ธารตะวันทำงานให้กับประธานธันย์ร่วมสัปดาห์แล้ว หน้าที่ของเธอคือดูแลจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อธันย์ธารา ตามที่เขาแจ้งไว้ในตอนแรกก่อนรับเข้าทำงานทุกกระเบียดนิ้ว
หากวันไหนเขาจะทานมื้อเช้า ธันย์ธาราจะส่งเมนูที่อยากกินมาให้เธอรู้ล่วงหน้าก่อน เขาฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจับจิต จนตอนนี้ไม่กล้าออกไปทานร้านอาหารข้างนอกด้วยซ้ำ
ทุกอย่างต้องปรุงสุกใหม่ ผ่านมือผู้ช่วยธารตะวันแล้วเท่านั้น
ท่านประธานไม่ยอมออกไปทานข้าวข้างนอก แต่จะทำการจ้างเชฟระดับแนวหน้ามาที่บ้าน แล้วให้ธารตะวันจับตาดูทุกวิธีทำอย่างละเอียด
คนรอบข้างต่างก็แปลกใจ อะไรเป็นสาเหตุให้เขาไว้ใจเธอขนาดนี้
“ปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้หวานน้อยเหมือนเดิมนะคะ” น้ำเสียงสดใสพูดคุยกับแม่ค้าร้านปาท่องโก๋เจ้าประจำ
เป็นร้านรถเข็นที่ขายในมุมตึก ควันโขมงโฉงเฉงส่งกลิ่นหอมเรียกลูกค้าที่เดินผ่านให้หยุดสนใจ ไหนจะปาท่องโก๋เนื้อสัมผัสนุ่มละมุน จิ้มกับสังขยาใบเตยที่เข้ากันมันโคตรจะฟินเลย
“คนสวยไปทำงานแต่เช้าเลยนะลูก ขยันจริงเชียว” แม่ค้ารุ่นใหญ่ที่ขายมาเกือบสิบปีเอ่ยชม ทำเอาร่างบางยิ้มอายๆ แล้วสะบัดมือแก้เขิน
“อ้าว คุณป้าหยุด 7 วันเลยเหรอคะ” เธอเอียงคอถาม หลังตาไปอ่านป้ายกระดาษที่เขียนด้วยลายมือแปะหน้าร้าน
“ใช่จ้ะ ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับลูกสาว ขายมาทั้งปีแล้วไม่ได้หยุดเลย”
“โอ้โห สุดจะเริ่ดเลยคุณป้า... แต่แบบนี้ใครจะคอยเรียกหนูว่าคนสวยในทุกเช้าล่ะคะ”
“อ้าว ปกติหนูไม่ได้ซื้อเพราะป้าทำอร่อยเหรอลูก”
ทั้งคู่ป้องปากหัวเราะขบขันกันเป็นปกติ วันไหนตื่นเช้าแล้วมีเวลาเหลือเป็นต้องแวะซื้อตลอด เธอชอบกินลมชมวิวระหว่างนั่งรอรถ กว่ารถโดยสารจะมาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ก็ย่อยละเอียดแล้ว
แต่ระหว่างที่ยืนดูแม่ค้าตักน้ำเต้าหู้กับคีบปาท่องโก๋เพลินๆ เธอก็ดันนึกถึงใครบางคนขึ้นมา อยากให้เขาได้ลองชิมความอร่อยนี้ด้วยกัน
“ป้าจ้ะหนูขอน้ำเต้าหู้เพิ่ม 1 แล้วก็ปาท่องโก๋อีก 1 ชุดนะคะ”
“ได้เลยจ้ะ เดี๋ยวป้าทำแถมปาท่องโก๋ให้ 2 ตัว”
“หนูเกรงใจนะเนี่ย แต่ถ้าให้ก็ขอขอบคุณมากเลยค่ะ” เธอยิ้มรับแล้วยกมือไหว้งามๆ หัวเราะคิกคักกับเจ้าของร้านอย่างอารมณ์ดี
หลังจากได้น้ำเต้าหู้ร้อนๆ กับปาท่องโก๋หอมๆ มา เธอก็เดินเคี้ยวแก้มตุ่ยขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำไปเพื่อรอรถโดยสาย
ทว่าวินาทีที่ช้อนตาขึ้นมองไปข้างหน้า แล้วสบเข้ากับแม่ที่แบกเป้อุ้มให้ลูกน้อยอยู่ด้านหน้า มืออีกข้างจับกับชายหนุ่มที่เป็นสามี อกข้างซ้ายเธอก็พลันเจ็บแปลบขึ้นมาราวกับโดนคมมีดกรีดกลางใจ
“อึก...”
