เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุด
ถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันที
ทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว
“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันที
ทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย
“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”
“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”
ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้
อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที่เกิดเหตุ ยังเสียหายจนไม่มีไฟล์หรือข้อมูลเหลือทิ้งให้มีผลประโยชน์กับรูปคดีเลย นั่นก็เท่ากับว่าชีวิตเขาเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา
เขาอยู่ในที่สว่าง แต่ต่อสู้กับปีศาจร้ายในเงามืด จับมือใครดมไม่ได้เลยสักคน เพราะเขาจำเรื่องราววันที่เกิดเหตุไม่ได้ด้วย
“กูไม่เคยเห็นมึงมีปัญหากับใคร แต่ทำไมกูถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นแปลกๆ วะไอ้ธันย์”
“กูก็ไม่รู้ว่าไปขัดแข้งขัดขาใครไว้หรือเปล่า ตอนนี้ก็เลยพักเรื่องงานที่จะสานต่อไว้ทั้งหมดก่อน”
พวกโพรเจกต์งานฟอร์มยักษ์ต้องพักไว้ก่อน จะมีก็แค่ร้านที่หุ้นส่วนกับเมืองเอกที่เขาประสานงานทำต่อได้ หากคดีมีความคืบหน้ามากกว่านี้เขาคงสบายใจในการทำงานได้เยอะ
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูช่วยมึงอีกแรง”
“อืม ขอบใจมึงมาก”
ธันย์ธาราพยักหน้ารับ พลางลอบถอนหายใจทิ้งเบาๆ ก่อนเมืองเอกจะโพล่งขึ้นด้วยความตกใจ หลังได้รับข้อความจากเลขาส่วนตัวถึงงานด่วนสำคัญ
“แย่ละ กูมีคุยงานด่วนว่ะ”
เมืองเอกลุกพรวดพราดด้วยความรีบร้อน โดยไม่ลืมหันไปฝากลูกไว้กับเพื่อนรักก่อน เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่หอบลูกน้อยไปไหนมาไหนเวลาว่าง แต่เกรงว่าถ้าคุยงานสำคัญคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“ฝากลูกไว้ก่อนได้มั้ยวะไอ้ธันย์” เขาทำสีหน้าลำบากใจ เกรงจะพาคนอื่นลำบากช่วยดูลูกให้ก่อน แม่บ้านก็ลาป่วยเป็นอาทิตย์อีกด้วย จะหาคนมาดูแลให้ก่อนงานก็รัดตัวเขาอีก
“เออ เดี๋ยวกูดูแลมังกรให้มึงก่อน”
“ขอบใจว่ะ มานัดคุยด่วนไรตอนนี้ว้า”
อีกฝ่ายก้าวเท้าฉับไวออกจากห้องทำงาน พอเดินออกมาก็เห็นว่าเจ้าลูกชายนั่งเล่นไอแพดกับคุณผู้ช่วยสบายใจเฉิบ
ธันย์ธาราเดินตามหลังออกมา ก่อนจะพบว่าธารตะวันนั่งเล่นเกมฝึกสมองต่อคำศัพท์กับมังกร เด็กน้อยที่ชื่นชอบเกมนี้เป็นพิเศษ จนนั่งจดจ่อเป็นชั่วโมงก็ยังรู้สึกสนุกอยู่
“น้องกรครับ”
“ปะป๊า”
เด็กน้อยกระโดดลงจากโซฟา วิ่งเตาะแตะเข้าไปหาคนเป็นพ่อที่ย่อตัวให้ใบหน้าเสมอกับลูกชาย
“ปะป๊ามีงานด่วนต้องไปคุยงานก่อน แล้วเดี๋ยวปะป๊าจะกลับมารับน้องกรนะครับ อยู่กับลุงธันย์อย่าดื้อนะลูก”
“ได้ครับ น้องกรจะอยู่กับพี่คนสวย”
ไม่พูดเปล่า เด็กน้อยยังหันไปยิ้มให้ธารตะวัน ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามหลุดยิ้มอย่างเอ็นดูเจ้าตัวเล็ก ไม่ต่างจากเมืองเอกที่กุมขมับเพราะลูกชายดูท่าจะได้เชื้อเขามาเต็มๆ
“ได้เชื้อพ่อมันมาเต็มๆ เลยเว้ยลูกกู” เมืองเอกส่ายหน้าปนยิ้ม
