ยิ่งได้มองดวงหน้าหวาน ความรู้สึกบางอย่างแล่นกลับมาในห้วงความคิด ความรู้สึกเมื่อแรกพบหวนกลับมา
วันที่เขาพบกับนางเป็นครั้งแรก วันที่นางตกลงมาจากฟ้าสู่อ้อมแขน ช่วงเวลานั้นทุกสิ่งราวกับหยุดนิ่ง ร่างของนางเบาบางอยู่ในอ้อมแขน สายลมพัดไปรอบตัว ฝนแรกที่ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้าหลังจากแห้งแล้งมาหลายเดือนโอบล้อมพวกเขาทั้งสอง ยามสบตาคล้ายกับถูกบางอย่างดึงดูดจนมิอาจต้านทานได้
คล้ายกับหัวใจจะหยุดเต้นในตอนนั้น…
ไม่ใช่เพราะความงามเหนือมนุษย์ของนาง ไม่ใช่เพราะความแปลกประหลาดของสถานการณ์ แต่เป็นเพราะสิ่งใดบุรุษเองก็มิอาจหาคำตอบได้
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็ได้เวลาเดินทางต่อ มิเช่นนั้นอาจจะไปถึงช้ากว่ากำหนด เพ่ยเพ่ยสาวใช้ของหนิงอวี้เฟยพานางไปที่รถม้า นางเงยหน้ามองรถม้าที่รออยู่ก่อนจะถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปมองหยวนซีซวน
“ข้าขอนั่งม้าไปกับท่านได้หรือไม่?” สตรีตัวน้อยทำสายตาออดอ้อนระคนน่าสงสารราวกับลูกกวางตัวน้อย หยวนซีซวนมองนางนิ่งๆ ราวกับไม่หวั่นไหวไปกับการออดอ้อนของนาง ก่อนจะเอ่ยถาม
“เหตุใดจึงอยากนั่งม้า?” บุรุษเลิกคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากไม่เคยเห็นสตรีใดเอ่ยปากขอขึ้นม้ามาก่อน
“ข้าคิดว่าถ้าได้สูดอากาศอาจจะไม่เมาก็ได้ รถม้ามันโคลงเคลงเกินไป”
หยวนซีซวนพินิจพิเคราะห์นางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ได้”
…ถึงอย่างไรอีกไม่นานนางก็ต้องเป็นภรรยาข้า จะมีสิ่งใดไม่เหมาะสมกัน อีกอย่างให้เรื่องนี้ไปถึงหูของฝ่าบาทด้วยย่อมดี...
สตรีตัวน้อยอุทานด้วยความดีใจก่อนจะเดินตามหยวนซีซวนไปที่ม้าตัวหนึ่ง ขนสีดำขลับสะท้อนแสงราวกับเส้นไหม ดวงตาสีเข้มของมันนุ่มลึกไม่ต่างไปจากเจ้าของ หนิงอวี้เฟยรู้สึกราวกับว่ามันเหลือบสายตามองนางแวบหนึ่งก่อนจะหันไปอย่างไรอย่างนั้น
หนิงอวี้เฟยกำลังเตรียมตัวขึ้นม้าด้วยความตื่นเต้น แต่จู่ๆ ร่างของนางกลับลอยขึ้นไปเหนือพื้น พร้อมกับสัมผัสที่เอวของนาง!
“ว้าย!” นางอุทานด้วยความตกใจ เมื่อหยวนซีซวนสามารถอุ้มนางขึ้นม้าได้โดยง่ายราวกับจับวาง
นางเพิ่งรับรู้ถึงพละกำลังที่แท้จริงของเขาก็ตอนนี้ ตอนที่อุ้มนางจนตัวลอย!
หลังจากนั้นหยวนซีซวนก็กระโดดขึ้นมานั่งด้านหลัง แผ่นหลังของนางแนบชิดกับแผงอกของบุรุษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แขนแข็งแกร่งของเขายื่นมาจับบังเหียนม้า ราวกับโอบกอดนางโดยไม่ตั้งใจ
หัวใจของนางเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย หรือเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดบุรุษมากขนาดนี้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทาง ไม่นานอาการเมื่อครู่ก็หายไป นางมองไปรอบตัวด้วยความสนอกสนใจ ตอนอยู่บนรถม้านางไม่มีโอกาสได้มองโดยรอบดีๆ เพราะมัวแต่เมารถ แม้สองรอบด้านเป็นป่า มีแต่ต้นไม้เรียงราย ทว่าก็มีบุปผางอกเงยให้ได้ชื่นชมอยู่บาง นกบินผ่านต้นไม้ ใบไม้ไหวไหวไปตามสายลม นางรู้สึกเพลิดเพลินเหลือเกิน
“ท่านพี่ นั่นคืออะไร?” นางชี้ไปที่ทุ่งบุปผาที่ไกลออกไป
“ทุ่งดอกอิงหลัน”
“สวยจังเลย” นางมองรอบตัวไม่หยุด แล้วเอ่ยถามต่อเสียงเจื้อยแจ้ว “แล้วนั่นล่ะ?”