เธอยกมือขึ้นกุมกลางอก มองภาพครอบครัวสุขสันต์กำลังเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะขยับไปจับราวสะพานเมื่อรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา
“ชาติหน้า... กลับมาเกิดเป็นลูกของแม่ใหม่นะตัวเล็ก”
“อ่ะ” เธอกัดปากล่างจนห้อเลือด เรียวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันแน่น
ยังจำประโยคเรียกน้ำตาได้ไม่ลืม ในวันที่ตัวละครธารตะวันเครียดหนักจนแท้งลูกในไส้ ตัวต้นเหตุอย่างสามียังนอนกกชู้ไม่ห่างเตียง
นี่น่ะเหรอความรู้สึกของตัวละคร...
แค่อ่านผ่านตัวอักษรก็ปวดใจแทบแย่ นี่ยังต้องสัมผัสความรู้สึกของตัวเอกในภาคก่อนอีกเหรอเนี่ย
“ยังไงครั้งนี้ก็ต้องแฮปปี้เอน...”
นัยน์ตาสีสวยสะท้อนกับแสงอาทิตย์ เมื่อช้อนมองตรงไปยังทางข้างหน้า ทอประกายความมุ่งมั่นที่จะพานิยายเรื่องนี้ไปสู่จุดจบที่เรียกว่าสุขนิยมให้ได้
ธารตะวันภาคนี้ไม่เอาสามีคนเก่าอีกแล้ว!
ร่างบางลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างอ่อนแรง ควักเงินจ่ายค่ารถด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก หลังนั่งซึมเหม่อตอนอยู่บนรถโดยสารประจำทางเพราะความรู้สึกที่ตกค้างในใจ
“เฮ้อ อย่าไปท้อ อย่าอ่อมสิอย่าอ่อม เอเนอจี้มา... เอเนอจี้” เธอพูดขึ้นกับตัวเอง พร้อมกางแขนเงยหน้าปลุกพลังในยามเช้า
ป้าแม่บ้านที่เพิ่งรดน้ำต้นไม้เสร็จชะโงกหน้า พลางส่ายตามองหาว่าเธอยืนคุยกับใครอยู่ แต่พอเห็นว่าแขกผู้มาเยือนคุยคนเดียว มือก็คว้าพระที่ห้อยคอมากำไว้แน่นก่อนส่งเสียงถามออกไป
“ทำอะไรเหรอคะคุณตะวัน”
“อุ้ย ตกใจหมดเลยจ้ะป้า”
ต่างคนต่างตกใจผงะตัวไปข้างหลัง ก่อนเธอจะยิ้มหวานพนมไหว้มือป้าแม่บ้านอย่างนอบน้อม
“ป้าเห็นเรายืนคุยคนเดียวตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ะ” ป้าแม่บ้านยิ้มแล้วก็ชะเง้อมองดูอีกทีว่าไม่มีใครอีกคนแถวนี้
“อ๋อ เรียกพลังก่อนเริ่มงานน่ะค่ะ แบบว่าบูทเอเนอจี้จ้ะ”
“บูท... บูทเอเวอรี่อะไรนะคะ”
คำศัพท์ที่ไม่สันทัดคนฟัง ทำเอาป้าแม่บ้านมุ่นคิ้วแล้วอ้าปากพะงาบจะพูดตาม แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความพยายามไป
“ลุยๆ อย่าไปอ่อม อย่าได้ยมเด็ดขาดธารตะวัน!”
เธอฉีกยิ้มแป้นให้อีกฝ่าย ก่อนจะกำมือทั้งสองข้างปลุกใจ พร้อมกับส่งเสียงฮึกเหิมแล้วเดินผ่านหน้าหญิงวัยกลางคนไป
ป้าแม่บ้านมองจนเหลียวหลัง พลางยกมือขึ้นเกาหัวแกรก ไม่คิดว่าเจ้านายอย่างประธานธันย์จะมีลูกน้องนิสัยแปลกชอบกล คราวก่อนตอนทำอาหารก็ดันสังเกตเห็นเธอยืนหัวเราะอยู่คนเดียว
“สวยนะ... แต่ทำไมทำตัวแปลกจัง” พูดแล้วก็ส่ายหัวปนยิ้มเอ็นดูคนรุ่นลูก ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
พอก้าวเท้าเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเธียรประทีบนับอนันต์ ร่างบางก็เตรียมจะปรี่ตรงไปยังห้องครัวเป็นอันดับแรก ทว่าหางตาดันขี้สงสัยเกินเหตุให้เหลือบไปมองอะไรแวบๆ ผ่านไป
“น้าหนุน...” เธอเรียกชื่อเจ้าแมวสีขาวตัวอวบอ้วน พลันลอบถอนหายใจทิ้งที่นึกว่าตาฝาด ก่อนจะยิ้มให้เจ้าขนปุยที่นั่งเลียเท้าหน้า และถูใบหูตามวิถีแมวรักสะอาด
“น้าหนุนไม่รอพ่อเลย” เสียงชายหนุ่มดังแว่วมาแต่ไกล พอหันไปก็เห็นคนหน้าละม้ายคล้ายกับเจ้านายเธอวิ่งเข้ามา
“คุณธารภูมิภัครสวัสดีตอนเช้านะคะ” เธอค้อมศีรษะทักทายคนที่รุ่นราวเดียวกัน
“สวัสดีครับคุณผู้ช่วย” เขาหันมาทักทายเสียงสดใส เป็นชายหนุ่มผู้ที่มากด้วยพลังบวกเลยก็ว่าได้
พี่น้องแย่งชิงสมบัติกันมีให้เห็นถมเถ ไม่ว่าจะชีวิตจริงหรือละครหลังข่าวก็ตาม แต่กับพี่น้องบ้านนี้ดูรักใคร่กลมเกลียวกันดีออก
“พี่ธันย์ยังไม่ตื่น คุณผู้ช่วยปลุกทีนะครับ”
“ได้ค่ะ”
“ไปน้าหนุน”
เขาย่อตัวไปอุ้มแมวรัก ซึ่งเธอรู้มาว่าน้าหนุนเป็นแมวจรที่เก็บมาเลี้ยง ตั้งชื่อว่าน้าหนุนก็เพราะเจอใต้ต้นขนุน ตอนไปเจอคือโดนรถชนจนขาหักแล้วน้าหนุนก็อายุมากแล้วด้วย
ตอนนี้กลายเป็นนายใหญ่ของที่นี่ไปแล้ว
เธอไล่สายตามองตามแผ่นหลังธารภูมิภัคร น้องชายของประธานธันย์ธารา ชายหนุ่มผู้รักสัตว์แล้วก็ยิ้มง่าย อีกทั้งยังอัธยาศัยดีทักทายเธอทุกครั้งที่เจอกัน
ถ้าเป็นประเด็นของพี่น้องแก่งแย่งชิงดีกัน บางทีก็อาจจะต้องปัดตกประเด็นนี้ไปก่อน
“อาจจะยังล่ะมั้ง... อาจจะยังไม่ใช่น้า”
เธอยกมือขึ้นเกาหัวแล้วถอนหายใจ ในมุมมองบุคคลที่หนึ่งเธอไม่สามารถเห็นหรืออ่านความคิดตัวละครได้ แตกต่างจากตอนเป็นนักอ่านที่กล้าตบเข่าฉาดฟันธงว่าใครเป็นตัวร้าย
เมื่อรู้ตัวว่าคิดมากไป เธอก็รีบสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่า ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปตามประธานธันย์ที่น่าจะยังไม่ตื่น
ปกติเธอก็ปลุกเขาในบางวันอยู่แล้ว ครั้งนี้พอเคาะประตูแล้วไม่มีเสียงตอบรับก็เปิดเข้าไปทันที แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อไม่พบคนบนเตียง
“คุณธันย์ตื่น... อ้าว ไปไหนของเขาอ่ะ”
แกรก
เสียงลูกบิดประตูที่ดังขึ้น ฉุดดึงความสนใจให้เธอหมุนตัวกลับไปมอง ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกตาเท่าไข่ห่านเข้าให้ในฉับพลัน
“ว้าย... ตาเถรตกหกหมดแล้วแม่!”
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห