로그인ผ่านไปหลายชั่วยามหานตงหยางจึงเดินกลับเข้ามาในห้อง หลิวหนิงเจียวยังนั่งรออยู่ที่ตั่งตัวเดิม นางได้กลิ่นสุราโชยมาจากกายเขาเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เปิดผ้าคลุมหน้าและดื่มสุรามงคลเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า “มีรายงานจากค่ายทหารว่ามีพวกนอกด่านมาก่อกวนชายแดนตะวันออก ต้องขออภัยฮูหยินคืนนี้ข้าคงอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว”
หลิวหนิงเจียวรู้สึกโล่งอกเป็นที่สุด เขาหันกายเดินออกไปถึงประตูนางจึงพูดตามหลัง “ดีแล้วเจ้าค่ะ” ดีแล้วที่ข้ากับท่านไม่ได้มีโอกาสได้เห็นหน้ากัน ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้สึกมีตราบาปในใจไปตลอดที่ต้องเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของท่าน
เขาทำเช่นนี้ก็ดี หานตงหยางอยากหมิ่นเกียรติหมิ่นศักดิ์ศรีนาง นางก็จะทำให้คนทั่วแคว้นซีหลียงเห็นว่าแม่ทัพที่เก่งกาจผู้นี้น่าชังมากเพียงใด อีกอย่างเขาทำตัวเช่นนี้นางจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
หานตงหยางออกไปแล้วอันมามาจึงพูดขึ้น “ฮูหยินอย่าถือสานายท่านเลยนะเจ้าคะ เดิมทีนายท่านก็ทำงานหนักเช่นนี้ ฮูหยินอยู่ไปสักพักก็ชินไปเองเจ้าค่ะ” ถึงจะดูเป็นคำแก้ตัว แต่ความจริงหานตงหยางก็เห็นงานที่ค่ายทหารสำคัญกว่าสิ่งอื่นจริง ๆ
หลิวหนิงเจียวเลิกผ้าคลุมหน้าออก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ท่านแม่ทัพออกไปปกป้องบ้านเมือง ถ้าข้าถือสาก็นับว่าใจคอคับแคบแล้ว พวกเจ้ารีบไปเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าเถอะ” ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้วจะรอให้เสียเวลาทำการใหญ่อยู่ไย
“เจ้าค่ะ”
หลิวหนิงเจียวชำระร่างกายเสร็จก็สวมชุดสีขาวนวลประทินผิวทาชาดแดงจัดเหมือนเช่นทุกครั้งที่เคยทำที่บ้านเกิด อย่างไรนางต้องสวยตลอดเวลาไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น ยิ่งคืนนี้นางยิ่งต้องสวยให้มากที่สุด
“ทำไมวันนี้คุณหนูใหญ่ถึงสวมชุดสีขาวเล่าเจ้าคะ” ปกติหลิวหนิงเจียวชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ไม่ว่ายามออกงานหรืออยู่ที่เรือนนางย่อมเลือกสีที่โดดเด่นเพื่อให้ตกเป็นเป้าสายตาผู้คน ใบหน้าต้องผัดแป้งหนาทาชาดแดง แม้ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินผิวจะงดงามเปล่งปลั่งอยู่แล้วก็ตาม ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางจะยอมใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือสีอ่อนเช่นนี้
“ข้าอยากลองเปลี่ยนดูบ้าง” ใบหน้างามยังมองคันฉ่องอย่างเหม่อลอย การตัดสินใจครั้งนี้นางไตร่ตรองมาถึงสิบวัน นางคงไม่เปลี่ยนใจง่าย ๆ หน้าที่ของนางได้สิ้นสุดลงแล้ว อย่างนี้ก็ไม่นับว่าขัดพระราชโองการแล้ว
หลิวหนิงเจียวลุกขึ้นเดินไปที่เตียงนอนหลังจากสาวใช้แต่งตัวให้นางเสร็จ
“ข้าเหนื่อยมากแล้ว เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“เจ้าค่ะ”
ซินอี๋ห่มผ้าให้ผู้เป็นนาย ดับไฟจากเทียนแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้นายหญิงได้มีเวลาทบทวนการใช้ชีวิตกับท่านแม่ทัพอย่างเงียบ ๆ สักครา บางทีอยู่ที่จวนสกุลหานมาสิบวันนางอาจจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา คุณหนูใหญ่ไม่ได้เอะอะโวยวายเหมือนวันแรกที่มาถึงจวนสกุลหาน
ประตูห้องปิดลงสนิท บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบอีกครั้ง หลิวหนิงเจียวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด มือเล็กควานหาปิ่นปักผมที่ซ่อนไว้ใต้หมอน จากนั้นกรีดลงบนข้อมือซ้ายของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว หากชาตินี้นางต้องเป็นภรรยาของชายชั่วร้ายซ้ำยังอัปลักษณ์ผู้นั้นนางไม่ขอมีชีวิตอยู่เสียดีกว่า อีกทั้งพรุ่งนี้ทั่วแคว้นก็จะได้รู้ถึงความชั่วร้ายของเขาอีกหนึ่งเรื่อง แม่ทัพผู้หาญกล้าทิ้งภรรยาให้อยู่คนเดียวในคืนวันเข้าหอ เป็นเหตุให้นางน้อยใจจนฆ่าตัวตาย เช่นนั้นศีรษะเขาก็จะถูกเฉือนออกจากบ่าเช่นกัน ที่บังอาจหมิ่นเกียรติฮ่องเต้
มุมปากนางยกยิ้มหยันออกมา เลือดสีแดงฉานไหลออกจากร่างอรชรจนผ้าปูเตียงสีขาวเปียกชุ่มเป็นดวงใหญ่ ลมหายใจของหลิวหนิงเจียวเริ่มรวยรินลงเรื่อย ๆ ก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง ชั่วขณะนั้นหลิวหนิงเจียวอยากจะมีชีวิตรอด นางฝืนตัวเองลุกขึ้นจากเตียงพยายามเค้นเสียงออกจากปาก แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้วนางไม่มีแรงแม้แต่จะเปล่งเสียง ร่างของนางโอนเอนและล้มลงบนพื้น ขาข้างหนึ่งเตะเข้าที่เชิงเทียนจนเกิดเสียงดัง ร่างกระตุกอย่างรุนแรงหนึ่งครั้งก่อนทุกอย่างจะสงบลง
ซินอี๋ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าประตูตื่นขึ้นมาด้วยอาการง่วงงุน คล้ายได้ยินเสียงในห้องนายหญิงจึงรีบเปิดประตูเข้ามาด้านใน พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียก “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ” นางสังหรณ์ใจบางอย่าง ตั้งแต่เห็นนายหญิงแต่งกายด้วยชุดสีขาวแล้ว
สาวใช้เรียกเท่าไรก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับนางจึงจุดเทียนให้แสงสว่าง เมื่อแสงเทียนสว่างวาบ ดวงตานางพลันเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสภาพคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นตรงหน้าก่อนจะล้มพับหมดสติตามเจ้านายไป
ปีนั้นเขาอายุเพียงสิบแปดปี ออกรบกับท่านพ่อที่ชายแดนบูรพา ท่านพ่อของเขานำทัพทหารกว่าสิบหมื่นนายออกไปทำศึกกับแคว้นเป่ยเอี้ยน ตอนนั้นหัวหน้าแคว้นเป่ยเอี้ยนคือหลูกัง ท่านพ่อของเขาสู้กับหลูกังจนตัวตายในสนามรบ พอเขาทราบว่าท่านพ่อพลาดท่าให้กับหลูกัง เขาจึงรวบรวมขวัญกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด นำกองทัพเข้าโจมตีแม่ทัพหลูอย่างห้าวหาญ แต่ในระหว่างที่เขากำลังควบม้าไล่ล่าแม่ทัพหลูอยู่นั้น หมวกบนศีรษะของเขาก็ตกลงบนพื้น นายกองอาวุโสฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสจังหวะนั้นใช้ดาบฟันเข้าที่ใบหน้าฝั่งซ้ายของเขาจนเป็นแผลลากยาวตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงคาง กระนั้นเขาก็เงื้อดาบฟันสะพายแร่งจนร่างทหารนายกองคนนั้นขาดเป็นสองท่อนจากนั้นก็ควบม้าฟาดฟันศัตรูอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถตัดศีรษะของแม่ทัพหลูกลับมาได้โดยไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตนเลยสักนิด เขาได้รับชัยชนะจากการทำศึกครั้งนั้น และได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพแดนบูรพาแทนท่านพ่อในวัยเพียงสิบแปดปี เพราะแผลที่ใบหน้าของเขาเหวอะหวะน่ากลัวยิ่งตอนที่ไล่ฟันศัตรูเขาจึงได้รับสมญานามว่าแม่ทัพปีศาจแดนบูรพาตั้งแต่วันนั้น แต่ความมั่นใจของเขากลับน้อยลงไปแทบไม่มีเหลือ จนต้องสวมหน้ากากเหล็กไว้ต
สุดท้ายหลิวหนิงเจียวจึงเลือกชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งขับผิวขาวของนางให้กระจ่างใสมากขึ้น นางมองทรวดทรงองค์เอวของตนในคันฉ่องอย่างพอใจ คนอะไรตัวเล็กตัวน้อย ทั้งสวยทั้งน่ารัก คนผิวขาวใส่อะไรก็ขึ้นไปหมด “ฮูหยินผัดหน้าแค่นั้นหรือเจ้าคะ” นางทาแป้งเพียงบางเบา แต้มชาดพอให้มีเลือดฝาด ส่วนริมฝีปากก็ทาเพียงขี้ผึ้งบำรุงริมฝีปากสีชมพูอ่อนเท่านั้น “เจ้าเห็นว่าข้าไม่สวยอย่างนั้นรึ” “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่ฮูหยินไม่เคยผัดหน้า…” นางรีบโบกมือ “ก็บอกแล้วว่าเรื่องของอดีตลืมมันไปเสีย ต่อไปนี้ข้าจะเป็นคนใหม่” “เจ้าค่ะ” นายหญิงเปลี่ยนกะทันหันเกินไป นางตั้งรับไม่ค่อยทัน นี่ใช่ฮูหยินคนเดิมของนางจริง ๆ หรือ “ฮูหยินเจ้าคะ” “เจ้ามีสิ่งใดอีก” “กลิ่นกายฮูหยินหอมคล้ายขนมเลยเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวนิ่งงัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ นางเพิ่งกินขนมบ้าบิ่นก่อนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ จึงพูดบ่ายเบี่ยงออกไปว่า “กลิ่นกายข้าก็เป็นเช่นนี้” พูดจบนางทำไม่รู้ไม่ชี้เดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านบนเก้าอี้ แม้ไม่คลายสงสัยแต่ซินอี๋ก็ไม่ได้กล่าวออกอีก น
“ข้าเต็มใจเป็นภรรยาของท่านแม่ทัพหานเจ้าค่ะ” หลิวหนิงเจียวยืนยันเสียงหนักแน่น สามีหน้าตาอัปลักษณ์แล้วอย่างไร อย่างน้อยใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขาก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ บางครั้งรอยแผลเป็นภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ถ้าเขาไม่อยากให้นางเห็นก็เป็นเรื่องของเขา อย่างไรแม่ทัพแดนบูรพาก็เป็นคนเก่งส่วนเรื่องที่ว่าเขาชอบทำร้ายร่างกายของสตรีนั้นนางขอดูอีกครา หากเขากล้าลงไม้ลงมือกับนางจริง มีหรือคนอย่างนลินธาราจะยอมอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร ถึงตายนางก็ไม่ยอมให้สามีตบตีนางฝ่ายเดียวหรอก อีกทั้งเขาเป็นถึงท่านแม่ทัพผู้องอาจเกรียงไกรถ้ากล้าทำร้ายสตรีจะไม่อายสุนัขหรืออย่างไร “เช่นนั้นก็ดี ถ้าหยางเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็อย่าแสดงว่ารังเกียจเขามากนัก” “เจ้าค่ะท่านย่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากับมารดาสามีกลับไปแล้วหลิวหนิงเจียวจึงเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย นางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคันฉ่องบานใหญ่ และแล้วนางก็ต้องตกใจกับใบหน้าตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบแก้มตัวเอง พึมพำออกมาเป็นภาษาไทย “เป็นผู้หญิงที่หน้าเล็กมาก แต่ว่าโบกหน้าหนายิ่งกว่าถนนลาดยางในหมู่บ้านเสียอีก” นางเพิ่
ภายในเรือนดอกเหมยหลังจากบ่าวรับใช้มารายงานว่าหลิวหนิงเจียวฟื้นแล้วฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาสายหนึ่ง นางกำลังเป็นห่วงหลานชาย อย่างไรเขาก็มีความผิดที่ไม่ยอมเข้าหอในวันแต่งงาน ทั้งภรรยายังคิดฆ่าตัวตายในวันแต่งงานอีก หากหลิวหนิงเจียวไม่ฟื้นเกรงว่าชีวิตของหลานชายคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว “นางไม่น่าทำอย่างนี้เลย ใจเสาะเช่นนี้จะอยู่กับบุตรชายข้าได้กี่วันกันเชียว” ลู่ซื่อเอ่ยออกอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แรกเริ่มนางยังดีใจที่ลูกชายจะมีภรรยา แต่ภรรยาที่ไม่เต็มใจแต่งให้บุตรชายซ้ำยังคิดทำลายชีวิตตนเช่นนี้ ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะเป็นฮูหยินของเขาเท่าไรนัก ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “เป็นใครก็คงคิดทำเช่นนั้น นางรอดชีวิตมาได้ก็ดีมากแล้ว ชื่อเสียงของหยางเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางทราบดีว่าผู้คนนอกจวนพูดถึงหลานชายของนางว่าอย่างไรบ้าง “ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย เจ้าจะไปหรือไม่” “ไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ลูกสะใภ้ทำไม่ถูกใจนางแต่เมื่อหลิวหนิงเจียวเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว คนผ่านความเป็นความตายมา หากไม่หยิบยื่นไมตรีให้สักหน่อยจะไม่ใจจืดใจดำเกินไปหรือ
ตอนนี้จิตใจของนลินธาราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม่บอกว่ายายคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เธอยิ่งใจคอไม่ดี ถึงยายจะป่วยมานานแต่เธอก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้หากยายจะจากไปตอนนี้ เธอหวนคิดถึงคำพูดของยายเมื่อปีที่แล้วอีกครั้ง‘ยามได๋นลินสิพาผู้บ่าวมาแนะนำยายจักเทือ ยายอยากเห็นหน่าหลานเขย ชาตินี่ยายสิได้เห็นบ่อ” (ตอนไหนนลินจะพาแฟนมาแนะนำยายสักที ยายอยากเห็นหน้าหลานเขย ชาตินี้ยายจะได้เห็นไหม) ผู้เป็นยายพูดเสียงเนือย ๆ จะให้เป็นคนหรือเป็นพญานาคก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงหลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตตอนนั้นนลินธาราพูดอย่างหยอกเย้ายายว่า ‘เป็นหยังยายสิบ่อเห็น ยายแข็งแฮงกะด้อ หนูหัวกะอายุยี่สิบสี่ปีนึง ยังมีเวลาเลือกอีกโดน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ บ่อพ่อเลย’ (ทำไมยายจะไม่เห็น ยายแข็งแรงจะตาย หนูเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ปีเอง ยังมีเวลาเลือกอีกนาน หนูยังหาครูสอนภาษาจีนหล่อ ๆ ไม่ได้เลย) ว่าพลางก้มลงกอดยายที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ยายของเธอทำเพียงกอดตอบ เพราะขืนรบเร้าต่อไป หลานสาวก็ไม่ยอมมีแฟนสักที ถึงตอนนั้นตายตาไม่หลับก็คงต้องยอมแล้ว รถยนต์คันสีแดงเลือดนกขับออกมาจากโรงเรียนอย่างช้า ๆ เพราะฝนตกต
ประเทศไทยปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบแปด ณ หมู่บ้านนาทราย ซึ่งตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำโขงทางจังหวัดหนองคาย นลินธาราลูกสาวเพียงคนเดียวของช่อผกากับสาคเรศ เธอเป็นลูกครึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นคนอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาค พ่อของเธอที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ลักลอบได้เสียกับแม่จนเกิดเป็นเธอขึ้นมา เมื่อวานเป็นวันหยุดเธอกับพ่อลงไปยังเมืองบาดาลที่อยู่บริเวณสะดือแม่น้ำโขเพื่อเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า ยังเที่ยวไม่หนำใจก็ต้องขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อทำงานตามเดิม นลินธาราเรียนจบด้านศิลปศาสตร์เอกภาษาจีน พอเรียนจบเธอก็กลับมาทำงานใกล้บ้าน เป็นอาจารย์สอนภาษาจีนอยู่ที่โรงเรียนนารีริมโขงวิทยา“แม่ อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินนำเด้อ” (แม่อย่าลืมเอาขนมบ้าบิ่นไปกินด้วยนะ) นลินธาราบอกแม่หลังจากแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เมื่อเช้าเธอลุกขึ้นมาทำอาหารและขนมใส่บาตรแต่เช้า“บ่อให่พ่อไปส่งอิหลีติ” (ไม่ให้พ่อไปส่งจริง ๆ เหรอ) สาคเรศเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“บ่อต้องดอกจ้า เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายอยู่โรงบาลโลด” (ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวหนูขับรถไปเอง พ่อกับแม่ไปหายายที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ) ยายของเธ