ร่างเพรียวระหงลุกจากโซฟา เดินเข้าไปจับมือเด็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่ายคลายกังวลใจ งานดูแลเด็กสบายมากสำหรับเธอ โลกที่จากมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กน้อยวัยเตาะแตะเธอก็ทำมาแล้วทั้งนั้น
“เดี๋ยวฉันดูแลน้องกรให้ค่ะคุณเมืองเอก ไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ขอบคุณมากเลยครับ... ปะป๊าไปนะครับน้องกร”
เมืองเอกยิ้มให้ธารตะวัน พลางลูบหัวลูกน้อยแล้วหันไปพยักพเยิดหน้ากับธันย์ธารา ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าลิฟต์ไปคุยงานทันที
พอเหลือกันแค่สามคน มังกรก็เงยหน้ามองคนตัวสูง ทำตาแป๋วออดอ้อนแล้วยื่นมือไปจับนิ้วมือของประธานธันย์ไว้ ส่วนอุ้งมือป้อมๆ อีกข้างก็จับมือของคุณผู้ช่วยไม่ปล่อย
“รถบังคับน้องกรลุงธันย์...” มังกรทำเสียงอ้อน ก่อนจะฉีกยิ้มหวานจนเห็นฟันซี่น้อยๆ ในปาก
“ถ้างั้นเราไปซื้อกันเลยมั้ย”
“เย้ รถบังคับน้องกรๆ”
เด็กน้อยร้องดีใจยกใหญ่ ก่อนที่จะหันมาชูแขนทั้งสองข้างขึ้น ออดอ้อนธารตะวันให้เธออุ้ม ไม่วายส่งตาแป๋วๆ มองมา แบบนี้จะไม่ให้เธอใจอ่อนได้ยังไงกัน
“เดี๋ยวผมอุ้มน้องกรเอง คุณเจ็บขาอยู่ไม่ใช่เหรอ” ธันย์ธาราปรามไว้ก่อน หลังเห็นพลาสเตอร์ยาที่หัวเข่าเธอ
ใบหน้าจิ้มลิ้มหลุบมองตามสายตาเขา พลางโบ้ยมือเชิงว่าแผลแค่นี้มันจิ๊บจ้อยมากๆ ยังห่างไกลหัวใจของเธออีกเยอะ
“หายแล้วค่ะ ตอนนี้กระโดดได้สบายมาก... ฉันโดดให้ดูมั้ยคะ” เธอยิ้มเผล่ดูขี้เล่นตามประสา แต่หัวหน้าอย่างธันย์ธาราส่ายหัวรอแล้ว
“คุณเป็นเด็กรึไง”
“ผู้ใหญ่ก็เล่นสนุกได้นะคะ”
สิ้นประโยคนั้น เธอก็ฉีกยิ้มแกนๆ แทนคำโต้เถียงเขา ก่อนธันย์ธาราจะย่อตัวลงไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแทน ต่อให้เธอยืนยันว่ากระโดดเป็นจิงโจ้ที่ออสเตรเลียได้ เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“คุณต่างจากที่ผมคิดไว้เยอะเลยธารตะวัน” เขาเหลือบสายตามองเธอที่เดินขนาบข้างๆ ขณะที่ยิ้มเล่นกับน้องกรอยู่สองคน
“แล้วคุณคิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนคะ”
“อาจจะพูดไม่ค่อยเก่ง... ขี้อาย เก็บตัว”
พอได้ยินแบบนั้น เธอก็เร่งฝีเท้าก้าวให้ทันเขา พลางชะโงกหน้ามองประธานธันย์ที่ปรายหางตามองมา
ธารตะวันที่เขาพูดถึงน่ะ เธอเคยอ่านในนิยายมาก่อนล่ะ แต่คนนี้คือพบตะวันที่ได้สวมบทบาทเป็นตัวแทน เพราะงั้นนิสัยของคนก่อนก็คงไม่สามารถแทรกซึมความเป็นเธอได้
เพราะธารตะวันเวอร์ชั่นนี้คือขั้วตรงข้ามเลยล่ะ
“ฉันเคยรู้จักธารตะวันคนนั้นนะคะ แต่คงไม่ใช่ธารตะวันคนนี้”
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”
“ฉันพูดได้เหรอ”
“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลามุ่นคิ้วงงกับคำพูดเธอ กระทั่งเดินเข้ามาในลิฟต์ทั้งสามคน เธอก็กวาดสายตามองความผิดปกติไปรอบบริเวณ กลัวถ้าหลุดปากพูดออกไปแล้วจะเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ขึ้นมา
“คุณธันย์เชื่อเรื่อง... การทะลุมิติไหมคะ”
“ทะลุมิติเหรอ”
“ถ้าฉันไม่ใช่ธารตะวัน แต่... ต้องใช้ชีวิตเป็นธารตะวันน่ะ”
เธอตั้งท่าเล่าอย่างออกรสชาติ มองประธานธันย์ที่ย่นคิ้วเข้าหากันนิดๆ แต่ไม่ได้พูดขัดหรือแทรกว่าเธอกำลังเพ้อเจ้ออยู่
“ถ้าเป็นแบบนั้นคุณจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดหรือเปล่า...”
“แกว่าถ้าเราตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก... มันจะแย่มากมั้ย”คำถามจากแพรพิมพ์ดาวเอ่ยขึ้น ฝ่าความเงียบให้เจ้าของห้องอย่างธารตะวันเงยหน้ามอง เธอกำลังตั้งใจโซ้ยสุกี้น้ำที่อีกฝ่ายซื้อมาฝากถึงห้องในยามดึก ทว่าพอเกริ่นเรื่องนี้เธอก็รีบเคี้ยวแล้วกลืนทันที“แกมีความรักเหรอ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างใจจดใจจ่อ“ก็เปล่าหนิ” คู่สนทนาสั่นหัวปฏิเสธตอบกลับมา“แล้วถามทำไมอ่า”ธารตะวันหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เมื่อแพรพิมพ์ดาวแสร้งทำเป็นหลบสายตา ก้มหน้าใช้ช้อนตักสุกี้ตัวเองเข้าปากกลบเกลื่อนอาการเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน“สรุปถามทำไมหรา” พอได้ทีเธอก็ลากเสียงยาว เท้าแขนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วยื่นหน้าเพื่อคาดเค้น ให้ผู้ต้องสงสัยคายหลักฐานออกมา“แล้วถามไม่ได้รึไง๊ล้า” แพรพิมพ์ดาวขึ้นเสียงสูง ก่อนจะยกมือเกาที่ต้นคอแล้วกลอกตาไปมา“เสียงสูงทะลุเพดานแล้วจ้ะ”“ก็... ก็อาจจะมีบ้าง”“ดูจากสีหน้าแกแล้วเนี่ย น่าจะมีเยอะเลยแหละ”พูดจบประโยค แพรพิมพ์ดาวก็ลอบถอนหายใจ พลางงุดหน้าจนคางเกือบชิดอกแล้วช้อนตามองเพื่อนสนิท วันนี้ที่เธอมาหาซะมืดค่ำก็เพราะมีปัญหานี้กวนใจนี่แหละแพรพิมพ์ดาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตั้งท่าเล่าด้วยสีหน้าจริ
ห้างสรรพสินค้าหลังจากพาน้องกรมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า จัดรถบังคับชุดใหญ่ให้แบบเต็มเหนี่ยว ธันย์ธาราก็พาเด็กน้อยมาเล่นบ้านลม ส่วนเขานั่งเฝ้ากับคุณผู้ช่วยที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอเก็บไว้ธารตะวันยิ้มเอ็นดูน้องกรมากๆ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้ม ส่งไปถึงดวงตาเธอให้เป็นรูปสระอิ ส่งเสียงหัวเราะปนยิ้มจังหวะที่น้องกรหันมาโบกมือให้“น่ารักจัง...” เธอชมออกเสียงแล้วยิ้มอย่างอิ่มเอมใจแต่ขณะที่เธอมองเด็กน้อย เจ้าของดวงตาคู่คมก็จับจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ในแววตาที่สบมองมีประกายรอยยิ้มเจือจางอยู่ด้วยหากทว่าจู่ๆ ร่างบางก็นิ่งงันไป รอยยิ้มที่ปรากฏค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด เมื่อคิดถึงเรื่องราวสุดเศร้าจากนิยายที่เคยอ่าน จนนอนร้องไห้จมกองน้ำตาขี้มูกโป่งพูดจาสะอึกสะอื้นมาแล้ว“คุณคิดอะไรอยู่”“คะ”“เห็นอยู่ดีๆ คุณก็เหม่อ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต ในมุมเงียบๆ ของคนไม่ค่อยพูดแอบมองเธออยู่ก่อนแล้วร่างบางลอบถอนลมหายใจอย่างปลงปลด ก่อนจะลดโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพน้องกรลง นัยน์ตาหม่นแสงขึ้นมาในฉับพลันเธอก็เป็นแค่นักอ่านจอมเพ้อ ชอบอินกับบทบาทของตัวละครเกินไปหน่อย พอได้เห็น
