ซ่งเยว่หรงที่พ่ายแพ้ในการแข่งขันพู่กัน แม้จะยิ้มอยู่แต่ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางไม่คิดเลยว่าหลี่อวี้จิงจะมีพรสวรรค์ในการประพันธ์กวีและศิลปะการเขียนอักษรถึงเพียงนี้
แต่แค่ความสามารถด้านอักษรศาสตร์เพียงอย่างเดียว มิได้ทำให้นางเป็นสตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนแม่ทัพ! ซ่งเยว่หรงกระแอมเบา ๆ ก่อนจะยิ้มอ่อนหวาน แล้วเอ่ยขึ้นมา “คุณนายหลี่เหมยหยุน ท่านมีพรสวรรค์ด้านวรรณศิลป์เป็นเลิศ ทำให้ข้าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง” นางหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “แต่จวนแม่ทัพมิได้ต้องการเพียงแค่สตรีที่มีความสามารถด้านกวีเท่านั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่?” หลี่อวี้จิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางรู้ว่าคุณหนูซ่งกำลังวางกับดัก “เจ้าต้องการพูดอะไร?” ซ่งเยว่หรงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่แฝงด้วยความท้าทาย “ข้าอยากขอให้ท่านแสดงความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ให้พวกเราชมสักเล็กน้อย” เมื่อสิ้นคำพูดของนาง หญิงสาวจากตระกูลขุนนางที่นั่งอยู่ต่างส่งเสียงฮือฮา พวกนการมาเยือนของฮูหยินผู้เฒ่ารุ่งอรุณแรกของวัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงนกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ภายนอกฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้ามาในตำหนักด้วยความกังวลใจ ตั้งแต่เมื่อวาน นางก็ได้รับข่าวว่าหลี่เหมยหยุนได้รับบาดเจ็บขณะช่วยเหลือนางจากเหตุการณ์ร้าย นางอดรู้สึกผิดไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะนาง หลี่เหมยหยุนก็คงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเช่นนี้แต่พอเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางต้องชะงักพระเอกกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของนางเอก ร่างสูงสง่าโน้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาคมที่เคยฉายแววเย็นชา บัดนี้ดูอ่อนล้า ดวงตาดำคล้ำจากการอดนอน ศีรษะพะงกเล็กน้อยราวกับฝืนตัวเองไม่ให้หลับฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า“ที่แท้ เจ้าเป็นห่วงนางมากถึงเพียงนี้หรือ?”เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้พระเอกสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาคมปรือขึ้นก่อนจะรีบตั้งตัวให้ตรง แม้จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนไว้ แต่ความอ่อนล้าก็ยังแสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด“ท่านแม่?” พระเอกขมวดคิ้ว “เหตุใดท่านจึงมาแต่เช้า?”“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่า เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่? หรือว่าคืนที่ผ
การช่วยเหลือในยามคับขันความมืดในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เคลื่อนไหวแปลกประหลาด เสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงดังขึ้นจากด้านนอกตำหนักฮูยินผู้เฒ่า มันทำให้ฮูยินผู้เฒ่ารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ไม่ดี เสียงเหยียบหญ้าของผู้คนที่ลอบมาหมายจะทำร้ายท่าน"ท่าน... ท่านทำเช่นนี้ทำไม?" ฮูยินผู้เฒ่าได้ยินเสียงคันธนูอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับสัมผัสถึงความหนาวเย็นที่มากขึ้นในขณะที่ผู้เฒ่าหมดหนทางป้องกันตัวเอง