เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง
“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว
“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้
ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมา
แต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”
พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้
“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน
“รังเกียจพี่เหรอ...”
“คะ”
“เราคุยกับพี่ตามตรงได้เลยนะ”
ร่างบางรีบโบกมือปฏิเสธแล้วสั่นหัวร่วมด้วย อะไรที่ทำให้เขาไล่ต้อนเธอจนมุมเรื่องนี้กันนะ บางทีเธอไม่ได้รังเกียจหรอก แต่การไม่โคจรกลับมาเจอกันอีกเลยมันอาจจะดีกว่า
“ไม่ได้รังเกียจค่ะ แต่งานบางวันก็ไปที่บ้านคุณธันย์ บางวันก็ต้องไปนอกสถานที่นอกจากบริษัทต่างหากค่ะ... คงไม่สะดวกจริงๆ”
พูดจบเจตกวินก็ขมวดคิ้วคิดตาม คำพูดแก้ไขสถานการณ์ของเธอทำให้เขายอมรับได้ และสุดท้ายก็ยอมยกธงขาวไม่เซ้าซี้อะไรต่อ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่วนกลับมาเจอเธออีก…
“ก็ได้ครับ ถ้างั้นน้องตะวันรีบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
เธอยิ้มรับพร้อมค้อมศีรษะแทนคำลา เดินขากะเผลกเข้าบริษัทไปยืนรออยู่หน้าลิฟต์ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประธานธันย์เดินตามหลังเข้ามา พนักงานที่เดินผ่านต่างก็ยกมือไหว้และค้อมศีรษะทำความเคารพท่านประธานใหญ่
เขาเห็นภาพของคุณผู้ช่วยกับรุ่นพี่เธอยืนคุยกันแล้ว แต่แค่ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ซักถามเรื่องส่วนตัวของเธอเท่านั้นเอง
“ธารตะวัน” เขาเปล่งเสียงเรียกชื่อเธอ ทำให้เจ้าของชื่อหยุดชะงักฝ่าเท้าลง ก่อนหมุนตัวหันหลังกลับมาหาทันที
“คุณธันย์...” เธอยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นหน้าเจ้านายในเช้าแรก
“ขาคุณไปโดนอะไรมา”
“ซุ่มซ่ามนิดหน่อยค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขิน พลางช้อนตามองคนตัวสูงกว่าที่เดินมายืนรอลิฟต์ขนาบข้าง
ถ้าบอกว่ากระโดดจับกบกลางอากาศ เธออาจจะอับอายมากกว่านี้ก็เป็นได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มแป้นแก้มกลมแต่เช้า ก่อนจะหันมองไปที่ต้นเสียงของเด็กน้อยที่เรียกชื่อธันย์ธารามาแต่ไกล
“ลุงธันย์ค้าบ” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังขึ้น พอธารตะวันผงะเอนตัวมอง เธอก็พบกับเด็กชายวัยสามขวบวิ่งโกยเข้ามาหาเขา
“น้องกร...”
“มังกรคิดถึงลุงธันย์ที่สุดเลย”
ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงให้ใบหน้าเสมอกับเด็กน้อย พร้อมกับอ้าแขนโอบรับเด็กชายแล้วอุ้มขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน โดยมีผู้ชายอีกคนใส่ชุดสูทเดินตามหลังมา เขาแต่งตัวสุภาพและหน้าละม้ายคล้ายกับเด็กน้อย
“ปากหวานแบบนี้ จะอ้อนลุงธันย์ให้ซื้อรถบังคับล่ะสิ” ตัวละครใหม่หันไปยิ้มกับเจ้าเด็กจิ๋วที่ธันย์ธาราอุ้มอยู่
“จริงหรือเปล่าน้องกร อ้อนลุงจะเอาของเล่นเหรอครับ”
เจ้าเด็กน้อยมังกรยิ้มเผล่ เมื่อผู้เป็นพ่อรู้ใจเขาเสียดิบดี ทำเอาสองหนุ่มหัวเราะครืนอย่างนึกเอ็นดู จนธารตะวันที่ยืนอยู่นอกบทสนทนาแอบหูผึ่ง สายตาก็สอดส่องมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วย
“เอาไว้ลุงคุยงานกับพ่อเราเสร็จ ค่อยไปซื้อกันดีมั้ย”
“ดีครับลุงธันย์ น้องกรรักลุงธันย์ที่ฉุดเยยค้าบ”
ว่าแล้วเด็กน้อยก็หอมแก้มธันย์ธารา เป็นภาพที่ทำให้เธออดยิ้มตามไม่ได้เลย หากเขาเป็นพ่อของใครสักคนขึ้นมา คงจะเป็นคุณพ่อที่อบอุ่นน่าดู
วาสนาพ่อของลูกใครกันนะ...
