เข้าสู่ระบบท่านประทานให้เธอขึ้นมาช่วยจัดห้องทำงานใหม่ ร่างบางจัดเก็บเอกสารที่เขากองไว้ให้ใส่กล่องลังกระดาษสีน้ำตาล แล้วก็ขนอุปกรณ์วาดรูปต่างๆ มาวางเรียงเข้ามุมกระจกที่เห็นวิวสวนหลังบ้าน
ทั้งผ้าใบวาดรูปขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป สีน้ำและพู่กันหลายขนาดก็ถูกวางเรียงไว้ที่ชั้นด้านข้างให้เป็นระเบียบ
ธันย์ธาราคัดแยกเอกสารบางส่วนใส่กล่องลัง เขาจะย้ายไปไว้อีกห้องหนึ่ง โดยจะใช้ห้องนี้เป็นที่สำหรับผ่อนคลาย ไม่เหมาะกับการมีกองเอกสารใหญ่โตมโหฬารปิดห้องให้ทึบแบบนี้
ทั้งคู่เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่กำลังช่วยกันจัดห้อง แต่เธอที่ยังหยุดคิดเรื่องคนปองร้ายเจ้านายไม่ได้ เผลอตัวเหลือบมองเขาเป็นระยะราวกับมีบางอย่างที่อยากถามแต่ไม่กล้าพูดไป
“ถ้าจะจ้องขนาดนั้นก็ถามมาเถอะ” เขาพูดขึ้นขณะที่ยกกล่องลังไปไว้ที่มุมห้อง เตรียมให้คนมาช่วยขนย้ายลงไปอีกแรง
“คะ” เธอหลุดออกจากภวังค์ พลันเลิกคิ้วมองไปที่ร่างสูงทันที
ธันย์ธาราจับจ้องสายตาคู่คมไปที่เธอ เห็นมองอยู่นานสองนาน คิดหรือว่าคนที่โดนมองจะไม่รู้สึกตัว
“คุณมีอะไรอยากจะถาม”
“เปล่านะคะ”
เธอรีบปฏิเสธทันควันแต่สีหน้าออกว่ามีเรื่องติดค้างในใจ ร่างสูงที่รู้ว่าเธอกำลังบ่ายเบี่ยงลอบระบายลมหายใจ ดวงตาที่ดูเฉื่อยชาไร้ชีวิตชีวายังคงจ้องเธอเขม็งไม่ละไปไหน
“ไม่มี๊~ ไม่มีเลยค่ะ” เธอยังโบ้ยบ้ายไม่ยอมรับความเป็นจริง
“ผมถือว่าเปิดโอกาสให้...”
“อันที่จริงก็มีข้อสงสัยอยากถามอยู่เหมือนกันค่ะ”
สุดท้ายเธอก็แพ้พ่ายให้ความอยากรู้ในหัว รีบวิ่งแจ้นยิ้มแป้นแล้นไปหาท่านประธาน ก่อนประกบมือเข้าหากันแล้วตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าที่คิดหนักไม่น้อย
“ขอถามแบบรวบหัวกับหางเลยก็แล้วกันนะคะ”
“ว่ามาสิ”
“คุณธันย์ความจำเสื่อมจริงเหรอคะ แล้ว... เรื่องนี้มีฆาตกรตามล่าตัวคุณด้วยหรือเปล่า แบบนี้ก็แปลว่าคุณตกอยู่ในอันตรายสิ อาจจะมีคนปองร้ายคุณอยู่ก็ได้นะคะ”
“ตกลงจะถามหรือพูดเพ้อกันแน่”
“เอ่อ...”