“ภูเขาหลัวซาน เป็นเขตแดนหนึ่งของแคว้น”
“แล้วเราจะถึงเมืองหลวงเมื่อใด?”
“อีกห้าวัน หากเดินทางไปตามเส้นทางนี้”
“โอโห! เจ็ดวันเลยเหรอ?”
หนิงอวี้เฟยอดตกใจไม่ได้ ในซีรี่ย์ที่นางเคยดูไม่ค่อยเอ่ยถึงการเดินทางสักเท่าไหร่ เมื่อฉากสำคัญจบก็ตัดภาพไปถึงเมืองหลวงแล้ว แต่นี่นางต้องรออีกตั้งเจ็ดวัน
“การเดินทางยาวนานจริงๆ” นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา หยวนซีซวนคิดว่านางเอ่ยถามสิ่งใด จึงยื่นหน้ากดลงมาใกล้แล้วเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าเอ่ยสิ่งใดนะ?”
“เฮือก!”
สตรีตัวน้อยตกใจสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู นางหันไปด้วยความตกใจทำให้ริมฝีปากของนางสัมผัสที่ข้างแก้มของบุรุษอย่างแผ่งเบา
“ฉะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!” นางตกใจจนเผลอเอ่ยถ้อยคำจากยุคปัจจุบันออกมา
หยวนซีซวนดึงใบหน้ากลับ ยืดตัวตรง ใบหน้าทมึงทึงเฉกเช่นเดิม หนิงอวี้เฟยคิดว่าบุรุษคงโกรธเป็นแน่จึงได้แต่นั่งนิ่งทำตัวลีบแบน
“คำพูด” บุรุษเอ่ยเตือน ทำให้หนิงอวี้เฟยเพิ่งนึกได้
“ขะ ข้าจะระวังเจ้าค่ะ...”
หลังจากเรียนมารยาทนางก็เรียนรู้อะไรมากมาย โดยเฉพาะการใช้คำพูด หากนางทำตัวแตกต่างมากเกินไปจะเป็นจุดสนใจ และผู้คนก็จะยิ่งคิดว่านางเป็นเทพธิดา ฉะนั้นหากนางไม่อยากถูกเข้าใจผิดก็จำเป็นต้องทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คน โดยเฉพาะคำพูดของนางที่มักลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง
จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีกเลย หากแต่ดวงตาของหนิงอวี้เฟยมองซ้ายมองขวาไม่หยุด กระทั่งนางเอนศีรษะซบแผงอกของเขาอย่างไม่ตั้งใจ ลมหายใจของนางจะสม่ำเสมอขึ้น ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ ปิดสนิทลง
บุรุษกดสายตามองนางนิ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับไปมองเส้นทางเบื้องหน้า...
และแล้วในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวง ผู้คนเดินขวักไขว่ไปตามถนนกว้าง เสียงพ่อค้าแม่ค้าโห่ร้องเรียกลูกค้าดังเซ็งแซ่ แผงขายผลไม้สด แผงเครื่องหอมส่งกลิ่นอบอวล คละเคล้ากับเสียงหัวเราะของเด็กเล็กที่วิ่งไล่จับกันไปตามตรอกซอกซอย
มีร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายผ้าแพร ร้านอาหารที่ตั้งเตาต้มซุปหอมกรุ่นและปิ้งย่างเนื้อหอมฉุย ควันลอยคลุ้งเหนือกระทะเหล็ก เสียงมีดสับดังเป็นจังหวะ หนิงอวี้เฟยมองผ่านม่านรถม้าที่นางแอบแง้มออกเล็กน้อย ดวงตาของนางส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
“เพ่ยเพ่ย นั่นคืออะไร?” นางชี้ไปยังร้านที่แขวนซี่โครงเป็ดรมควันเรียงราย
“นั่นเป็นร้านเป็ดพะโล้เจ้าค่ะ” เพ่ยเพ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วร้านนั้นล่ะ?” นางชี้ไปยังร้านขายขนมที่มีขนมหลากสีจัดเรียงบนถาด
“ขนมถั่วหวานเจ้าค่ะ คุณหนูหนิงเคยกินหรือไม่เจ้าคะ?”
