเงียบสงัด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกังวลว่าผู้ที่โทรมาอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
"สวัสดีค่ะ…มีเรื่องเร่งด่วนอะไรให้ช่วยเหรอคะ" เจ้าหน้าที่พูดคำนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง
เจินเหยานอนหมดสติอยู่บนเตียง โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้นห้อง เธอไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไป ร่างกายที่เคยแข็งแรงและเต็มไปด้วยพลังงานตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงเงาของตัวตนเดิมที่กำลังลอยลับไปในความมืด
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเจินเหยาอยู่ในสภาพใด ไม่มีใครมาช่วยเธอในเวลานั้น ความเงียบงันและความเหน็บหนาวเข้ามากลืนกินห้องเล็ก ๆ สติสัมปชัญญะของเจินเหยาเริ่มหลุดลอยออกไปเรื่อย ๆ เหมือนกับตกลงไปในความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีเสียงใด ๆ เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าที่ทับถมเข้ามาเท่านั้น
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นทีมกู้ภัยของโรงพยาบาลได้รับแจ้งจากศูนย์ว่ามีสายโทรศัพท์ที่น่าสงสัยมาจากเบอร์โทรศัพท์ของเจินเหยา พวกเขาเร่งออกไปยังสถานที่ตามที่ได้รับแจ้งเพื่อหาผู้ที่อาจจะประสบเหตุการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่ทางโรงพยาบาลก็พยายามติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังไม่มีใครตอบรับ
ในขณะที่ร่างกายของเจินเหยาเริ่มเข้าสู่สภาวะไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป ประตูห้องของเธอถูกเปิดออกโดยทีมกู้ภัยที่รีบรุดเข้ามาตามการแจ้งเหตุ พวกเขาพบหญิงสาวนอนหมดสติอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียวและไม่มีสัญญาณของการตอบสนองใด ๆ
"เธอไม่หายใจแล้ว" หนึ่งในทีมกู้ภัยตะโกนขึ้นอย่างเร่งรีบ ขณะที่คนอื่น ๆ พยายามทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างทำงานอย่างเร่งรีบเพื่อพยายามช่วยชีวิตเธอ
เจินเหยาในขณะนี้เหมือนจะหลุดพ้นจากความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมด ร่างกายของเธอไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอีกต่อไป ทุกอย่างเงียบสงัดและไม่มีเสียงรบกวน ทุกความคิดและความรู้สึกเริ่มจางหายไปเหมือนกับแสงไฟที่ค่อย ๆ ดับลง
ความรู้สึกสุดท้ายที่เธอรู้สึกคือการหลุดพ้นจากโลกที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เสียงต่าง ๆ ค่อย ๆ หายไปในระยะไกล ขณะที่เธอจมดิ่งลงไปในความเงียบงันที่ไม่มีที่สิ้นสุด
บทที่ 25ร้านใหม่หลังจากที่ได้พบกันในครั้งนี้เว่ยเถียนเถียนรู้สึกมั่นใจในตัวหยางป๋อมากยิ่งขึ้น ทุกการกระทำและคำพูดของเขาในวันที่ช่วยเธอจากคนร้ายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักและความห่วงใยที่เขามีต่อเธอ เขาไม่เพียงแค่ปกป้องเธอจากภัยอันตรายแต่ยังยืนหยัดเคียงข้างเธอในทุกสถานการณ์ ความเชื่อมั่นและความรักที่เขามีให้เป็นสิ่งที่เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรักที่เว่ยเถียนเถียนมีต่อหยางป๋อเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและความมั่นคงที่เขามอบให้ ความห่วงใยและความตั้งใจจริงของหยางป๋อทำให้เธอเปิดใจให้เขาเต็มที่ เธอไม่กลัวที่จะรักเขาอย่างหมดใจ เพราะรู้ว่าเขาคือคนที่รักเธอมากที่สุดกลับมาถึงร้านเว่ยเถียนเถียนเห็นหลินเสี่ยวเป้ยกับลูกชายกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น สถานการณ์ในร้านคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีคนสั่งซื้อฟองเต้าหู้มากมาย เธอยิ้มออกมาเมื่อเห็นความตั้งใจของทุกคนจางเสวียอี้เห็นแม่ของเขากลับมาก็วิ่งมากอดขาด้วยความดีใจ"แม่กลับมาแล้
บทที่ 24ต้องกำจัดเย็นวันนั้นเว่ยเถียนเถียนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักของโรงแรมที่เธอพักอยู่ ความเงียบสงบของช่วงเย็นทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย แต่ความสงบนั้นกลับถูกทำลายเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรุนแรง เธอเดินไปเปิดประตูด้วยความสงสัย และเมื่อเปิดออกมาก็ต้องตะลึงเมื่อผู้ชายสองคนที่เธอไม่รู้จักบุกเข้ามาในห้องทันที"เธอคือเว่ยเถียนเถียนใช่ไหม" หนึ่งในนั้นถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่เว่ยเถียนเถียนพยายามถอยหลัง แต่ถูกดันให้ถอยจนชนกับผนังห้อง "ใช่...พวกคุณต้องการอะไร"ชายคนหนึ่งยิ้มเย็น "มีคนสั่งพวกเราให้มาสั่งสอนเธอ ให้เธอรู้ว่าไม่ควรยุ่งกับคนของคนอื่น"พวกมันเริ่มเข้ามาใกล้ เว่ยเถียนเถียนรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น เธอพยายามถอยหลังไปอีกแต่ว่าตอนนี้ชนกับผนังห้องแล้ว ไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก ความหวาดกลัวที่ท่วมท้นเข้ามาทำให้มือของเธอสั่นและเหงื่อไหลออกมาตามหน้าผาก ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก มองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
บทที่ 23หัวใจที่หนักแน่น หลังจากที่ฝึกเสร็จหยางป๋อก็รีบตรงดิ่งเข้ามาในเมืองทันที วันนี้เลิกเร็วคงพอมีเวลาอยู่กับเว่ยเถียนเถียนได้นานหน่อยเขาจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขารออยู่ที่หน้าโรงแรมพอเห็นเธอเดินออกมาก็ยิ้มอย่างดีใจ “วันนี้อยากกินอะไร เดี๋ยวพี่พาไปกินนะ” “เอาที่พี่คิดว่าอร่อยที่สุดค่ะ” เว่ยเถียนเถียนตอบ “ที่อร่อยที่สุดพี่พาเถียนเถียนไปกินมาแล้ว เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวพี่พาไปกินซวนล่าเฝิ่นร้านคุณลุงจวงดีกว่า ที่นั่นพี่ไปกินกับเพื่อน ๆ บ่อย ค่อยข้างอร่อยเลยล่ะ” หยางป๋อเสนอ “ได้ค่ะ พี่พาไปที่ไหนฉันก็ไปหมดแหละ” เว่ยเถียนเถียนยิ้มอย่างดีใจ
บทที่ 22ศัตรูหัวใจวันต่อมาเว่ยเถียนเถียนมาหาหยางป๋อที่กองทัพในตอนเย็นและวันนี้เธอตั้งใจนำของจากมิติมาฝากเพื่อนทหารของเขาด้วย เขาพาเธอเข้าไปยังพื้นที่หน่วยของเขา เมื่อเพื่อน ๆ เห็นเว่ยเถียนเถียนมาด้วยทุกคนต่างก็เข้ามาต้อนรับและทักทายอย่างอบอุ่น“สวัสดีครับคุณเว่ย” เสียงหนึ่งของทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“สวัสดีค่ะพี่ ๆ ทุกคน วันนี้ฉันนำของมาให้ทุกคนลองชิมกัน” เว่ยเถียนเถียนยิ้มหวานและกล่าวอย่างใจดีเธอเอาของออกมาจากมิติมากมายหอบมาเต็มไม้เต็มมือไปหมด โดยเฉพาะผลไม้ที่สดและหายากในพื้นที่นี้ ทุกคนต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นสิ่งที่เธอนำมา“โอ้โห ผลไม้เยอะขนาดนี้ พวกเราจะได้กินกันหลายวันเลย” ทหารคนหนึ่งพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง“ใช่ค่ะ ฉันคิดว่าในช่วงนี้พวกพี่ ๆ คงอยากกินอะไรหวาน ๆ อร่อย ๆ จะได้หายเหนื่อยจากการฝึก” เว่ยเถียนเถียนตอบ“เถียนเถียน คุณน่ารักมากจริง ๆ ยังถึงคิดถึงพวกเราขนาดน
บทที่ 21ลูกค้ารายใหญ่ เช้าวันรุ่งขึ้นหยางป๋อมารับเว่ยเถียนเถียนที่โรงแรมแต่เช้าตรู่ ทั้งสองเตรียมตัวให้พร้อมแล้วนั่งสามล้อเข้าไปที่กองทัพด้วยกัน เว่ยเถียนเถียนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้การเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ประสบความสำเร็จจึงฮึดสู้ขึ้นมา เมื่อพวกเขามาถึงกองทัพผู้พันและคุณนายก็รออยู่แล้วเมื่อได้พบกันหยางป๋อก็แนะนำเว่ยเถียนเถียนให้ผู้พันและคุณนายรู้จัก "ผู้พันครับ นี่คือเว่ยเถียนเถียน เธอคือคนที่ทำฟองเต้าหู้ที่พวกเราทดลองกินกันเมื่อคราวก่อน"ผู้พันยิ้มแย้ม "ยินดีที่ได้รู้จัก คุณเว่ย ฟองเต้าหู้ที่คุณทำอร่อยมาก ผมและภรรยาชอบมาก ๆ เลย""ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะผู้พัน คุณนาย ขอบคุณที่ชื่นชอบฟองเต้าหู้ที่ฉันทำนะคะ" เว่ยเถียนเถียนยิ้มและโค้งตัวให้หลังจากทักทายกันเรียบร้อยพวกเขาเริ่มเข้าเรื่องการค้ากัน เว่ยเถียนเถียนนำฟองเต้าหู้แห้งรูปแบบต่าง ๆ ออกมาเสนอให้ผู้พันและคุณนายดู แต่ละแบ
บทที่ 20ข่าวดีผู้พันเรียกให้หยางป๋อมาพบในเช้าวันถัดมา เมื่อหยางป๋อมาถึงห้องทำงานของผู้พันเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น“หัวหน้าหมู่หยาง นั่งก่อนสิผมมีเรื่องจะพูดกับคุณเกี่ยวกับฟองเต้าหู้พวกนั้น” ผู้พันเริ่มต้นการสนทนาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง“ผมสนใจฟองเต้าหู้พวกนี้มาก มันมีรสชาติดีมากก็เลยคิดว่าจะเอาไปขายที่ร้านค้าของภรรยา ตอนนี้ร้านของเธอมีสาขาอยู่ที่สามเมือง ถ้าคุณสนใจผมจะช่วยนัดพบกับภรรยาให้พวกเราจะได้คุยเรื่องการค้ากัน”หยางป๋อฟังด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกยินดีที่สินค้าของเว่ยเถียนเถียนได้รับความสนใจอย่างมาก “ฟองเต้าหู้พวกนี้เป็นคนรักของผมที่ทำขึ้นมาครับ เธอส่งมาจากเมืองบ้านเกิดของผม ถ้าผู้พันอยากคุยเรื่องการค้าผมก็จะนัดเธอให้ครับ”“ดีมาก หัวหน้าหมู่หยาง ผมก็จะนัดภรรยามาด้วยเช่นกัน พวกเรามาเจอกันในวันหยุดดีไหม” ผู้พันถามหยางป๋อตอบรับด้วยความเต็มใจ “ได้ครับผู้พัน ผมจะแจ้งคนรักขอ
บทที่ 19 ขยายกิจการ เมื่อมีหลินเสี่ยวเป้ยมาช่วยงานแล้วก็ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น เว่ยเถียนเถียนจึงคิดที่จะขยายกิจการเพิ่ม เธอเริ่มสำรวจตลาดอย่างละเอียดก็พบว่ามีฟองเต้าหู้ขายแต่ว่ามีอยู่แบบเดียว อีกทั้งยังไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร ในขณะที่เดินสำรวจเธอคิดย้อนกลับไปถึงชาติที่แล้ว ฟองเต้าหู้หลายแบบที่เธอส่งออกในเวลานั้นได้รับความนิยมมากและเป็นที่ต้องการสูงในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศความคิดเกี่ยวกับฟองเต้าหู้ที่หลากหลายชนิดนั้นทำให้เธอตื่นเต้น ภาพในจินตนาการของเธอเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ร้านอาหารหลายแห่งโดยเฉพาะร้านหม้อไฟในยุคนี้ก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเห็นว่ามีโอกาสมากมายที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เว่ยเถียนเถียนนั่งคิดถึงการทำฟองเต้าหู้แบบต่าง ๆ ในใจ เธอจำได้ถึงวิธีการทำฟองเต้าหู้ทั้งแบบบาง แบบหนา แบบตากแห้ง ที่สามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ใช้ห่อเ
บทที่ 18ผู้ช่วยคนแรกของร้าน เวลาผ่านไปเว่ยเถียนเถียนและหยางป๋อต่างเขียนจดหมายหากันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งสองใช้ตัวอักษรเป็นสะพานเชื่อมความรู้สึกจากใจถึงใจ ทุกถ้อยคำที่ส่งถึงกันทำให้ความรักระหว่างพวกเขาเบ่งบานและเติบโตอย่างงดงามทุกเดือนเว่ยเถียนเถียนจะส่งจดหมายและของฝากมาให้หยางป๋อที่กองทัพ ในกล่องของขวัญที่เธอส่งมามักมีของกินที่หยางป๋อชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นขนมหวานต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งน้ำเต้าหู้ที่เธอพาสเจอร์ไรส์ด้วยความพิถีพิถันเพื่อให้เก็บได้นานขึ้น การได้รับจดหมายและของฝากจากเธอเป็นความสุขที่เขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อทุกครั้งที่จดหมายและของฝากมาถึงหยางป๋อจะรีบเปิดอ่านจดหมายก่อนเสมอ เขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเวลาที่อ่านถ้อยคำอ่อนโยนและห่วงใยจากเว่ยเถียนเถียน เขามักจะเก็บจดหมายของเธอไว้อย่างดีและเมื่อมีเวลาว่างก้จะหยิบขึ้นมาอ่านซ้ำทำให้ความรักที่มีต่อเธอเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้อยคำเธอทำให้เขามีกำลังใจในการฝึกซ้อมและทำหน้าที่ในฐานะทหารอย่างไม่ย่อท้อ
บทที่ 17กรรมวิธีใหม่หญิงสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวของบ้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของถั่วเหลืองอบอวลเต็มไปหมด เธอมีความคิดที่หนึ่งอยู่ในใจหลังจากอ่านจดหมายของหยางป๋อ ถึงแม้จะดีใจมากที่เขาเขียนจดหมายมาหาแต่ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้กังวลใจซึ่งก็คือการที่เขาอยู่ที่กองทัพแล้วจะไม่มีของอร่อยกิน การฝึกที่กองทัพนั้นหนักมากและทหารทุกคนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะกินอะไรเธอเริ่มคิดถึงวิธีที่ดีที่สุดในการส่งน้ำเต้าหู้และของกินอื่นๆ ไปให้เขา แต่การส่งของที่มีระยะเวลาการเก็บสั้นอย่างน้ำเต้าหู้ที่สดใหม่ก็คงจะเน่าเสียก่อนถึงกองทัพอย่างแน่นอน อาหารแห้งอย่างอื่นเก็บไว้ได้นานก็จริงแต่สิ่งที่เธออยากให้เขาได้กินก็คือน้ำเต้าหู้ฝีมือของเธอนั่งคิดอยู่หลายวันจนกระทั่งความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวซึ่งก็คือการพาสเจอไรส์ เธอจำได้ว่าชาติก่อนตอนเรียนมัธยมได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีนี้ซึ่งสามารถทำให้น้ำเต้าหู้เก็บได้นานโดยไม่เน่าเสีย วิธีการพาสเจอไรส์คือการทำให้ของเหลวร้อนขึ้นที่อุณหภูมิสูงพอสมควรเพื
Comments