เมืองเอกเข้าปรึกษาหาลือเรื่องธุรกิจที่หุ้นส่วนกัน เกี่ยวกับธุรกิจบาร์เครื่องดื่มกึ่งร้านอาหารใจกลางเมือง ซึ่งเมืองเอกก็นำเอกสารมาแจกแจงรายละเอียดทั้งหมด ถึงการปรับปรุงร้านด้านในใหม่ล่าสุดถึงธันย์ธาราจะจำคนรอบตัวไม่ได้เลย แต่พอทราบข่าวว่าเพื่อนรักประสบอุบัติเหตุ เมืองเอกก็เป็นคนแรกๆ ที่เข้าช่วยเหลือทันทีทั้งติดต่อทนายและคนพื้นที่ทั้งหมด มาให้ช่วยกันระดมหาหลักฐานเพิ่มเติมในคืนวันเกิดเหตุ แต่กลับสืบสาวราวเรื่องถึงต้นตอไม่ได้ จนธันย์ธาราค่อนข้างมั่นใจว่าอาจเป็นคนมีอิทธิพลเข้ามาเอี่ยว“เรื่องผ่านมาสักพักใหญ่ละ แต่คดีความยังไม่คืบหน้าเหรอวะ” พอพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ เมืองเอกก็ไถ่ถามเรื่องคดีความต่อทันทีทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องทำงาน ร่างสูงของประธานธันย์นั่งหลังตรงแล้วหลุบตาคิดหนัก ส่วนเมืองเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดตามไปด้วย“ทำไงได้ กล้องวงจรปิดพร้อมใจกันเสียเลยนี่หว่า”“อมพระทั้งโบสถ์มากูยังไม่อยากจะเชื่อเลยเหอะ”ธันย์ธาราพ่นลมขำเบาๆ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นเหมือนบทละคร ทั้งโดนลอบทำร้ายจนความจำเสื่อมแต่จับคนก่อเหตุไม่ได้อีกทั้งกล้องวงจรปิดสำคัญๆ รอบบริเวณที
เจตกวินอาสามาส่งธารตะวันถึงหน้าบริษัท เขายื่นแขนให้เธอจับพยุงร่างเดินกะเผลกเข้างาน ทว่าตั้งแต่ที่เขาพูดว่าจะจีบเธอขณะเดินข้ามสะพานแม่น้ำ บทสนทนาก็จบลงโดยการที่เธอเงียบมาตลอดทาง“เราเดินไหวแน่นะ” เขาถามขึ้น ตอนมาส่งเธอที่หน้าบริษัทแล้ว“ไหวค่ะ” เธอพยักหน้า พลางคลี่รอยยิ้มฝืดฝืนส่งให้ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มหวานราวกับบริหารเสน่ห์ใส่ ใบหน้าหล่อเหลาตามพิมพ์นิยมของเจตกวิน เกือบทำให้ธารตะวันเคลิ้มตามรอยยิ้มที่ชวนอบอุ่นใจ จนบางทีอาจลืมไปว่านี่คือตำนานตัวร้ายได้บทพระเอกมาแต่แล้วเธอก็ถูกกระชากสติให้กลับมาฉับพลัน รีบส่ายสะบัดหัวไล่ความคิดไม่เข้าท่าให้ออกจากสมองไปทันที“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งแล้วก็... ให้ขี่หลังด้วย”“ไม่เป็นไรครับ แต่พรุ่งนี้พี่ไปรับเราอีกได้มั้ย”พอได้ที เจตกวินก็ใช้ช่องทางนี้ไล่ต้อนเธอ ก่อนที่จะจ้องมองใบหน้าน่ารักของรุ่นน้อง พลางมุ่นคิ้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ“ยังไงทางมาบริษัทก็ทางเดียวกันอยู่แล้วหนิครับ” เขาพูดต่อในเชิงกดดันกันทางอ้อม แต่ใช้รอยยิ้มสวยกดข่มอารมณ์ความต้องการไว้“ตะวันไม่รบกวนพี่เจตดีกว่า” เธอยิ้มแล้วตอบกลับอย่างชัดเจน“รังเกียจพี่เหรอ...”“คะ”“เราคุยกับพี่ตาม
