อาหารบนโต๊ะยังไม่พร่อง แต่เจ้าพ่อหมั่นหน้ารวบช้อนเข้าด้วยกัน ครั้นปันสงสัยจึงเงยหน้าขึ้นมองสายตาเป็นคำถาม
‘อิ่มแล้ว?’ ซึ่งเดร์เข้าใจความหมายในสายตาของปันดี เขาไม่ตอบแต่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเกือบหมดแก้วแล้ววางไว้ที่เดิม มืออีกข้างหยิบผ้าผืนเล็กที่วางอยู่บนหน้าตักก่อนหน้านี้ขึ้นมาเช็ดมุมปากทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นการย้ำชัดว่าเขา ‘อิ่มแล้ว!’
ปันถอนหายใจ เพราะรู้สึกเสียดายอาหารบนโต๊ะจึงเอ่ยถาม “อาหารพวกนี้บางอย่างคุณยังไม่แตะเลยนะครับ”
“แล้วไง ฉันสั่งให้นาย นายก็กินให้หมดสิ”
ปันตาโตอีกครั้ง “นี่คุณ ผมชินกินข้าวจานเดียวแต่คุณเล่นสั่งมาเต็มโต๊ะแบบนี้ ใครจะไปกินหมด เรียกลูกน้องของคุณมากินเถอะ” ปันว่าแล้ว ก็อิ่มขึ้นมาทันทีเช่นกัน
“คนของผม ผมก็สั่งให้ต่างหาก ผมกินอะไรลูกน้องผมก็กินอย่างนั้นไม่ต้องไปเป็นห่วงหรอก”
ปันถอนหายใจ มองอาหารในจานที่หรูและแพง ซึ่งวาสนาตนคงไม่มีโอกาสได้เดินเข้ามาสั่งกินเป็นแน่
ระหว่างที่นั่งตัดพ้อเจ้ามือ กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ก็โชยมาแตะจมูก จนต้องหันไปมอง จึงเห็นว่ามีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาแต่งตัวเนี้ยบไร้ที่ติ เดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ และมองตรงไปที่เดร์ คล้ายลังเลไม่แน่ใจ
ระหว่างนั้นลูกน้องที่ยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์มาตลอดก็ขยับตัวเพื่อทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้เจ้านาย หากแต่เดร์ส่งสายตาไปมอง ทั้งหมดจึงหยุดนิ่งดุจเดิม
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครเข้ามาขัด หนุ่มหล่อที่ยืนลังเลอยู่ก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อประหนึ่งคนคุ้นเคย “เดร์…” เสียงทุ้มเรียก พร้อมยิ้มหวานปรี่เข้าไปหาเจ้าของชื่อ
เถอะ! เขารู้จักกัน ปันคิดแล้วก้มหน้ามองจานข้าว หากแต่หูได้ยิน จึงเหลือบมองด้วยความใคร่รู้
“ดีใจจังที่เจอคุณที่นี่…”
น้ำเสียงและการเรียกขานบ่งบอกถึงความสนิทสนมกันดี หากแต่เดร์ยังมีสีหน้าเรียบนิ่ง อีกฝ่ายจึงขยับชิดจนเกือบจะนั่งเกยตัก “ไม่เห็นโทร.หาผมบ้างเลย”
ปันนิ่งค้าง เมื่อผู้ชายคนนั้นโน้มตัวเข้าไปใกล้จนจมูกเกือบชิดแก้มสาก เสียงพูดก็ออดอ้อน จึงมั่นใจถึงความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่คนรู้จัก หากเป็นคนคุ้นเคย ปันจึงหาโอกาสเพื่อให้ทั้งคู่ได้ทักทายกันโดยที่ตัวเองไม่ต้องเป็นก้างขวางคอ
“ไปไหน?”