ธารตะวันระบายยิ้มจืดเจื่อน ขำแห้งให้กับความอยากรู้ของตัวเองที่ผสมปนเปจนพูดจาไม่รู้ความ
“ก็คงต้องเรียกว่าความจำเสื่อม ในเมื่อผมจำคนรอบตัวไม่ได้เลย”
“เอ... แล้วจำไม่ได้เลยเหรอคะว่าอะไรทำให้ความจำเสื่อม”
“ถ้าจำได้จะเรียกว่าความจำเสื่อมหรือไง” ร่างสูงเลิกคิ้วมองคนที่พูดจาแปลกพิกล พลางทิ้งร่างนั่งลงบนโซฟานุ่ม
“อ่า ก็จริงค่ะ ว้า... ฉันนี่พูดจาแปลกๆ เนอะ” เธอว่าแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อเขิน ไม่ทันได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลของอีกฝ่าย
ธันย์ธาราขมวดคิ้วมุ่น ความทรงจำใดไม่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด รู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ในสภาพที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว
“ตอนตื่นมาก็ไม่มีความทรงจำเจ้าของร่างแล้ว”
“คะ”
“หมายถึง... จำอะไรไม่ได้นั่นแหละ”
พูดจบเขาก็ระบายลมหายใจทิ้ง ใบหน้าเฉยชาดูไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ ผิดถนัดกับนักอ่านจอมเพ้อที่อยากแปลงร่างเป็นนักสืบจำเป็น
“แล้วเหตุอะไรที่ทำให้คุณธันย์โดนลอบทำร้ายล่ะคะ” เธอพูดพึมพำกับตัวเอง แต่เขาได้ยินเข้าแล้วเงียบไปเพื่อฉุกคิดตาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่... มีคนวางยาในอาหารให้ผมกิน”
“วางยาในอาหารเหรอคะ”
“ใช่ อาหารในโรงพยาบาลมียาพิษ”
ขนหลังคอเธอลุกวาบขึ้นมาในฉับพลัน แต่กับประธานธันย์กลับไม่มีสีหน้าหรือแสดงท่าทางใดออกมา จะเย็นชาแม้แต่กับความเป็นความตายไม่ได้สักหน่อย นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ
“หรือว่าคุณธันย์ไปขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจใครหรือเปล่าคะ” เธอหลุบตาคิดหนัก ระดมสมองทุกซีกให้เพ่งพินิจพิจารณาความเป็นไปได้
“ก็ไม่แน่”
“หรือไม่ก็...ปมพี่น้องแย่งสมบัติ ชิงดีชิงเด่นอะไรเทือกนั้นมั้ย”
“ไม่ใช่หรอก”
“บางทีอาจจะเก็บความลับใครไว้... เขาก็เลยตามเก็บคุณธันย์”
สิ้นประโยคนั้นธารตะวันก็เงยหน้ามองเขา ถึงได้เห็นว่าเขามีสีหน้าเหยเกที่เธอพูดเพ้อไปเรื่อย โดยไม่มีหลักฐานแน่ที่แน่ชัด เหมือนเป็นแค่ข้อสันนิษฐานของคนที่ชอบมโนเพ้อพกเสียมากกว่า
“เป็นนักเขียนเหรอไง ถึงได้มโนเป็นฉากขนาดนี้”
เป็นนักอ่านต่างหาก...
เธอได้แค่คิดไม่กล้าพูดออกไป กลัวโดนไล่ออกจากงานซะก่อน
“ถึงสิ่งที่ฉันพูดจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่มันก็มีแนวโน้มไปทางนั้นไม่ใช่เหรอคะคุณธันย์”
คิ้วเข้มเหนือดวงตากระตุกนิดๆ หากมาครุ่นคิดดู สิ่งที่เธอพูดก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นเหมือนกัน หากเขาไปขัดประโยชน์ใครเข้า หรือก่อนที่ความทรงจำจะหายไปมีการดีลผลประโยชน์ไม่ลงตัว
จะโดนตามเก็บไม่ก็แปลกอะไร...