เสียงฝีเท้าของคนร้ายก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นพยายามใช้ดาบฟันเข้าไปที่ตัวฮูยินผู้เฒ่า ด้วยความรวดเร็วและอันตรายอย่างยิ่งแต่นั่นก็เป็นจังหวะที่นางเอกเข้ามาช่วยเหลือทันเวลา แม้จะรู้ว่าการเข้าไปช่วยอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ไม่สามารถทนเห็นคนอื่นถูกทำร้ายได้"หยุด!" เสียงของนางเอกดังขึ้นกึกก้อง ทำให้คนร้ายหยุดชะงักนางเอกยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฮูยินผู้เฒ่า ร่างกายของนางบังตัวผู้เฒ่าไว้เพื่อให้รอดพ้นจากการโจมตีของศัตรู ขณะที่ดาบฟันมาที่นางอย่างรุนแรง นางหลบหลีกไปได้เพียงเสี้ยววินาที แต่ดาบนั้นก็ปักลงที่ต้นขาของนางจนเกิดเลือดไหลออกมา"ท่าน... ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?" นางเอกหันไปมองฮูย
หลี่อวี้จิงเดินออกจากตำหนักอย่างสงบนิ่ง แม้บ่าวรับใช้จะพยายามห้ามปราม แต่สายตาของนางกลับแน่วแน่“คุณหนู... ท่านจะไปเผชิญหน้าพวกเขาด้วยตนเองหรือเจ้าคะ?”“แน่นอน” นางตอบเสียงเรียบ “ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา ว่าคุณหนูซ่งเย่วหรงมีแผนสำรองอะไรอีก หรือว่านางจะสิ้นฤทธิ์เพียงเท่านี้”ณ เรือนรับรองตระกูลซ่งภายในเรือนรับรองของจวนตระกูลซ่ง ผู้คนยังคงจับกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้ลู่เหรินเจ๋อจะโต้กลับได้อย่างเฉียบขาด แต่บรรดาขุนนางที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลซ่งก็ยังคงลังเลว่าจะอยู่ข้างใครดีท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นหน้าประตู“ใครกัน!?” บ่าวรับใช้ของตระกูลซ่งร้องขึ้นเมื่อเห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้านหลี่อวี้จิงปรากฏกายอยู่ตรงหน้า แขนเสื้อพลิ้วไหวไปตามสายลม นางหยุดยืนและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ"อืม... ดูเหมือนว่าข้าจะมาทันฟังบทสรุปของเรื่องนี้พอดี" นางกล่าวเสียงเรียบทุกสายตาจับจ้องไปที่นางในทันที"หลี่อวี้จิง..." ซ่งเยว่หรงกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาสั่นระริกด้วยความโกรธและหวาดหวั่นการเผชิญหน้าของสตรีสองคนหลี่อวี้จิงก้าวเข้าไปใกล้ แววตาข
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารในสวน ลู่เหรินเจ๋อพาหลี่อวี้จิงกลับมายังตำหนักของนางด้วยท่าทีเคร่งขรึม แม้จะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่ทุกคนในจวนต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ปกคลุมอยู่รอบตัวเขาเมื่อกลับถึงตำหนัก หลี่อวี้จิงรีบจัดการกับบาดแผลของเขา แม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เลือดที่ซึมออกจากบาดแผลกลับบ่งบอกว่าไม่ได้เล็กน้อยเลยแม้แต่น้อย"ท่านแน่ใจหรือว่าบาดแผลนี้ไม่ร้ายแรง?" นางเอ่ยถามขณะใช้ผ้าพันแผลห้ามเลือดให้ลู่เหรินเจ๋อมองนางด้วยสายตานิ่งสงบ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ "ข้าทนได้"นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ "หากท่านเจ็บก็จงบอก ไม่ใช่ฝืนตนเองจนล้มไป ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านบาดเจ็บเพราะข้า"ชายหนุ่มมองนางครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติมเงื่อนงำของมือสังหารคืนนั้น หลังจากที่หลี่อวี้จิงพักผ่อนแล้ว ลู่เหรินเจ๋อเรียก "เงา" หรือสายลับคนสนิทของเขาเข้าพบในห้องหนังสือ"สืบหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้" เสียงของเขาเย็นเยียบชายในชุดดำคุกเข่าลง "ขอรับคุณชาย ข้าจะรีบดำเนินการ""มือสังหารพวกนั้นมิใช่มือใหม่ พวกมันได้รับการฝึกมาอย่างดี" ลู่เหรินเจ๋อพูดต่อ "ข้า