ปันสะดุ้งรีบหันมาตอบ “ผะ ผมจะไปห้องน้ำ”
เดร์หรี่ตามอง และเมื่อปันเดินออกไปแล้วเดร์จึงส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดของตัวเองตามปันไป
ระหว่างที่เดินไปปันก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ว่าหงุดหงิดเรื่องไหนก่อน ระหว่างเดร์เจอคนคุ้นเคย หรือบอดี้การ์ดตามมาคุมประหนึ่งตัวเองเป็นนักโทษถึงสองคน
เถอะ! ปันเกิดความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัว…
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที หนึ่งในลูกน้องที่ส่งไปก็วิ่งหน้าตื่นกลับมา
“มีอะไร?” เดร์ผุดลุกขึ้นถามเสียงกร้าว
“คึ คือ…”
“คืออะไร?”
เสียงทุ้มกร้าวเกือบตะหวาดจนลูกน้องที่ยื่นอยู่สะดุ้งไปตามกัน โดยเฉพาะสกายเกือบพลัดตก เพราะนั่งอิงอยู่บนเก้าอี้เดียวกันก่อนจะรีบถลาเข้าไปประชิดตัวเดร์ แล้วเรียกเตือนสติ
“เดร์ใจเย็นๆ สิ”
ความหวังดีของสกายกลับกลายเป็นได้สายตาเหี้ยม ประหนึ่งเป็นคนทำผิดเสียเอง
สกายใจหายวูบ เพราะตั้งแต่รู้จักมา จนกระทั่งเป็นคนขอแยกทาง เพราะคำว่า ‘ไม่มีเวลา’ ของเดร์ กระนั้นก็ไม่เคยโดนต่อว่าหรือส่งสายตาเช่นนี้มาให้ แต่กับเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้นทำเอาคนเย็นชาอย่างเดร์ ใจขุ่นหมองเพียงเพราะไม่เห็นเด็กคนนั้นในสายตา…
สกายเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของคนข้างๆ ก่อนจะปล่อยมือทิ้งข้างลำตัว และนั่นทำให้เดร์ดึงสติกลับมาและหันมาบอกเสียงเครียดตึง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็เดินออกไป
คเชนทร์ลูกสมุนมือขวารีบทำหน้าที่เป็นคนกลางนำพาลูกน้องที่ยังมีสีหน้าตื่นออกไปก่อน โดยสกายได้แต่มองตามสายตาผิดหวัง
ระหว่างนั้นเดร์ก้าวไปไม่มองหลัง ใบหน้าฉาบเรียบหากแววตากร้าวพร้อมปะทะจนดูน่าเกรงขาม ซึ่งลูกน้องรับรู้ถึงอารมณ์ที่อยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบตึงของเจ้านายได้ดี จึงไม่ทิ้งห่างเพื่อความปลอดภัย
ลานจอดรถไร้คนพลุกพล่าน เดร์ก้าวไปอย่างรีบเร่ง เพื่อตามลูกน้องที่วิ่งนำทางไปก่อน และเมื่อไปถึงก็พบว่าปันนอนหมดสติ โดยใบหน้านั้นมีเลือดสีแดงฉานอยู่เต็มใบหน้า ซึ่งมีลูกน้องอีกคนประคองอยู่
เดร์ใจสั่นระส่ำ ทั้งโกรธทั้งเคือง จนต้องขบกรามแน่น เมื่อไม่มีเวลาอาละวาดหาคนรับผิดชอบในตอนนี้ แต่เดินปรี่เข้าไปย่อตัวลง แล้วช้อนร่างที่ไม่ได้สติของปันอุ้มขึ้นมาแนบอก อย่างทะนุถนอมที่สุด
ซึ่งนั้นคนใกล้ชิดเท่านั้นที่สังเกตเห็น...