“วันนั้นที่ทางม้าลาย... ฉันคิดว่าผู้ชายชุดดำที่ขับมอเตอร์ไซค์จงใจจะขับรถชนคุณค่ะ”
“จริงเหรอ”
“แต่พระเอกของเรื่องไม่ตายหรอก... เชื่อฉันสิคะ”
เธอยังพูดติดตลกได้อยู่ เพราะในนิยายพระเอกจะตายตอนจบได้ยังไงกันล่ะ แต่วินาทีต่อมาก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อนิยายเรื่องล่าสุดที่ได้อ่านตัวนางเอกเพิ่งทิ้งร่างดิ่งลงทะเลกว้างในตอนจบไป
“พระเอก... ของเรื่องอะไรนะ”
“ช่างเถอะค่ะ ฉันก็พูดไปเรื่อย... เดี๋ยวฉันยกไปเก็บให้ค่ะ”
เธอรีบเสนอตัวเข้าไปช่วยเขาที่ก้มหยิบกล่องบนพื้น แต่ทว่าดันออกตัวแรงเกินไปหน่อย ในหัวไม่ทันประมวลผลร่างกายเลยขัดข้องให้แข้งขาพัลวันกันไปหมด
“ธารตะวัน...”
ตุบ
เสียงตุบดังขึ้นหลังประธานธันย์เรียกชื่อเธอ ร่างบางที่ล้มวืดลงไปด้านหน้าไขว่คว้าอากาศไว้ไม่ทัน อย่างกับฉากนิยายรักน้ำเน่าที่เคยอ่านไม่มีผิด
นางเอกมีอาการขาอ่อนแรง และต้องล้มใส่คนที่เป็นพระเอกเท่านั้น
เธอเคยเกิดคำถามในหัว ทำไมตัวหลักของเรื่องถึงได้แข้งขาอ่อนแรงนักหนา มาวันนี้ได้เข้าใจแล้วว่าทำไม คงเป็นเพราะนักเขียนที่เสกสรรหรือไม่ก็พระเจ้าบัญชาให้ต้องเกิดแค่นั้นเอง
“โอะ” เธอร้องเบาๆ เมื่อร่างอัดกระแทกกับแผงอกกำยำของอีกฝ่าย จากที่จะล้มลงบนพื้นแข็งๆ ก็กลายเป็นร่างหนาที่เข้ามารับได้ทัน
นี่มันฉากในละครที่เคยดูชัดๆ
ธารตะวันใจเต้นแรงไม่หยุด เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วสบประสานกับดวงตาคู่คมของเขา ระยะห่างใบหน้าเพียงคืบเดียว ทำให้ข้างแก้มเธอขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อ
ใบหน้าหล่อคมมุ่นคิ้วดูหงุดหงิดใจ ก่อนจะเลิกคิ้วใส่เธอที่ยังไม่ยอมลุกไปจากตัวเขาอีก
“หนัก”
“คะ”
“ลุกได้แล้ว... ผมหนัก”
ราวกับมีใครตีระฆังให้ดังกังวานในหัวนักอ่านจอมเพ้อ ให้เลิกมโนเพ้อพกถึงนิยายรักน้ำเน่าได้แล้ว เธอกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะรีบลุกพรวดพราดแล้วยิ้มแห้งให้คนตรงหน้า
“ขอโทษค่ะ... แฮะ งั้นฉันเอากล่องไปไว้ข้างนอกนะคะ”
นี่แหละหนา... อานิจจังยัยจอมมโนกับท่านประธานจอมขัด
ร่างบางเปลื้องผ้าโยนเรี่ยราดลงบนพื้น เธอเปลือยเปล่าอวดเรือนร่างที่ทุกสัดส่วนล่อตาล่อใจ ปลุกอารมณ์ให้องศาสมุทรกระสันกว่าเดิม มองเธอที่ควบขี่อยู่บนตักด้วยสีหน้าเสียวสยิวพบตะวันบดร่อนเอวบนแท่งร้อน เธอมุ่นคิ้วเว้าวอน เสียวจนส่งเสียงครางหวานแล้วโน้มตัวไปจูบเขาก่อน“อือ…”เธอเป็นฝ่ายใช้ลิ้นบุกก่อน พลางออกแรงบีบบ่าแกร่ง