“แล้วไม่รักปะป๊าเหรอครับน้องกร” คนเป็นพ่อก็รีบถามหาคะแนนจากลูกชายด้วยทันที
“วันนี้น้องกรรักลุงธันย์มากกว่าปะป๊า 1 วัน” น้องมังกรทิ้งหัวซบไหล่ลุงธันย์อย่างออดอ้อน จนเธอเผลอยิ้มตามอย่างอิ่มเอมใจไปด้วย
คุยกันสักพักสองพ่อลูกก็พากันไปเข้าห้องน้ำ แล้วบอกจะตามประธานธันย์ขึ้นไปคุยงานทีหลัง เธอที่ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามก็งุนงง ยืนเงียบไม่กล้าละลาบละล้วงอะไรออกไป
“เมืองเอกเป็นเพื่อนผมเอง ลูกชายชื่อน้องมังกรน่ะ” เขาพูดเสียงเรียบราวกับอ่านใจคุณผู้ช่วยที่ยืนเงียบอยู่
“อ๋อค่ะ รับทราบคุณธันย์” เธอค้อมศีรษะรับคำในทันที
ทั้งคู่อยู่ในลิฟต์ที่กำลังขึ้นไปยังชั้นของท่านประธาน ระหว่างที่ความเงียบเข้าเกาะกุม ธันย์ธาราก็เอ่ยถามเสียงเรียบขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เวลาโดนเรียกว่าลุง มันจะดูแก่หรือเปล่าคุณ” เขายืนเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อย ทำให้เธอมองเห็นเขาผ่านไหล่กว้างจากด้านหลัง แต่มองจากข้างหลังยังรู้เลยว่าหล่อมาก
“แค่เรียกว่าลุงก็ไม่ได้เหมารวมว่าแก่หมดสักหน่อย”
“ผมแค่รู้สึกแก่น่ะ เวลาโดนหลานเรียกว่าลุง”
“แต่ถึงจะเป็นคุณลุงแล้ว แต่คุณธันย์ก็เป็นคุณลุงที่หล่อระดับยอดพีระมิดเชียวนะ”
เธออดที่จะเยินยอความหล่อระดับพระเจ้าสร้างไม่ได้ พร้อมตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะแห้งเบาๆ เมื่อเจ้านายเงียบไปกะทันหัน ราวกับใครเดินสะดุดปลั๊กคอมพิวเตอร์ยังไงยังงั้น
“คุณธันย์ทำไมเงียบไปล่ะคะ” สุ้มเสียงติดเกรงใจเอ่ยถามออกไป
กระทั่งเขาเอี้ยวลำคอหันหน้ามามอง เธอก็พบว่าบนผิวแก้มเขามีเลือดฝาดแดงระเรื่อ คล้ายว่าแพ้อากาศจนหน้าเห่อร้อนขึ้นมา
“คุณธันย์แพ้อากาศหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าแดงจัง”
“ไม่มีอะไร ช่างเถอะ”
ธันย์ธาราบอกปัดเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะรีบเดินออกจากลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิด ทำเอาคนที่ยังยืนอยู่เกาหัวแกรกด้วยความงงงวย
“อ้าว อะไรของเขา...”
เธอหรี่ตาครุ่นคิดหนัก ก่อนจะนิ่งงันจนหน้าแอบถอดสี เพราะวันนั้นที่เมาจนแทบไม่ได้สติ เธอจดจำไม่ได้เลยว่าเผลอพูด หรือทำอะไรแปลกตาที่คนปกติเขาไม่ทำหรือเปล่าน่ะสิ
เพราะพอเธอตื่นมา ธันย์ธาราก็หายตัวไป ทิ้งไว้แค่โน้ตลายมือบนโพสอิทว่ากลับก่อนเท่านั้น จนกระทั่งรุ่งขึ้นของอีกวัน เขาก็ทำตัวแปลกไปอย่างที่เห็นเลย
“คงไม่ได้ทำอะไร... ล่วงเกินเขาใช่มั้ยเรา”
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห