ท่านประทานให้เธอขึ้นมาช่วยจัดห้องทำงานใหม่ ร่างบางจัดเก็บเอกสารที่เขากองไว้ให้ใส่กล่องลังกระดาษสีน้ำตาล แล้วก็ขนอุปกรณ์วาดรูปต่างๆ มาวางเรียงเข้ามุมกระจกที่เห็นวิวสวนหลังบ้าน
ทั้งผ้าใบวาดรูปขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป สีน้ำและพู่กันหลายขนาดก็ถูกวางเรียงไว้ที่ชั้นด้านข้างให้เป็นระเบียบ
ธันย์ธาราคัดแยกเอกสารบางส่วนใส่กล่องลัง เขาจะย้ายไปไว้อีกห้องหนึ่ง โดยจะใช้ห้องนี้เป็นที่สำหรับผ่อนคลาย ไม่เหมาะกับการมีกองเอกสารใหญ่โตมโหฬารปิดห้องให้ทึบแบบนี้
ทั้งคู่เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่กำลังช่วยกันจัดห้อง แต่เธอที่ยังหยุดคิดเรื่องคนปองร้ายเจ้านายไม่ได้ เผลอตัวเหลือบมองเขาเป็นระยะราวกับมีบางอย่างที่อยากถามแต่ไม่กล้าพูดไป
“ถ้าจะจ้องขนาดนั้นก็ถามมาเถอะ” เขาพูดขึ้นขณะที่ยกกล่องลังไปไว้ที่มุมห้อง เตรียมให้คนมาช่วยขนย้ายลงไปอีกแรง
“คะ” เธอหลุดออกจากภวังค์ พลันเลิกคิ้วมองไปที่ร่างสูงทันที
ธันย์ธาราจับจ้องสายตาคู่คมไปที่เธอ เห็นมองอยู่นานสองนาน คิดหรือว่าคนที่โดนมองจะไม่รู้สึกตัว
“คุณมีอะไรอยากจะถาม”
“เปล่านะคะ”
เธอรีบปฏิเสธทันควันแต่สีหน้าออกว่ามีเรื่องติดค้างในใจ ร่างสูงที่รู้ว่าเธอกำลังบ่ายเบี่ยงลอบระบายลมหายใจ ดวงตาที่ดูเฉื่อยชาไร้ชีวิตชีวายังคงจ้องเธอเขม็งไม่ละไปไหน
“ไม่มี๊~ ไม่มีเลยค่ะ” เธอยังโบ้ยบ้ายไม่ยอมรับความเป็นจริง
“ผมถือว่าเปิดโอกาสให้...”
“อันที่จริงก็มีข้อสงสัยอยากถามอยู่เหมือนกันค่ะ”
สุดท้ายเธอก็แพ้พ่ายให้ความอยากรู้ในหัว รีบวิ่งแจ้นยิ้มแป้นแล้นไปหาท่านประธาน ก่อนประกบมือเข้าหากันแล้วตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าที่คิดหนักไม่น้อย
“ขอถามแบบรวบหัวกับหางเลยก็แล้วกันนะคะ”
“ว่ามาสิ”
“คุณธันย์ความจำเสื่อมจริงเหรอคะ แล้ว... เรื่องนี้มีฆาตกรตามล่าตัวคุณด้วยหรือเปล่า แบบนี้ก็แปลว่าคุณตกอยู่ในอันตรายสิ อาจจะมีคนปองร้ายคุณอยู่ก็ได้นะคะ”
“ตกลงจะถามหรือพูดเพ้อกันแน่”
“เอ่อ...”
ธารตะวันระบายยิ้มจืดเจื่อน ขำแห้งให้กับความอยากรู้ของตัวเองที่ผสมปนเปจนพูดจาไม่รู้ความ
“ก็คงต้องเรียกว่าความจำเสื่อม ในเมื่อผมจำคนรอบตัวไม่ได้เลย”
“เอ... แล้วจำไม่ได้เลยเหรอคะว่าอะไรทำให้ความจำเสื่อม”
“ถ้าจำได้จะเรียกว่าความจำเสื่อมหรือไง” ร่างสูงเลิกคิ้วมองคนที่พูดจาแปลกพิกล พลางทิ้งร่างนั่งลงบนโซฟานุ่ม
“อ่า ก็จริงค่ะ ว้า... ฉันนี่พูดจาแปลกๆ เนอะ” เธอว่าแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อเขิน ไม่ทันได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลของอีกฝ่าย
ธันย์ธาราขมวดคิ้วมุ่น ความทรงจำใดไม่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด รู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ในสภาพที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว
“ตอนตื่นมาก็ไม่มีความทรงจำเจ้าของร่างแล้ว”
“คะ”
“หมายถึง... จำอะไรไม่ได้นั่นแหละ”
พูดจบเขาก็ระบายลมหายใจทิ้ง ใบหน้าเฉยชาดูไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ ผิดถนัดกับนักอ่านจอมเพ้อที่อยากแปลงร่างเป็นนักสืบจำเป็น
“แล้วเหตุอะไรที่ทำให้คุณธันย์โดนลอบทำร้ายล่ะคะ” เธอพูดพึมพำกับตัวเอง แต่เขาได้ยินเข้าแล้วเงียบไปเพื่อฉุกคิดตาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่... มีคนวางยาในอาหารให้ผมกิน”
“วางยาในอาหารเหรอคะ”
“ใช่ อาหารในโรงพยาบาลมียาพิษ”
ขนหลังคอเธอลุกวาบขึ้นมาในฉับพลัน แต่กับประธานธันย์กลับไม่มีสีหน้าหรือแสดงท่าทางใดออกมา จะเย็นชาแม้แต่กับความเป็นความตายไม่ได้สักหน่อย นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะ
“หรือว่าคุณธันย์ไปขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจใครหรือเปล่าคะ” เธอหลุบตาคิดหนัก ระดมสมองทุกซีกให้เพ่งพินิจพิจารณาความเป็นไปได้
“ก็ไม่แน่”
“หรือไม่ก็...ปมพี่น้องแย่งสมบัติ ชิงดีชิงเด่นอะไรเทือกนั้นมั้ย”
“ไม่ใช่หรอก”
“บางทีอาจจะเก็บความลับใครไว้... เขาก็เลยตามเก็บคุณธันย์”
สิ้นประโยคนั้นธารตะวันก็เงยหน้ามองเขา ถึงได้เห็นว่าเขามีสีหน้าเหยเกที่เธอพูดเพ้อไปเรื่อย โดยไม่มีหลักฐานแน่ที่แน่ชัด เหมือนเป็นแค่ข้อสันนิษฐานของคนที่ชอบมโนเพ้อพกเสียมากกว่า
“เป็นนักเขียนเหรอไง ถึงได้มโนเป็นฉากขนาดนี้”
เป็นนักอ่านต่างหาก...
เธอได้แค่คิดไม่กล้าพูดออกไป กลัวโดนไล่ออกจากงานซะก่อน
“ถึงสิ่งที่ฉันพูดจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่มันก็มีแนวโน้มไปทางนั้นไม่ใช่เหรอคะคุณธันย์”
คิ้วเข้มเหนือดวงตากระตุกนิดๆ หากมาครุ่นคิดดู สิ่งที่เธอพูดก็มีสิทธิ์ที่จะเกิดขึ้นเหมือนกัน หากเขาไปขัดประโยชน์ใครเข้า หรือก่อนที่ความทรงจำจะหายไปมีการดีลผลประโยชน์ไม่ลงตัว
จะโดนตามเก็บไม่ก็แปลกอะไร...
“วันนั้นที่ทางม้าลาย... ฉันคิดว่าผู้ชายชุดดำที่ขับมอเตอร์ไซค์จงใจจะขับรถชนคุณค่ะ”
“จริงเหรอ”
“แต่พระเอกของเรื่องไม่ตายหรอก... เชื่อฉันสิคะ”
เธอยังพูดติดตลกได้อยู่ เพราะในนิยายพระเอกจะตายตอนจบได้ยังไงกันล่ะ แต่วินาทีต่อมาก็หุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อนิยายเรื่องล่าสุดที่ได้อ่านตัวนางเอกเพิ่งทิ้งร่างดิ่งลงทะเลกว้างในตอนจบไป
“พระเอก... ของเรื่องอะไรนะ”
“ช่างเถอะค่ะ ฉันก็พูดไปเรื่อย... เดี๋ยวฉันยกไปเก็บให้ค่ะ”
เธอรีบเสนอตัวเข้าไปช่วยเขาที่ก้มหยิบกล่องบนพื้น แต่ทว่าดันออกตัวแรงเกินไปหน่อย ในหัวไม่ทันประมวลผลร่างกายเลยขัดข้องให้แข้งขาพัลวันกันไปหมด
“ธารตะวัน...”
ตุบ
เสียงตุบดังขึ้นหลังประธานธันย์เรียกชื่อเธอ ร่างบางที่ล้มวืดลงไปด้านหน้าไขว่คว้าอากาศไว้ไม่ทัน อย่างกับฉากนิยายรักน้ำเน่าที่เคยอ่านไม่มีผิด
นางเอกมีอาการขาอ่อนแรง และต้องล้มใส่คนที่เป็นพระเอกเท่านั้น
เธอเคยเกิดคำถามในหัว ทำไมตัวหลักของเรื่องถึงได้แข้งขาอ่อนแรงนักหนา มาวันนี้ได้เข้าใจแล้วว่าทำไม คงเป็นเพราะนักเขียนที่เสกสรรหรือไม่ก็พระเจ้าบัญชาให้ต้องเกิดแค่นั้นเอง
“โอะ” เธอร้องเบาๆ เมื่อร่างอัดกระแทกกับแผงอกกำยำของอีกฝ่าย จากที่จะล้มลงบนพื้นแข็งๆ ก็กลายเป็นร่างหนาที่เข้ามารับได้ทัน
นี่มันฉากในละครที่เคยดูชัดๆ
ธารตะวันใจเต้นแรงไม่หยุด เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วสบประสานกับดวงตาคู่คมของเขา ระยะห่างใบหน้าเพียงคืบเดียว ทำให้ข้างแก้มเธอขึ้นริ้วสีแดงระเรื่อ
ใบหน้าหล่อคมมุ่นคิ้วดูหงุดหงิดใจ ก่อนจะเลิกคิ้วใส่เธอที่ยังไม่ยอมลุกไปจากตัวเขาอีก
“หนัก”
“คะ”
“ลุกได้แล้ว... ผมหนัก”
ราวกับมีใครตีระฆังให้ดังกังวานในหัวนักอ่านจอมเพ้อ ให้เลิกมโนเพ้อพกถึงนิยายรักน้ำเน่าได้แล้ว เธอกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะรีบลุกพรวดพราดแล้วยิ้มแห้งให้คนตรงหน้า
“ขอโทษค่ะ... แฮะ งั้นฉันเอากล่องไปไว้ข้างนอกนะคะ”
นี่แหละหนา... อานิจจังยัยจอมมโนกับท่านประธานจอมขัด
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห