เช้าวันถัดมา ภายในลานกว้างของจวนแม่ทัพ บรรดาบ่าวไพร่พากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
"ได้ยินว่าคุณหนูซ่งพาแขกมาที่จวน" "แขกอะไรกันล่ะ? ข้าได้ยินว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางหลายคน พวกนางต้องการมาทดสอบนายหญิงของเรา!" บ่าวไพร่ต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดจู่ๆ คุณหนูซ่งจึงพาสตรีชั้นสูงจากจวนต่างๆ มาที่นี่ โดยอ้างว่าต้องการ "เยี่ยมเยียน" หลี่อวี้จิง ในเรือนรับรองแขก ซ่งเยว่หรงในชุดสีชมพูอ่อนปักลายกลีบบัว ดูอ่อนหวานและสง่างาม นางยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน "วันนี้ข้าพาคุณหนูจากตระกูลขุนนางมาทักทายคุณนายของจวนแม่ทัพ ข้าได้ยินมาว่าคุณนายลู่เป็นสตรีที่มีความสามารถ จึงอยากขอเรียนรู้จากท่านบ้าง" หญิงสาวที่มาด้วยกันต่างพากันหัวเราะเบา ๆ แววตาของพวกนางมีทั้งเยาะหยันและดูแคลน "จริงหรือเจ้าคะ?" คุณหนูจากตระกูลหลี่แสร้งเอ่ยเสียงอ่อนหวาน "ข้าได้ยินว่าคุณนายลหลี่เหมยหยุนเดิมเป็นสตรีอ่อนแอไร้ความสามารถ มิหนำซ้ำยังชอบทุบตีเด็ก ๆ เมื่อคราวก่อน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนละคน ข้าอดทึ่งมิได้จริง ๆ" บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ต่างตัวสั่น พวกนางรู้ดีว่าคุณหนูซ่งและคุณหนูเหล่านี้มาที่นี่เพื่อเหยียดหยามนายหญิงของพวกนาง แต่หลี่อวี้จิงที่นั่งสงบนิ่งกลับไม่มีท่าทางโกรธเคือง นางยกถ้วยชาขึ้นจิบ พลางยิ้มมุมปาก "หากคุณหนูซ่งต้องการทดสอบข้า ก็ควรกล่าวออกมาตรง ๆ อย่าได้อ้อมค้อมให้มากความ" ซ่งเยว่หรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ "คุณนายลู่ช่างตรงไปตรงมาจริง ๆ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่อ้อมค้อมแล้วกัน" จากนั้นนางก็หันไปพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ ก่อนที่บ่าวจะรีบนำกระดาษพู่กันและหมึกออกมาวางบนโต๊ะ "ข้าอยากทดสอบฝีมือของท่านในการเขียนพู่กันเจ้าค่ะ" ซ่งเยว่หรงเอ่ยเสียงหวาน "ในฐานะนายหญิงของจวนแม่ทัพ ท่านย่อมต้องมีความสามารถรอบด้าน และหนึ่งในคุณสมบัติของสตรีชั้นสูงก็คือศิลปะการเขียนอักษร" หญิงสาวตระกูลขุนนางที่นั่งอยู่พากันยิ้มเย้ยหยัน นี่คือกับดักของซ่งเยว่หรง! พวกนางได้ยินมาว่าหลี่เหมยหยุนในอดีตไม่สนใจการศึกษา ไม่ชอบเรียนหนังสือ และเขียนอักษรได้แย่ หากนางทำไม่ได้ ย่อมถูกหัวเราะเยาะ บ่าวไพร่พากันกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น พวกนางกลัวว่านายหญิงจะเสียหน้าในที่นี้ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือ... หลี่อวี้จิงกลับวางถ้วยชาลงอย่างใจเย็น ก่อนจะพยักหน้ารับ "ได้ ข้าจะเล่นกับเจ้าสักครู่" นางลุกขึ้นยืน ก้าวไปยังโต๊ะที่วางพู่กันกับกระดาษไว้อย่างสง่างาม ก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ซ่งเยว่หรงแอบยิ้มเยาะในใจ "รอดูกันเถอะว่านางจะขายหน้าต่อหน้าผู้คนเช่นไร" หลี่อวี้จิงถือพู่กันไว้อย่างมั่นคง ปลายพู่กันจรดลงบนกระดาษขาวสะอาด ก่อนที่มือเรียวจะขยับอย่างพลิ้วไหว ฟุ่บ! เพียงอักษรตัวแรกปรากฏขึ้น สายลมก็พัดผ่านประหนึ่งเป็นลางบอกเหตุ ทำให้ม่านหน้าต่างพลิ้วไหว บรรยากาศในห้องนิ่งสงัด ทุกคนจับจ้องไปที่ปลายพู่กันของนาง ลายพู่กันแข็งแกร่งแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนช้อย เส้นหมึกคมชัด ราวกับถูกแกะสลักลงบนกระดาษ หญิงสาวตระกูลขุนนางที่แอบยิ้มเยาะเมื่อครู่ พากันนิ่งเงียบ สีหน้าของพวกนางเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นอักษรตัวแรก จากนั้นอักษรตัวที่สอง สาม และสี่ก็ปรากฏขึ้นตามลำดับ "ลมพัดผ่านหุบเขา ม่านเมฆลอยเคลื่อนคล้อย ดอกเหมยผลิบานกลางเหมันต์ ขวากหนามฤาจะหวั่นไหว" เมื่อประโยคสุดท้ายถูกเขียนขึ้น นางจึงยกพู่กันขึ้นอย่างสง่างาม กระดาษตรงหน้าปรากฏเป็นบทกวีที่สละสลวย ทั้งลึกซึ้งและเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ซ่งเยว่หรงที่แต่เดิมนั่งกอดอกอย่างถือดี ถึงกับต้องยกพัดขึ้นมาปิดริมฝีปาก นางไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองได้ "บทกวีนี้... เจ้าคิดขึ้นเองหรือ?" เสียงของคุณหนูจากจวนเฉินเอ่ยถามอย่างตกตะลึง หลี่อวี้จิงเพียงยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย "แน่นอน ข้าคิดขึ้นเอง มิได้คัดลอกจากตำราเล่มใด" หญิงสาวที่มาด้วยกันพากันกระซิบกระซาบ สีหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความตกใจ "นางเขียนได้ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?" "ลายพู่กันแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ บทกวีก็ไพเราะจนหาได้ยาก" สายตาของพวกนางที่เคยมองนางด้วยความดูแคลน บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความเคารพและชื่นชม แม้แต่บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ก็ต่างมองนายหญิงของตนด้วยความภาคภูมิใจ "ไม่น่าเชื่อเลยว่านางจะมีความสามารถถึงเพียงนี้" ซ่งเยว่หรงกำพัดในมือแน่น นางมิอาจเชื่อว่าสตรีที่ตนดูถูกมาตลอดจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ นางยังคงฝืนยิ้มก่อนจะกล่าวว่า "คุณนายลู่ช่างเก่งกาจนัก! ข้าคงต้องขออภัยที่มาทดสอบท่านโดยไม่รู้จักประมาณตน" แม้คำพูดของนางจะดูเหมือนยกย่อง แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หลี่อวี้จิงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น แต่นางกลับไม่ใส่ใจ นางเพียงคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะวางพู่กันลงอย่างสง่างาม "ข้าไม่ถือสาเจ้าหรอก แต่หากคิดจะทดสอบข้าอีก... ก็ควรเตรียมตัวมาให้ดีกว่านี้" น้ำเสียงของนางสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยอำนาจ ซ่งเยว่หรงถึงกับเม้มปากแน่น นางรู้ว่าตนพ่ายแพ้แล้วในวันนี้ แต่เรื่องนี้จะยังไม่จบเพียงเท่านี้แน่!สามวันผ่านไปหลังจากงานแต่งงานของลู่เหรินเจ๋อและหลี่เหมยหยุน ข่าวการแต่งงานของพวกเขาสร้างความฮือฮาไปทั่วแคว้น และในวันนี้ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ได้ถูกจัดขึ้น โดยมีเหล่าทูตจากแคว้นต่างๆ และคุณหนูจากตระกูลขุนนางมากมายมาร่วมงานบริเวณลานกว้างของวังหลวงถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าสีสดใส เสียงดนตรีขับกล่อมดังกังวานไปทั่ว ผู้คนมากมายต่างแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา งานเลี้ยงนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองทั่วไป แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่เหล่าตระกูลชั้นสูงจะได้พบปะสานสัมพันธ์ในหมู่แขกที่มาร่วมงาน หลี่เหมยหยุนเองก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วม นางอยู่ในชุดสีแดงเข้มปักลวดลายดอกโบตั๋น ตัวเสื้อบางเบาแต่สง่างามเข้ากับรูปร่างของนางได้อย่างพอดี ความงามของนางทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างพากันมองอย่างไม่อาจละสายตาลู่เหรินเจ๋อซึ่งอยู่ไม่ไกล มองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ แม้ในงานจะมีหญิงงามจากทั่วทุกแคว้นเข้าร่วม แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่มีใครงดงามไปกว่าหลี่เหมยหยุนอีกแล้ว“ท่านสามี งานเลี้ยงในวันนี้ดูยิ่งใหญ่มากทีเดียว” หลี่เหมยหยุนกล่าวพลางหันไปมองเขาลู่เหรินเจ๋อพยักหน้า “แน่นอน มันเป็นโอกาสสำค