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าลานดอกเหมยภายในตำหนักของหลี่อวี้จิงเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น นางนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมเย็นพัดโชยเบา ๆ ขณะที่เด็กชายฝาแฝดนั่งอยู่ข้างนาง ดวงตากลมโตทั้งสองคู่จ้องมองนางด้วยความสนใจ หลังจากที่พวกเขาแอบทดสอบนางอยู่หลายวัน ความหวาดระแวงเริ่มลดลง และแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น"ท่านแม่เลี้ยง… ท่านรู้เรื่องมากมายเหลือเกิน" เด็กชายคนโตเอ่ยขึ้น ขณะนั่งฟังนางสอนเรื่องกลยุทธ์พื้นฐาน"แน่นอน หากเจ้าอยากรู้อะไรอีก ก็ถามข้าได้เสมอ" หลี่อวี้จิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มแต่ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน ฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งสังเกตนางมาหลายวันแล้ว ได้เดินทางมายังตำหนักของหลี่อวี้จิงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า นางเดินเข้ามาพร้อมกับข้ารับใช้คู่ใจ สายตามองผ่านม่านไม้เลื้อยตรงระเบียงตำหนัก ก่อนจะหยุดชะงักกับภาพตรงหน้า'เด็กทั้งสองกำลังนั่งคุยกับนาง… แถมยังดูสนิทสนมกันมากกว่าที่คิด'ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏตัว"หึ ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้จังหวะพอดี"เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ทุกคนหันไปมอง เด็กชายทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน ทำความเคารพมารดาของบิดาตนเอง ขณะที่หลี่อ
กลยุทธ์และสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือ หลี่อวี้จิงเห็นว่าเด็กทั้งสองเริ่มเข้าใจแนวคิดของการใช้สติปัญญาแทนกำลัง นางจึงตัดสินใจสอนสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น "ในโลกนี้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่เจ้าจะสามารถต่อสู้กับศัตรูได้โดยตรง" นางเอ่ยเสียงนุ่มนวล "หากเจ้าอ่อนแอกว่า ก็ต้องรู้จักวิธีหลีกเลี่ยง หรือขอความช่วยเหลือ" เด็กชายทั้งสองขมวดคิ้ว "ขอความช่วยเหลือ? อย่างไรหรือขอรับ?" หลี่อวี้จิงยิ้ม ก่อนจะหยิบกิ่งไม้มาวาดบนพื้นดินเป็นสัญลักษณ์ง่าย ๆ "จงจำสิ่งนี้ไว้" นางชี้ไปที่รูปที่นางวาด "หากวันใดเจ้าตกอยู่ในอันตราย แต่ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้โดยตรง ให้ใช้สัญลักษณ์นี้" เด็กชายทั้งสองมองดู มันเป็นสัญลักษณ์คล้ายตัวอักษรที่ดูเรียบง่าย "เจ้าสามารถวาดมันบนพื้นทราย ผนัง หรือแม้แต่ใช้ก้อนหินเรียงเป็นรูปร่างนี้ หากคนของจวนเห็นเข้า พวกเขาจะรู้ว่าต้องตามหาพวกเจ้า" เด็กชายคนโตร้อง "อืม! เข้าใจแล้ว!" เด็กชายคนเล็กยังคงครุ่นคิด "แล้วถ้าเราไม่มีโอกาสวาดล่ะขอรับ?" หลี่อวี้จิงพยักหน้าอย่างพอใจที่เขาตั้งคำถามดี นางหยิบใบไม้แห้งขึ้นมาก่อนจะฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ "ถ้าไม่มีโอกาสเขียน เจ้าสามารถใช้สิ่งรอบตัว อย่างเศษใบไม