เมื่อรู้สึกเสียววาบในท้องน้อย ทุกครั้งที่แท่งร้อนผลุบเข้าออกในร่องรักองศาสมุทรรั้งท้ายทอยเธอไว้ พลางควงคว้านเรียวลิ้นโพรงปากเธอพบตะวันสู้ยาก เธอผ่อนลมหายใจไม่ทัน เสียงน้ำลายที่ฉ่ำแฉะข้างในปากทำแก้มเธอเห่อร้อน เกี่ยวกระหวัดรัดลิ้นจนกระสันหนักกว่าเก่า แต่พอโดนเขาจับเอวให้ควบขี่บนแก่นกาย เธอก็เชิดหน้าหายใจถี่กระชั้น“อึก… แฮ่ก”หยาดน้ำลายเธอเหนียวหนืดในลำคอ เกร็งขาทั้งสองข้างจนเบ้หน้า คล้ายว่าอาการเหน็บชาเล่นงาน เพราะขึ้นคุมบังเหียนนานเกินไปใบหน้าสวยแดงปานลูกตำลึงสุก มันก็ดีอยู่หรอกที่อยู่ข้างบน แต่พอทำไปทำมา ตะคริวกลับกินขาในจังหวะกำลังเสียวพอดีเลยน่าอาย…ขืนบอกว่าขึ้นให้เขาแล้วเมื่อย อีกฝ่ายได้หัวเราะเธอกรามค้างแน่“ไหวมั้ย”“ไหวค่ะ”พบตะวันมันเลือดนักสู้ ไม่เคยยอมแพ้แต่ไ
ร่างบางปรี่เข้าไปสวมกอดเขาทันที สองแขนเธอกอดรั้งช่วงลำคอเขา มือก็จับข้างใบหน้าหล่อเหลาแล้วมุ่นคิ้วจะร้องตาม“ร้องไห้ทำไมคะ” พบตะวันถามเสียงอ่อนโยน แต่เขากลับยิ้มให้ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น“ไม่มีอะไรหรอก”“จะไม่มีอะไรได้ยังไงก็พี่...”“พี่จ้องหน้าจอนานไปหน่อยตาเลยแห้ง”องศาสมุทรหลีกเลี่ยงคำพูด ไม่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง แต่เขาแค่ไม่อยากให้เธอคิดมากไปด้วย อาการเครียดบวกวิตกกังวล ประกอบกับงานที่เขาโหมหนักจนรัดตัวไปไหนไม่ได้กลายเป็นระเบิดเวลา ผ่านหยดน้ำตาที่ไหลริน“พี่โกหกตะวันไม่เนียนเลยนะ ถ้าคบกันแล้วตะวันเป็นความสบายใจให้พี่ไม่ได้... แล้วเราจะคบกันต่อไปได้ยังไงคะ”พบตะวันชักสีหน้าบึ้งตึง มือสัมผัสผิวแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะเอาแก้มตัวเองไปแนบข้างๆ แล้วถูไถคล้ายลูกแมวตัวน้อย“เธอเป็นความสบายใจของพี่ตะวัน” เขาเอาศีรษะมาชนตอบ ก่อนรอยยิ้มที่หวานละมุนจะจุดบนมุมปาก รวบเอวคอดกิ่วมานั่งบนตักพบตะวันคือแสงสว่างในชีวิตเขาเลยล่ะให้พูดยังไงดี... การได้พบเธอทำให้เขามีชีวิตชีวา หลังดำรงชีพไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ไม่กล้าออกนอกคำสั่งที่โดนป้อนมาแต่หลังได้เจอเธอ เขากล้าออกจากกรอบ เพื่อฟังเสียงหั
ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา องศาสมุทรหรือในนามประธานองศา เขาใช้เวลาไปกับงานซะส่วนใหญ่ ในเมื่อท่านอินทัชไม่ให้เงินเดือน จากการทำงานให้บริษัทมาตลอดร่วมเดือน เขาก็เลยผันตัวไปเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจเขาทุ่มหมดหน้าตัก เพื่อหาเงินมาสร้างตัวช่วงเวลาสองทุ่ม เขาก็เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ ภายใต้นามของประธานองศาสมุทรเช่นเคยท่านประธานห่วงคนที่บ้านมากกว่าอยากกลับบ้านใจจะขาดรอมร่อ“สวัสดีค่ะคุณองศา” เสียงหญิงสาวทักทายดังขึ้น พอหันกลับไปมอง เขาก็ส่งยิ้มตามมารยาทให้อีกฝ่าย แม้จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามก็ตาม“สวัสดีครับ เอ่อคุณ...” เขาเลิกคิ้วปนยิ้มขัดเขิน ทำงานจนมึนเบลอ จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเจอพบปะใครมาบ้างคนตรงหน้าตอนนี้ก็ด้วย...หญิงสาวร่างเพรียวระหง ปล่อยผมยาวสยายถึงกลางหลัง เธอวาดรอยยิ้มส่งให้ชายหนุ่ม พลางยกมือทัดใบหูแก้อาการขวยเขิน ท่ามกลางผู้คนมากมายในงานเลี้ยง ประธานองศาโดดเด่นจนเธอต้องเดินเข้ามาทักทาย“ญาดาค่ะ เราเคยเจอกันตอนที่คุยไปบริษัทคราวก่อน”“อ่า ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมเจอคนเยอะมากก็เลยหลงลืมไป”ญาดาป้องปากขำเอ็นดูเขา สมคำร่ำลือจริงนั่นแหละ ประธานหน้าหล่อแต่ติดเย็นชา สีหน้าคมดุพูดจาตร
พบตะวันนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ เธอเฝ้ารอให้แม่ของน้องรักเอย เด็กทารกวัยสามเดือนให้นมเสร็จก่อน ภายในห้องแต่งหน้าไม่มีคนอยู่ แต่สักพักประตูห้องก็เปิดออกพอดีเธอยิ้มให้แม่ของเด็กน้อย ก่อนจะจ้องมองรักเอยตาไม่กะพริบตอนนั้นยูกิก็ตัวเท่านี้เลี้ยงง่ายไม่ดื้อเลย“คุณพบตะวันใช่ไหมคะ” แม่เด็กยิ้มให้ ขณะเดินเข้ามาใกล้เธอ“ใช่ค่ะคุณแม่”“คุณวาแจ้งไว้เรียบร้อยแล้วน้า”พอนั่งลงบนโซฟาข้างกัน พบตะวันก็คลี่ยิ้มบางๆ เมื่อหลุบมองเด็กน้อยตาแป๋ว ยืดเหยียดมือป้อมกับนิ้วน้อยไปมา“ตะวันล้างมือแล้วค่ะคุณแม่ อ่าขอ... ลองอุ้มอย่างเดียวพอแล้วค่ะ”“ให้พี่เขาอุ้มหน่อยนะรักเอย เป็นเด็กดีนะคะ”“น้องรักเอย... ลูกสาวชื่อเพราะจังเลยค่ะพบตะวันตื่นเต้นจนเสียงสั่น เธอล้างมือตั้งหลายรอบระหว่างรอ เพราะรู้ดีว่าเด็กทารกต้องได้รับการปกป้อง เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะน่าสงสาร เด็กไม่สามารถบอกความต้องการได้เพราะงั้นเสียงลูกน้อยร้องไห้ มักจะบาดใจคนเป็นแม่ที่สุดแม่เด็กส่งลูกให้พบตะวันอุ้ม เธอนั่งหลังตรงแล้วโอบอุ้มเด็กน้อย เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนแล้วระบายยิ้มจางๆ “รักเอยขา...”“แอะ”“ว่าไงคะ”ใบหน้าสวยเอียงคอแล้วยิ้มให้ ดวงตาเศร้าหมอ
กองถ่ายละครกำลังครึกครื้น สถานที่ถ่ายทำคือคอนโดใจกลางเมือง หลังขับรถมาถึง องศาสมุทรก็กุมมือพบตะวันขึ้นไปข้างบน มองหาปานนาวาเป็นคนแรก เพื่อจะได้ขออนุญาตแม่นักแสดงตัวน้อยก่อนเพราะนักแสดงที่อยากเจอ อายุเพียงสามเดือนกว่าเท่านั้นเองอายุเท่ายูกิเลย...“นั่งรอในนี้ก่อนเลย เดี๋ยวตอนน้องรักเอยให้นมเสร็จจะพามาหานะ” ปานนาวาพาทั้งสอง เข้ามานั่งในห้องแต่งตัว เพราะแม่ของเด็กที่เข้าฉากกำลังให้นมอยู่ ให้เสร็จเมื่อไหร่จะอุ้มมาให้เล่นกันองศาสมุทรค้อมหัว พลางระบายยิ้มเศร้าบนมุมปาก“ขอบคุณครับพี่วา ผมคงไม่รบกวนพี่มากไปใช่ไหม”“รบกวนอะไรกัน”“ก็...”“เอาเถอะ ปกตินายไม่เคยง้างปากรบกวนพี่ด้วยซ้ำ”คนเป็นพี่สาวไม่รู้สึกว่าเขารบกวนเลย ดีด้วยซ้ำ เธออยากเป็นพี่สาวให้เขาได้พึ่งพิงบ้าง เพราะตอนเกิดเรื่องเธอ องศาสมุทรยืนกรานอยู่ข้างไม่ถอยถึงขั้นจะไปต่อยพ่อของลูกเธอ แต่โชคดี เธอเข้าไปห้ามเขาเอาไว้ได้ทันพ่อของลูกเฮงซวยที่ไม่รับผิดชอบไปตายให้หนอนกินซะเถอะ“พี่ให้คนเอากาแฟขึ้นมาให้นะตะวัน”“ไม่เป็น...”“ไม่ได้หรอก น้องพี่รักใครพี่ก็รักด้วยสิ”พบตะวันยิ้มเศร้าไม่ต่างกัน ปนดีใจที่พี่สาวของเขาใจดีมาตลอดแต่เรื่องราว
พบตะวันอดรนทนกลั้นไม่ไหว เนื้อตัวเธอก็พลันกระตุกเกร็งหนัก ใบหน้าเงยขึ้นรับน้ำฝนที่ตกกระทบลงมา ขณะที่ช่องทางรักขมิบรัดแท่งร้อนถี่ยิบไม่เกินอึดใจ องศาสมุทรก็กระดกก้นขึ้นสวน ปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นข้น อัดฉีดใส่ร่องรักที่รัดเขาแน่น ให้รับหยาดน้ำทั้งหมดของเขาไป“อุ่น... อุ่นจังเลยค่ะ” เธอสบตาเขา พลางหอบหายใจถี่หนักน้ำรักที่แตกหลั่งในรูรัก พุ่งกระฉูดถึงผนังมดลูก ก่อนจะไหลย้อยจากการที่เธอขมิบคาย หลั่งรดเยิ้มลงตรงแก่นกายของเขา ท่ามกลางเสียงหายใจที่สอดประสานกัน เหนื่อยแต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความสุขใบหน้าหล่อเหลายิ้มละมุน เป็นรอยยิ้มที่มีแค่เธอคนเดียวได้เห็นคนอื่นได้เห็นแค่มุมประธานเย็นชาสามีผู้มีสายตาอบอุ่นมีแค่พบตะวันที่ได้รับ“พี่ก็รักเธอตะวัน...” เขาไม่ลืมที่จะบอกรักเธอคืน มือก็จับใบหน้าเรียวเล็กมากดจูบ แต่ปากเธอเย็นชืดจากการตากฝน ทว่าร่างกายของพวกเขากลับร้อนระอุขึ้นมาดื้อๆ“มีความสุขไหม”“มากเลย”“ตะวันก็มีความสุขมากเหมือนกันค่ะ”รอยยิ้มของเธอกลั่นกรองมาจากหัวใจ...บนใบหน้าสวยที่เส้นผมเปียกลู่แนบแก้ม มีรอยยิ้มหวานล้ำประดับอยู่บนมุมปาก เธอน่าจะเป็นคนเดียวที่ทำได้ ทำให้เขายิ้ม แม้ในวันที่ยิ