แสงเช้าที่สาดส่องเข้ามาในตำหนักของพระเอก อากาศเย็นสบายในยามเช้าทำให้ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่ภายในจวนของพระเอกกลับเต็มไปด้วยความเครียดและความตึงเครียดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เมื่อข่าวการสังหารตระกูลซ่งแพร่กระจายไปถึงตำหนักต่างๆ และจวนของชนชั้นสูงหลายๆ ตระกูล ทุกคนที่ได้รับข่าวต่างตกใจและหวาดกลัวไปตามๆ กัน ราวกับมีเงื้อมมือของความตายที่แผ่กระจายไปทั่วเมืองหลวง“ท่านอ๋อง...” ขันทีในชุดขาวเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พร้อมกับท่าทางที่ไม่มั่นใจ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพยายามไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาด “ข่าวเรื่องตระกูลซ่ง...เริ่มแพร่กระจายไปถึงตระกูลอื่นๆ แล้วขอรับ หลายท่านเริ่มวิตกกังวลและสงสัยว่า...ท่านอ๋องจะลงโทษกับพวกเขาเช่นเดียวกันหรือไม่”พระเอกนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางราบเรียบและไม่แสดงอารมณ์มากนัก เมื่อได้ยินคำพูดของขันที เขาก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “ทุกคนในราชสำนักต้องรู้ไว้ ว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดนั้นจะต้องได้รับการลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นใคร”ขันทีได้ยินดังนั้น ก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้ แม้ว่าพระเอกจะไม่แสดงท่าทีรุนแรงอะไร แต่คำพูดนั้นก็แฝงไปด้วยความเด็ดขาดท
ซ่งจิ้นหมิงถูกนำตัวไปยังห้องสอบสวนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันตราย ภายในห้องนั้นมีทั้งพระเอกและข้าราชการที่พร้อมจะรับฟังคำสารภาพจากเขา ท่ามกลางความเงียบงัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่จิ้นหมิงที่ถูกผูกมัดอยู่ในเก้าอี้พระเอกยืนอยู่ข้างโต๊ะยาว พร้อมกับสายตาที่ไม่ละสายตาจากผู้ต้องสงสัย "ท่านซ่ง ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมพี่ชายของข้า" เสียงของพระเอกดังขึ้นอย่างแน่วแน่ ท่ามกลางความเงียบซึ่งทำให้ความกดดันในห้องเพิ่มสูงขึ้นซ่งจิ้นหมิงเริ่มเหงื่อไหลซึมจากหน้าผาก เขาพยายามดึงตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ แต่ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความหวาดกลัว เขาเคยคิดว่าคำสั่งที่ได้รับมาจะสามารถทำให้การตัดสินใจของเขาง่ายดาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีได้"ท่านจะทำอย่างไรกับข้า?" ซ่งจิ้นหมิงถามเสียงเบาหวิว เขาเข้าใจแล้วว่าคำตอบจากพระเอกจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลพระเอกยืนนิ่งก่อนจะตอบกลับอย่างเย็นชา "ไม่ใช่ข้า ที่จะตัดสินชีวิตท่าน แต่ความจริงจะเป็นผู้ตัดสินเอง"การเงียบไปชั่วขณะ ซ่งจิ้นหมิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาเริ่มกล่าวเสียงสั่น "ข้าไม่ได้ฆ
หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหารที่เกิดขึ้นในค่ายทหาร และการตรวจสอบที่ไม่พบเบาะแสที่ชัดเจน พระเอกได้เริ่มดำเนินการหาข้อมูลและเชื่อมโยงเงื่อนงำจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตพระเอกยืนอยู่หน้าห้องทำงานส่วนตัวของเขา สีหน้าครุ่นคิดไปในหลายทิศทาง เขาหมายมั่นที่จะเอาความจริงออกมาให้ได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะยากเย็นและเต็มไปด้วยอุปสรรคที่อาจทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่คิดว่าจะต้องเป็นศัตรู"ข้าไม่สามารถปล่อยให้คนที่ฆ่าพี่ชายข้าไปง่าย ๆ ได้" พระเอกพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ในใจหลี่เหมยหยุนยืนอยู่ข้าง ๆ รับรู้ถึงความเจ็บปวดในใจของสามี เธอเข้าใจดีว่าเขาต้องการหาความจริง และเธอจะอยู่เคียงข้างเขาเพื่อช่วยสืบหาผู้กระทำ"ท่านสามี ข้าจะช่วยท่านเอง" หลี่เหมยหยุนกล่าวด้วยความมั่นใจพระเอกหันไปมองภรรยา แล้วยิ้มบาง ๆ "ข้ารู้ ข้าจะต้องใช้ความช่วยเหลือของเจ้ามากในการหาข้อมูลครั้งนี้"ทหารที่ได้รับคำสั่งจากพระเอกเริ่มดำเนินการสืบสวนไปในทุกทิศทาง ทั้งจากบันทึกในค่ายทหาร การสนทนาของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่ และการสืบหาความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่พี่ชายของพระเอกเสียชีวิตแต่ก็ยั
พระเอกนั่งอยู่ในห้องมืดสนิทภายในตำหนักของตน ดวงตาของเขาจ้องไปที่เอกสารในมืออย่างตั้งใจ ข้อมูลทุกชิ้นที่เขาได้รับมาในช่วงที่ผ่านมาเริ่มบ่งชี้ทิศทางที่น่าสงสัย—เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชายของเขากำลังจะเปิดเผยเบื้องหลังที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน"ท่านอ๋อง..." เสียงของหลี่เหมยหยุนดังขึ้นข้างหลังเขา นางเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางนุ่มนวล และเห็นพระเอกที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความคิด นางเข้าไปยืนข้าง ๆ พระเอก แล้วจ้องไปที่เอกสารในมือ "ท่านพบอะไรหรือไม่?"พระเอกหันไปมองหลี่เหมยหยุน ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด "ข้าเพิ่งได้ข้อมูลที่สำคัญ..." เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อ "ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของพี่ชายข้าคือพี่ชายของคุณหนูซ่ง"หลี่เหมยหยุนเบิกตากว้าง "ท่านหมายความว่าอย่างไร? พี่ชายของคุณหนูซ่งเป็นคนฆ่าพี่ชายของท่าน?"พระเอกพยักหน้า "ใช่...จากข้อมูลที่ข้าได้รับ ข้าเชื่อว่าเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ข้าค้นพบว่าพี่ชายของคุณหนูซ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการลับที่พี่ชายข้าพบเข้าโดยบังเอิญ และเมื่อพี่ชายข้าเริ่มสงสัยเขา เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้หลุดไปได้"หลี่เหมยหยุนขมวดคิ้ว "ทำไมพ
หลังจากที่หลี่เหมยหยุนและเด็กแฝดกลับไปยังตำหนักได้สำเร็จ ความตึงเครียดก็ยังคงอยู่ในอากาศ ในขณะที่พระเอกนั่งอยู่ข้างหลี่เหมยหยุนที่กำลังโอบเด็กทั้งสองในอ้อมกอด เขาสังเกตเห็นสีหน้าของภรรยาที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกังวลใจ แม้ว่าเด็กทั้งสองจะปลอดภัยแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบลง"เราคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป" พระเอกกล่าวเสียงทุ้มหลี่เหมยหยุนพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่เด็กแฝดที่นั่งอยู่บนตักของเธอ ทั้งสองคนยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่ยอมให้เด็กทั้งสองต้องเผชิญกับอันตรายอีกเด็ดขาด"ในช่วงเวลานั้นเอง ขันทีที่เฝ้าประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน "ท่านอ๋อง เจ้าค่ะ มีข่าวจากตระกูลซ่ง ว่าคนลักพาตัวที่ถูกจับไปเมื่อคืนนี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลซ่ง"คำพูดนี้ทำให้หลี่เหมยหยุนถึงกับเงียบไป หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างหนัก "หมายความว่าอย่างไร?" เธอถามออกไปขันทีกราบ "มีข่าวลือว่าคุณหนูซ่งได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจในตระกูลซ่ง ให้ทำแผนนี้เพื่อแย่งชิงเด็กแฝดไป แต่แผนกลับล้มเหลวเสียก่อน"หลี่เหมยหยุนรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่แปลกใจ