“ดูน่าอร่อยมาก” นางเอ่ยพร้อมเริ่มเปิดม่านออกกว้างขึ้น เพื่อที่จะเห็นร้านขายของอื่นๆ ให้มากขึ้น
รถม้าลดความเร็วลงเล็กน้อยขณะผ่านย่านตลาด หนิงอวี้เฟยมิอาจละสายตาจากภาพตรงหน้าได้ แต่นางยังไม่ทันได้เปิดม่านออกเต็มที่ เสียงกระแอ่มไอแผ่วเบาก็ดังขึ้นข้างตัว
“ท่านเทพธิดา โปรดปิดม่านเถิด”
บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อควบม้ามาเทียบอยู่ข้างรถม้าของนาง ท่าทางสุภาพแต่เคร่งขรึมจนนางรู้สึกหวาดหวั่น หนิงอวี้เฟยทำหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงพร้อมกับผ้าม่านที่ปิดสนิท
“ทำไมต้องปิด ข้าก็แค่อยากเห็นเมืองหลวงเท่านั้นเอง”
เพ่ยเพ่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบนาง
“องครักษ์หวังก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เคร่งในกฎระเบียบ”
“มีกฎที่ไหนบอกไม่ให้เปิดผ้าม่านหรือ!”
“คุณหนูหนิงเจ้าคะ ในเมืองหลวงสตรีสูงศักดิ์มักไม่เผยโฉมหน้าให้ผู้คนพบเห็นง่ายนัก ยิ่งในสถานะเช่นท่านแล้ว การปิดม่านย่อมเป็นเรื่องสมควรเจ้าค่ะ” เพ่ยเพ่ยอธิบายอย่างใจเย็น หนิงอวี้เฟยได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ
“แล้วยังเรียกข้าว่าเทพธิดาไม่เลิก”
กระนั้นหนิงอวี้เฟยก็ยังคงบ่นไม่เลิก ยังดีที่เพ่ยเพ่ยและสาวใช้ส่วนใหญ่ยอมทำตามที่นางบอก ว่าไม่ให้เรียกนางว่าท่านเทพธิดา นอกจากนั้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทว่าพวกทหารกลับไม่ทำเช่นนั้น ยังคงเอาแต่เรียกนางว่าเทพธิดา โดยให้เหตุผลว่านางคือเทพธิดาก็ต้องเรียกว่าเทพธิดา ทำเอาหนิงอวี้เฟยเหนื่อยใจเหลือเกิน
...หากฉันเป็นเทพธิดาจริงๆ ป่านนี้ฉันคงบินกลับสวรรค์ไปแล้ว ไม่มาอยู่ให้พวกเขาคอยปรนนิบัติสรรเสริญแบบนี้หรอก!...
“ข้าก็แค่อยากดู... เมืองนี้มีอะไรให้เห็นมากมาย” นางพึมพำเสียงเบา ราวกับเด็กน้อยโดนดุเมื่อทำความผิด
เพ่ยเพ่ยมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยปลอบใจ
“เช่นนั้นลองไปขออนุญาตซวนอ๋องดีหรือไม่เพคะ?”
“นั่นสิ! ขอบใจเจ้ามาก!”
บทที่ 6ป๋ามาก“เป็นข้าที่ผิดเอง เทพธิดาโปรดระงับโทสะด้วย”ดวงตากลมกะพริบปริบๆ มองหยวนซีซวนที่อยู่ดีๆ ก็คำนับให้กับนาง ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนร้อนใจ“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”“ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย ก่อนหน้านี้กระหม่อมได้ให้สัญญากับเทพธิดาว่าจะพากลับต้าจวิน เพราะสวรรค์ส่งนางลงมาจากที่นั่น ต้าจวินจึงไม่ต่างจากบ้านของนาง เมื่อได้ยินว่าจะต้องเป็นกุ้ยเฟยอยู่ที่นี่จึงเกิดโทสะ โปรดถอนราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ขุนนางทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็เห็นด้วย รีบคุกเข่าก้มศีรษะจรดพื้นเพื่อขอให้ฮ่องเต้ถอนพระราชโองการ“โปรดถอนพระราชโองการด้วย!!!”ฮ่องเต้สองจิตสองใจ ใจหนึ่งยังอยากให้หนิงอวี้เฟยเป็นกุ้ยเฟยอยู่เคียงข้าง การมีเทพธิดาอยู่ด้วยย่อมทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองราวกับได้รับการอวยพรจากสวรรค์ ทว่าหากบังคับนางจนสวรรค์พิโรธเช่นนี้นอกจากไม่ได้รับการอวยพรแล้ว อาจจะถูกลงทัณฑ์ด้วยก็เป็นได้
บทที่ 5ข้าไม่แต่ง“ในเมื่อเทพธิดาบาดเจ็บ อีกทั้งยังใช้พลังเรียนฝนฟ้ามาพิสูจน์ให้พวกเราได้เป็นที่ประจักษ์ คงจะเหนื่อยมากแล้ว เช่นนั้นจงไปพักก่อนเถิด ข้าจะให้คนจัดเตรียมห้องไว้ให้”ฮ่องเต้เอ่ยเช่นนั้น ลึกไปในแววตาของเขากลับดูไม่น่าไว้วางใจ ราวกับตั้งใจวางแผนวางสิ่ง และหยวนซีซวนก็พอจะรู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะออกตัว“ขอบพระทัยฝ่าบาท” บุรุษเอ่ยพลางโค้งศีรษะ ก่อนจะขยับตัวพาหนิงอวี้เฟยออกจากห้องโถง เดินตามนางกำนัลนางหนึ่งมายังห้องว่างไม่ไกลกันนักเขาวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ยาว ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ“รอข้าอยู่ที่นี่”บุรุษเอ่ยก่อนจะเดินจากไปทว่ากลับต้องหยุดกึก ดวงตาคมกริบเหลือบลงมองมือของนางที่กำชายอาภรณ์ของเขาไว้ ก่อนจะเลื่อนสายตามองใบหน้าของนาง“เจ้าจะไปไหน?” นางถามเสียงเบา ดวงตาจับจ้องเขาอย่างไม่สบายใจหยวนซีซวนปรายตามองนางครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงเรียบนิ่ง“ข้าต้อง
บทที่ 4ให้ข้าอุ้มน่ะดีแล้วทันทีที่หนิงอวี้เฟยถึงจวน นางแทบไม่เสียเวลามองไปรอบตัว นางเดินตรงไปยังเตียงแล้วล้มตัวลงนอนคว่ำบนเตียง ดวงตาหลับลงด้วยความเหนื่อยล้า“เดินทางมาหลายวัน ข้าอยากพักจะแย่ ปวดเนื้อปวดตัวไปหมด” นางบ่นเสียงเบาด้วยพร้อมกับห้วงนิทราที่เริ่มคืบคลานเข้ามา “...ข้าจะไม่ขยับอีกแล้ว...”ทว่าในทันทีทันใดนั้นเอง เพ่ยเพ่ยและเหล่าสาวใช้ก็กรูกันเข้ามาลากตัวนางขึ้นมาจากเตียง“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาต้องเตรียมตัวเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ”ก่อนจะช่วยกันผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้นางคนละไม้คนละมือ“เดี๋ยว! ข้ายังไม่ได้พักเลยนะ!” นางบ่นเสียงอิดออดอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ไม่มีผู้ใดสนใจเพราะสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการเตรียมตัวเข้าเฝ้าฮ่องเต้!อาภรณ์สีขาวราวหิมะถูกสวมลงบนเรือนร่างของนาง เนื้อผ้าเนียนละเอียดลื่นไหลราวกับสายน้ำไหลต้องผิว ลวดลายปักบนเนื้อผ้าเป็นรูปเมฆหมอกและดอกเหมย ละเอียดอ่อน
บทที่ 3สัมผัสที่ข้างแก้มยิ่งได้มองดวงหน้าหวาน ความรู้สึกบางอย่างแล่นกลับมาในห้วงความคิด ความรู้สึกเมื่อแรกพบหวนกลับมาวันที่เขาพบกับนางเป็นครั้งแรก วันที่นางตกลงมาจากฟ้าสู่อ้อมแขน ช่วงเวลานั้นทุกสิ่งราวกับหยุดนิ่ง ร่างของนางเบาบางอยู่ในอ้อมแขน สายลมพัดไปรอบตัว ฝนแรกที่ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้าหลังจากแห้งแล้งมาหลายเดือนโอบล้อมพวกเขาทั้งสอง ยามสบตาคล้ายกับถูกบางอย่างดึงดูดจนมิอาจต้านทานได้คล้ายกับหัวใจจะหยุดเต้นในตอนนั้น…ไม่ใช่เพราะความงามเหนือมนุษย์ของนาง ไม่ใช่เพราะความแปลกประหลาดของสถานการณ์ แต่เป็นเพราะสิ่งใดบุรุษเองก็มิอาจหาคำตอบได้เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็ได้เวลาเดินทางต่อ มิเช่นนั้นอาจจะไปถึงช้ากว่ากำหนด เพ่ยเพ่ยสาวใช้ของหนิงอวี้เฟยพานางไปที่รถม้า นางเงยหน้ามองรถม้าที่รออยู่ก่อนจะถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปมองหยวนซีซวน“ข้าขอนั่งม้าไปกับท่านได้หรือไม่?” สตรีตัวน้อยทำสายตาออดอ้อนระคนน่าสงสารราวกับลูกกวางตัวน้อย หยวนซีซวนมองนางนิ่งๆ ราวกั
บทที่ 2ฉันต้องกลับไป... “หากไม่รู้... เช่นนั้นก็พักอยู่ที่นี่ก่อนดีหรือไม่?”“แต่ฉันไม่อยากแต่งงาน...” นางพึมพำราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง......หรือข้าจะใจร้อนไป ข้าไม่คิดปล่อยเจ้าไปด้วยสิ หากไม่ทำเช่นนี้เกรงว่าเจ้าคงตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น...“ได้ เช่นนั้นเอาตามนี้ดีหรือไม่ อีกไม่นานเราจะเดินทางไปเมืองหลวงกัน...”ไม่ทันที่หยวนซีซวนจะเอ่ยจบ หนิงอวี้เฟยก็พูดขัดขึ้นมา“ทำไมต้องไปเมืองหลวงด้วย!?” นางหวาดหวั่นเหลือเกิน จากประสบการณ์การดูซีรี่ย์จีนโบราณของนาง เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่น่ากลัวมาก นี่หมายความว่าหยวนซีซวนจะจับนางส่งให้ราชวงศ์อย่างนั้นหรือ!?“เพราะการปรากฏตัวของเจ้า... การตกลงมาจากฟ้าพร้อมกับสายฝนผู้ใดก็เลียนแบบเจ้าไม่ได้ การปรากฏตัวพร้อมกับเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ฝ่าบาทย่อมอยากพบเจอเจ้า จนกว่าจะกลับมาที่นี่ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดเกี่ยวกับการแต่งงาน”“...” หนิงอวี้เ
บทที่ 1เทพธิดาตกสวรรค์ดวงตะวันส่องแสงสว่างจ้า ความร้อนระอุส่งผลให้ชาวเมืองหวาดหวั่น หลายปีมานี้เกิดอาเพสอันใดก็ไม่ทราบ จึงทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวไร่ชาวนา หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ขายต่างก็เดือดร้อนไปตามๆ กัน แล้งเช่นนี้พืชผลก็ไม่สามารถเติบโตได้ดี รายได้จึงน้อยลง ส่วนผู้ที่ทำอาชีพค้าขายเป็นหลักก็ไม่มีผู้ซื้อจึงขาดทุนไปตามๆ กันเจ้าเมืองอ๋องเห็นเช่นนั้นจึงจัดพิธีบวงสรวงฟ้าดินด้วยเครื่องสังเวยมากมาย ทั้งช้าง ม้า วัว ควาย อาหารทั้งคาวหลาน และสุราชั้นดี รวบรวมเหล่าประชาชนแผ่นดินทองที่หน้าพระราชวังไท่หยาง พิธีเริ่มไปประมาณครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีเมฆดำทะมึนก่อตัวอยู่เหนือแท่นพิธีบวงสรวงสร้างเสียงฮือฮาจากผู้คนใต้หล้า เสียงครึกโครมของท้องฟ้าดังกึกก้องกังวาบไปทั่ว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาได้ทั่วไปแต่ทว่าไม่ใช่กลับแผ่นดินแดนเหนือแห่งนี้หยวนซีซวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน จดจ้องมองท้องฟ้าด้วยดวงตาสีหยดหมึกคู่งามพลันเกิดแสงประกายดุจดวงดาวอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะตกลงมาจากฟากฟ้า คิ้วดกเข้มขมวดเข้าหากันแล้วเพ่งพิจารณาด้วยความฉงนใจ รูปร่างของสิ่งที่ตกลงมาจากเบื้อ