“ญี่ปุ่นต้องสนุกมากแน่เลยใช่มั้ยคะป้าขา... ฮือ”ร่างบางยืนหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านน้ำเต้าหู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็คิดถึงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำจะแย่ ถึงขั้นเบะปากจะร้องไห้มาร่อมมาร่ออยู่แล้วญี่ปุ่นในช่วงเดือนนี้คงมีหิมะให้เล่นสนุกแน่เลย จะว่าไปแล้วตั้งแต่เกิด ตัวเธอไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เที่ยวเมืองนอกเลย แค่เดินทางในประเทศยังเป็นไปได้ยากชีวิตที่ต้องก้มหน้าหาเงินงกๆ หนึ่งวันก็เก้าชั่วโมง ไม่รวมเดินทางไปกลับที่ต้องเผชิญอุปสรรคแต่ละวันต่างกันออกไปอีก“รีบกลับมาไวๆ น้าคุณป้าขา” เธอได้แต่มองรถเข็นของป้าที่คลุมผ้าใบไว้ตาละห้อยทว่าวินาทีที่เธอหมุนตัวหันหลัง ร่างสูงของเจตกวินดันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำเอาเธอชะงักตัวมองอีกฝ่ายที่ยิ้มหวานให้แต่เช้า“พี่เจต...”เจตกวินมุ่นคิ้วเข้าหากัน พลางชะเง้อตัวมองไปด้านหลังเธอ แล้วทำหน้าเสียดายที่เห็นป้ายกระดาษติดประกาศว่าหยุด แต่เขาก็แค่เล่นละครตบตาเพราะมาดักรอธารตะวันแต่แรกแล้ว“อ้าว พี่เพิ่งรู้ว่าร้านป้าเขาปิด” เจตกวินยิ้มหวานให้หญิงสาว อันที่จริงเมื่อวานเขาขับผ่านทางนี้แล้วเห็นธารตะวันขึ้นรถเมล์พ
ซ่าเสียงห่าฝนชุดใหญ่เทกระจาดอย่างหนัก ระหว่างทางขับรถกลับมาหอพักของธารตะวันยังไม่แรงเท่านี้เลยกระทั่งรถยนต์ของประธานธันย์จอดหน้าหอพักคุณผู้ช่วย พายุฝนก็พร้อมใจสาดซัดกระหน่ำ ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทางด้านหน้า เสียงฟ้าร้องดังครืนจนร่างบางหดตัวตกใจ“ฝนตกหนักขนาดนี้คุณจะขับกลับไหวเหรอคะ”“ไหวครับ”“แต่ฉันเป็นห่วงคุณไงคะ...”เธอชะเง้อมองสายฝนผ่านหน้าต่างรถ สีหน้าเคร่งเครียดหนัก ก่อนที่จะหันไปเสนอความเห็นด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย เกรงว่าถ้าเขาขับรถฝ่าพายุกลับไปแล้วจะเกิดอันตราย อย่างน้อยรอฝนซาก็ยังดี“ขึ้นไปนั่งรอบนห้องฉันก่อนดีมั้ยคะ รอให้ฝนซาแล้วคุณธันย์ค่อยกลับดีกว่าค่ะ... ขับไปแบบนี้อันตรายมากเลย”“รอบนห้องคุณเหรอ”ธันย์ธาราถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด พลางส่ายตาครุ่นคิด จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน“ค่ะ ทำไมคะ” ร่างบางมุ่นคิ้วที่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นถูปลายจมูกนิดๆสุดท้ายพายุฝนก็ไม่มีท่าทีจะเบาลง ธารตะวันเดินกางร่มคันเดียวกับเจ้านายขึ้นห้อง จนเสื้อผ้าบางส่วนของทั้งคู่ถูกสาดกระเซนจนเปียกชุ่มร่างสูงวางร่มที่เปียกฝนกางไว้หน้าห้องเธอ เพราะห