“ไปเตรียมรถ!” เสียงทุ้มออกคำสั่งเฉียบขาด ทุกคนที่เกี่ยวข้องรีบปฏิบัติตามอย่างรู้งาน
ปันปาดน้ำตาทิ้ง เมื่อเพื่อนทยอยกันเดินเข้ามาอวยพรวันเกิดพร้อมของขวัญที่ทุกคนรวบรวมเงินกันซื้อมาให้ โดยแสนกับเกมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของเรื่องนี้ทั้งหมด รวมทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ที่ทำงานบาร์โฮสต์ก็มากันหมดทุกคนงานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มจนกระทั่งเพื่อนๆ ทยอยกันกลับไปบ้างแล้ว“คเชนทร์...” เดร์ผลุดลุกขึ้นเมื่อเห็นลูกน้องคนที่อยู่ในใจเสมอปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า“ผมมาแสดงความยินดีกับคุณปันและนายครับ นี่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผม”ปันมองใบหน้าของคเชนทร์ที่ไร้ความสดใสอย่างเคย ก่อนจะรับของในมือมาถือไว้“คุณหายไปไหน รู้ไหมผมถามเรื่องคุณ คุณเดร์ก็ให้คำตอบกับผมไม่ได้” ปันเอ่ยสีหน้าน้อยใจคเชนทร์ยิ้มบางๆแล้วตอบกลับ “ผมก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ เห็นยัง วันสำคัญคุณปัน ผมก็มาได้” คเชนทร์ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ ปันยิ้มขื่น“นายไม่กลับไปได้ไหม” เดร์เป็นคนเอ่ยขึ้นบ้างหลังจากที่ยืนเหมือนคนน้ำท้วมปากอยู่นาน“ผมกลับไปนะดีแล้ว เพราะหลังจากนี้นายกับคุณปัน จะไม่มีเรื่องอะไรเข้ามากระทบหรือกวนใจได้อีก”ซึ่งคำของคเชนทร์ทำให้เดร์ถึงกับพูดไม่ออก หากแต่ปันยังงงกับสิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดสื่อกันอยู่“เฮยู!” เสียงแหลมห้
เดร์หยุดพูดแล้วมองหน้าปัน ที่อยู่ใกล้เพียงลมหายใจสัมผัส “ในวันที่มองไปไม่เห็นนายอยู่ข้างๆ มันเหมือนวันนั้นมีอะไรขาดไป จนไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนหายใจแต่หายใจไม่สุด” สายตาล่ำลึกมองจ้องวงหน้าสีเรื่อ เว้าวอนเกมขอร้อง ว่าอย่าได้หายไปไหนอีก...“นายรู้สึกกับฉันแบบนั้นบ้างหรือเปล่า”“ผมมีสิทธิ์คิดแบบนั้นได้หรือครับ”“นายได้สิทธิ์นั้นนานแล้วปัน...”“ครับขอบคุณที่ให้โอกาสเด็กขี้ดื้อคนนี้นะครับ”“เช่นนั้น ฉันให้โอกาสตัวเองด้วยไง”“แต่...”“แต่อะไร”“อย่าโหดกับใคร หรือผมอีกได้ไหมครับ ผมกลัว”“ที่ฉันโหด เพื่อให้ได้ใจนายต่างหาก”“อะ...”“หากฉันใจดีกับนาย แล้วจะได้นายมาแนบกายไหมล่ะ”“โธ่ไม่เอาแบบนี้ รักชอบก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ผมคนขี้กลัว...”“ได้สัญญาว่าจะไม่โหด แต่กับนายนะ... ส่วนคนนอกต้องดูเป็นกรณีๆไป”เดร์ก็คือเดร์นักธุรกิจที่มีกฎเหล็กอยู่ในหัว...ปันค้อนให้ หากแต่ซุกใบหน้าไปบนอกแกร่ง กอดรัดร่างหนาแน่นขึ้นประหนึ่งแค่นี้ก็รู้สึกปลอดภัยที่สุดแล้ว...เดร์ลูบไปบนผิวกายของปันเบาๆ ด้วยความรักและอยากปกป้อง จากนี้ต่อไปเดร์สัญญากับตัวเอง ว่าจะไม่ให้คนที่รักเสียน้ำตาหรือเจอเรื่องที่น่ากวาดกลัวอีก!มหาฯลัย
ในห้องน้ำที่กว้างกว่าหอพัก เดร์ค่อยๆ วางปันลงในอ่างกุชชี่สีครีม โดยปันไม่ทีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใดก๊อกน้ำถูกเปิดให้น้ำไหลลงอ่างเอื่อย ๆ ปันถูกจัดให้นั่งอยู่กลางอ่างสองขายกชันขึ้น เดร์ก็นั่งลงในท่าเดียวกัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้สอดขาทั้งสองข้างซ่อนไขว้กัน ประกายตาหวามไหวมองสบกันปันก้มหน้ายิ้มอาย ลองมาในท่านี้ ไม่พ้น.... ปันคิดลมหายใจเกือบรดใส่กัน เดร์ยื่นมือไปจับใบหน้าที่ก้มหนีสายตา ให้หันมามอง แล้วเลื่อนมืออีกข้างไปจับต้นคอระหง เพื่อรอรับจังหวะจุมพิตที่ส่งลงมาประกบทาบทับอบอุ่น นุมนวลแต่อุ่นซ่านไปทั้งกาย...เดร์ค่อยๆ เลาะเล็มไปบนริมฝีปากอมชมพูหวานหอม ที่ชิมมาแล้วจนคุ้นชิน หากแต่ไม่รู้เบื่อ ในณะที่มือข้างหนึ่งของเดร์เริ่มทำงานล้วงลึกลงไปใต้น้ำและจับสิ่งที่อ่อนนุ่มแล้วขยับรูดไปมา“อ่าส์ ...” เสียงครางแผ่วเบาของปันเริ่มดังขึ้นเดร์กระหยิ่มพอใจ ยอมรับว่าปันเป็นชายหนุ่มที่น่าจุดไฟสวาทได้ง่ายที่สุด เพราะแค่เพียงสัมผัสไม่ว่าตรงจุดไหน คนตัวเล็กก็ตอบรับได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ไม่ใช่รอบแรกของวันนี้ที่พากันแตะฝั่งฝันเดร์ถอนริมฝีปากออกห่าง แล้วเปลี่ยนมาดึงตัวของปันให้มานั่งคร่อมบนขาของตน จากนั
เดร์กระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย แล้วเงยหน้าขึ้นค่อยๆ ปล่อยสะโพกเด้งลงมาต่ำ จนปันรับรู้ได้ถึงความแข็งขืนที่ถูกดันเข้ามาทักทายในช่องทางสีหวาน พร้อมกับแรงกดเข้าเป็นจังหวะ และแรงดันมาจากด้านล่าง“อึก! ซีดส์…” ปันกัดปากกลั้นเสียงคราง ทั้งเจ็บทั้งเป็นสุข“อย่าเกร็ง...” เสียงทุ้มกระเส่าบอกเบาๆ แล้วก้มใบหน้าลงไปหาแผ่นหลังขาวเนียน ก่อนจะใช้ลิ้นลากไล้เลียเม็ดเหงื่อที่ผลุดชุ่มออกมา แล้วกลืนกินรสชาติของบุรุษเพศอย่างไม่นึกรังเกียจซึ่งการกระทำของเดร์ เป็นสิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายตอบรับได้มากขึ้น จากนั้นเป็นปันที่โยกตัวเองเพื่อเติมเต็มสิ่งที่แข็งคาอยู่ตรงช่องทางสีหวานเข้าไปจนสุดลึก“อ่าส์ ปัน นายทำดีมาก....”เดร์หลุดครางออกมาด้วยความพออกพอใจ เช่นเดียวกับปันที่ครางออกมาด้วยความสุขสมปันเหงนหน้าหู่ปากสูดเอาอากาศแล้วเข้าปอดแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมา เพื่อบรรเทาความกระสันเสียว นัยน์ตาสุขเคลิ้มฝัน เมื่อสองมือหนาจับเอวกิ่วแล้วขยับยกให้เป็นจังหวะ โดยที่ตัวเองก็เด้งช่วยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยที่ลงตัวควบคู่ไปกับจังหวะเพลงรัก จนเกิดเป็นเสียงครางกระเส่าแข่งกันอยู่ภายในรถแม้จะอยู่ในที่แคบ หากแต่ไม่ได้ทำให้รสรักเสียจังหวะแต่อย
การสั่นสะเทือน ของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ในความเร็วมากกว่าปกติที่เคยขับ ทำให้คนที่หลับไม่ได้สติเริ่มขยับและรู้สึกตัว เดร์แม้จะไม่มีสมาธิมากนักแต่ก็ประคองรถขับออกไปยังจุดหมายปลายทางให้ไวและปลอดภัยที่สุดหันมองดูปันเกือบทุกห้านาทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกตัว เพื่อให้แน่ใจว่าปันไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อ จึงเบนรถจอดข้างทางเพื่อเช็คดูให้แน่ใจเสียก่อน“เป็นไงบ้าง...” เสียงทุ้ทนุ่มเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือไปกุมมือเรียวหนาของปันไว้แล้วบีบเบาๆปันรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและห่วงใยที่ส่งมาทางสายตาและการกระทำ จึงคลี่ยิ้มให้ “ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ” ปันตอบเสียงอ่อนแผ่วอย่างเจียมตัว“ดีแล้ว...” แล้วเดร์ก็ขยับยื่นมือไปปรับเบาะ เพื่อให้ปันได้นั่งถนัดขึ้นในช่วงจังหวะที่เดร์โน้มตัวทาบผ่าน กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ปันเผลอสูดเข้าไปจนเต็มปอด แล้วนั่งหน้าแดงซ่านเพราะการกระทำของตัวเองปากบอกว่าเกลียด แต่ใจและร่างกายโหยหาเขาตลอด! ปันค้อนขอดตัวเองแล้วเก็บอาการเอาไว้โดยการกุมมือตัวเองแล้วบีบไปมา“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า หรือไปหาหมอดีไหม”เดร์ถามด้วยความเป็นห่วง สายตาจับอยู่บนใบหน้านั้นด้ว
“คุ คุรเดร์...”ใบหน้าสินหวังก่อนหน้า ฉาบเฉายแววตาระรื่นมีความหวังขึ้น“นายอย่าเงียบ...ปัน” เสียงทุ้มสั่นขาดหายปันยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง เหมือนเสียงสวรรค์ทรงลงมาโปรด ความหวาดหวั่นที่สุมอยู่ในหัวใจ หล่นหายออกจากตัว ปันวิ่งฉิวไปที่ประตูด้วยความดีใจ ส่งมือเรียวที่สั่นระริก จับไปยังกลอนประตูเพื่อปลดออก แต่ยิ่งรีบเหมือนยิ่งช้ากับความรีบที่กลายเป็นเงอะงะแทน จนกระทั่งเปิดได้สำเร็จจึงออกแรงผลักประตูไปเต็มแรง จนมันกว้างออก และเห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าม่านตาเปิดกว้าง ริมฝีปากคลี่ขยายบิดเบะจะร้องไห้ด้วยความดีใจและตื้นตัน ถลาเข้าไปสวมกอดร่างสูงหนาไว้แน่น โดยลืมกลัวลืมอายไปหมดสิ้น!“คุณมารับผมแล้วใช่ไหมคุณเดร์...”เสียงนั้นสั่นสะเทือนหัวใจคนฟังอย่างเดร์ “อืม...” เดร์ตอบรับในลำคอ วงแขนก็โอบร่างคนที่บางกว่ามากไว้เต็มอ้อมอก“จะกลับได้ไง ในเมื่อข้อตกลงเรายังไม่เสร็จสมบูรณ์”เสียงทุ้มห้วนดังแทรกเข้ามา ปันขยับเพื่อมองเจ้าของน้ำเสียงที่ดูแข็งห้วนผู้ชายคนนั้น! เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ปันก็เผลอกอดเดร์แน่นขึ้นเพราะความหวาดกลัว ซึ่งเดร์รับรู้ถึงแรงกอดรัดของปันที่เพิ่มขึ้นจึงตัดสินใจดันให้ปันไปยืนหล