หลังจากซ่งเยว่หรงจากไป บรรยากาศรอบลานประลองก็เงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ จะดังขึ้น “ท่านพ่อ!” เด็กชายสองคนวิ่งตรงมาหาพระเอก สีหน้าของพวกเขาดูตื่นเต้นปนกังวล บู่เหรินเจ๋อก้มลงมองบุตรชายทั้งสอง ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววสงสัย "เหตุใดพวกเจ้าจึงรีบวิ่งมาข้าเช่นนี้?" เด็กชายคนโตรีบพูดขึ้นทันที "ท่านพ่อ! ท่านเห็นหรือไม่ ท่านแม่เลี้ยง... นางเก่งมาก!" เด็กชายคนเล็กพยักหน้าหงึกหงักแล้วเสริม "จริงด้วยขอรับ! นางใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็ล้มองครักษ์ของคุณหนูซ่งได้!" ลู่เหรินเจ๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหลี่อวี้จิง นางยืนกอดอกมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย "หึ... กระบวนท่าเดียวล้มทั้งกระดาน คิดว่าเก่งนักหรือ?" น้ำเสียงของพระเอกยังคงเย็นชา แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าแววตาของเขามีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ หลี่อวี้จิงเพียงยิ้มบาง "อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ" เด็กชายคนโตหันมามองนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านแม่เลี้ยง... ท่านฝึ
ซ่งเยว่หรงที่พ่ายแพ้ในการแข่งขันพู่กัน แม้จะยิ้มอยู่แต่ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางไม่คิดเลยว่าหลี่อวี้จิงจะมีพรสวรรค์ในการประพันธ์กวีและศิลปะการเขียนอักษรถึงเพียงนี้ แต่แค่ความสามารถด้านอักษรศาสตร์เพียงอย่างเดียว มิได้ทำให้นางเป็นสตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนแม่ทัพ! ซ่งเยว่หรงกระแอมเบา ๆ ก่อนจะยิ้มอ่อนหวาน แล้วเอ่ยขึ้นมา “คุณนายหลี่เหมยหยุน ท่านมีพรสวรรค์ด้านวรรณศิลป์เป็นเลิศ ทำให้ข้าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง” นางหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “แต่จวนแม่ทัพมิได้ต้องการเพียงแค่สตรีที่มีความสามารถด้านกวีเท่านั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่?” หลี่อวี้จิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางรู้ว่าคุณหนูซ่งกำลังวางกับดัก “เจ้าต้องการพูดอะไร?” ซ่งเยว่หรงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่แฝงด้วยความท้าทาย “ข้าอยากขอให้ท่านแสดงความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ให้พวกเราชมสักเล็กน้อย” เมื่อสิ้นคำพูดของนาง หญิงสาวจากตระกูลขุนนางที่นั่งอยู่ต่างส่งเสียงฮือฮา พวกน
เช้าวันถัดมา ภายในลานกว้างของจวนแม่ทัพ บรรดาบ่าวไพร่พากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด"ได้ยินว่าคุณหนูซ่งพาแขกมาที่จวน""แขกอะไรกันล่ะ? ข้าได้ยินว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางหลายคน พวกนางต้องการมาทดสอบนายหญิงของเรา!"บ่าวไพร่ต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดจู่ๆ คุณหนูซ่งจึงพาสตรีชั้นสูงจากจวนต่างๆ มาที่นี่ โดยอ้างว่าต้องการ "เยี่ยมเยียน" หลี่อวี้จิงในเรือนรับรองแขก ซ่งเยว่หรงในชุดสีชมพูอ่อนปักลายกลีบบัว ดูอ่อนหวานและสง่างาม นางยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน"วันนี้ข้าพาคุณหนูจากตระกูลขุนนางมาทักทายคุณนายของจวนแม่ทัพ ข้าได้ยินมาว่าคุณนายลู่เป็นสตรีที่มีความสามารถ จึงอยากขอเรียนรู้จากท่านบ้าง"หญิงสาวที่มาด้วยกันต่างพากันหัวเราะเบา ๆ แววตาของพวกนางมีทั้งเยาะหยันและดูแคลน"จริงหรือเจ้าคะ?" คุณหนูจากตระกูลหลี่แสร้งเอ่ยเสียงอ่อนหวาน "ข้าได้ยินว่าคุณนายลหลี่เหมยหยุนเดิมเป็นสตรีอ่อนแอไร้ความสามารถ มิหนำซ้ำยังชอบทุบตีเด็ก ๆ เมื่อคราวก่อน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนละคน ข้าอดทึ่งมิได้จริง ๆ"บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ต่างตัวสั่น พวกนางรู้ดีว่