ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำเขา เสียงใสช่างออดอ้อนขอให้เขาพาเที่ยวยังก้องอยู่ในความรู้สึก แขนคู่เล็กเกาะก่ายต้นแขนเขาแน่น ปลายจมูกเรียวรั้นชอบยื่นเข้ามาหอมแก้มสากพร้อมรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอิ่มแย้มเยือนยามเด็กหญิงน้ำรินยินดี ความจริงครอบครัวอาศิรวิษของเขากับวิษณุพงศ์ของเธอคงมีสัมพันธภาพไม่เปลี่ยนแปลงหากไม่มีเรื่องราวบาดหมางใด ๆ เกิดขึ้นในอดีต ถ้าไม่ใช่เพราะ...
ความแค้นฝังแน่นพุ่งพรวดขึ้นจู่โจมหัวใจของเขาอีกครั้งแค่เพียงคิดถึง เมฆินทร์กัดฟัน คิ้วขมวดมุ่นอย่างสะกดอารมณ์ “คุณปานรวี เชิญพบผมที่ห้องด่วน”
ก๊อกๆๆ...เสียงเคาะประตูดึงความสนใจเขาจากรูปของหญิงสาวที่ทำให้หัวใจของเขารุ่มร้อนด้วยเพลิงแค้น
“เข้ามา”
เมฆินทร์เอ่ยห้วนๆ ก่อนประตูห้องทำงานจะถูกผลักเข้ามาพร้อมร่างระหงของเลขาที่ค่อย ๆ เยี่ยมหน้าเข้ามาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา
“คุณเมฆต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“ใครเป็นคนเรียกผู้หญิงคนนี้มาสัมภาษณ์” เขาผลักแฟ้มตรงหน้าให้เลขาฯ
“คุณน้ำริน...” ปานรวีเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะมองใบสมัครงานตรงหน้า
“ว่ายังไงคุณปานรวี ผมถามว่าใครเรียกผู้หญิงคนนั้นมาสัมภาษณ์” น้ำเสียงห้วนตวาดถามดังๆ ด้วยอารมณ์ทำให้เลขาสาวตกใจ สะดุ้งสุดตัว
“เอ่อ...คุณก้องภพค่ะ” ปานรวีรีบเงยหน้าขึ้นตอบเสียงรัว
“ไอ้ก้องมันมายุ่งเรื่องในบริษัทของผมตั้งแต่เมื่อไหร่” เมฆินทร์ขมวดคิ้ว ทำหน้าเคร่ง
“คือ เอ่อ คือ...” ปานรวีรู้สึกเหมือนจะหายใจติดขัด หน้าซีดหาคำตอบให้เจ้านายไม่ได้
“ถ้าคุณเอาแต่อ้ำอึ้ง ผมจะย้ายคุณไปอยู่แผนกอื่นหรือไม่ก็ไล่ไปอยู่กับไอ้ก้องเสียเลยดีไหม” เขาเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าซีดเผือดของเลขาฯ สาวพลางเอ่ยดุดัน
“คุณก้องบอกจะเรียนเรื่องนี้กับคุณเมฆเองนี่คะ” เลขาสาวรีบตอบเสียงสั่น
“งั้นคุณก็รีบไปตามมันมาพบผมด่วน ส่วนผู้หญิงคนนั้นผมจะสัมภาษณ์เอง” เสียงเข้มเอ่ยออกคำสั่งห้วนกระด้าง
“ค่ะคุณเมฆ” คุณเลขาคนงามรีบรับคำและหันหลังเดินตัวปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว รีบจัดการทำหน้าที่ของตนชนิดที่ไม่ต้องรอให้เจ้านายสั่งซ้ำอีกครั้ง
“เจอดีแต่เช้าเลยปานเอ๊ย”
ปานรวีระบายลมหายใจบ่นกับตัวเองได้ครู่เดียวเพราะไม่ได้ทันโทร.ตามก้องภพเมื่อธารารินเดินมาหยุดยืนโปรยยิ้มให้ซะแล้ว เธอจึงได้แต่ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ตอบกลับพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกเตรียมเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและหมุนตัวกลับมาเคาะประตูห้องเจ้านายหนุ่มใหม่อีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
“เชิญ” เสียงห้วนเอ่ยอนุญาตพลางขยับเปลือกตาเหลือบขึ้นมอง
“คุณธารารินมาแล้วค่ะ”
“ให้เข้ามา”
เสียงห้วนของคนที่เธอต้องเข้าไปพบทำให้ธารารินกะพริบตาเบาพลางสบตาปานรวีซึ่งเอาแต่ยิ้มจืด ๆ ตอบกลับมา เธอจึงสูดลมหายใจลึกเต็มปอด รวบรวมความกล้าก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอย่างมั่นใจ สบสายตาขุ่นขึงคู่นั้นครู่หนึ่งก่อนจะพนมมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
ศีรษะทุยโค้งลงเล็กน้อยจนเขาเห็นแพขนตายาวงอนกะพริบช้า ๆ ราวผีเสื้อขยับปีกและเสียงหวานกล่าวทักทายแย้มเยือนรอยยิ้มยามเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาและเชื่อว่าเธอเองก็สัมผัสได้ถึงแววไม่พอใจในดวงตาของเขาที่คอยจับจ้องมองเธออยู่ไม่ต่างจากเมื่อสักครู่ที่เขาใช้สายตาชนิดเดียวกันจ้องมองเธอผ่านกระจกข้างลัมเบอร์กินีคันงามไม่มีผิดเพี้ยน
“สวัสดีค่ะ”
ธารารินลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอแล้วจึงสูดลมหายใจปอดยาว ๆ ทำใจดีสู้เสือเอ่ยทักทายคนหน้าดุหลังจากกวาดสายตามองสำรวจห้องทำงานของเขาคร่าว ๆ ไล่ตั้งแต่โต๊ะทำงานตัวใหญ่สีโอ๊คตั้งคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดกับแฟ้มสีดำวางเกลื่อนอยู่ใกล้ ๆ
ดวงตาวาวกวาดสำรวจรายละเอียดการตกแต่งซึ่งบ่งบอกรสนิยมของเจ้าของ รวบรวมไว้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาเก็บไว้เพื่อหาทางเอาชนะใจเจ้าของห้องนี้ให้ได้ แม้ว่าจะเป็นแค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เธอก็เอาใจใส่ทุกสิ่งอันเผื่อจะได้นำมาใช้เอาชนะใจคนตาดุนี่บ้าง
“เชิญนั่ง” เขาผายมือเชื้อเชิญหญิงสาวให้นั่งลงตรงข้าม ขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้างเหมือนไม่อยากจะเสวนากับอีกฝ่ายนัก
“ขอบพระคุณค่ะ” เธอส่งยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตาพราวไปด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าผมจำไม่ผิด คุณเป็นน้องสาวของปิ่นลดาใช่ไหม” เขาเริ่มเข้าเรื่องกวนอารมณ์ของตนทันที
“ค่ะ น้ำคิดว่าพี่เมฆจะลืมน้ำไปแล้วเสียอีก” ความหวังที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในอดีตเรืองรองในความรู้สึกของหญิงสาวทันที
“ผมไม่เคยลืมทุกคนในวิษณุพงศ์...คุณน่าจะรู้ดี” เขายิ้มหยัน
“พี่เมฆยังโกรธพวกเราอยู่เหรอคะ” นัยน์ตาวาวเมื่อสักครู่สลดลงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงของคนตรงหน้า
“คุณคิดว่าผมจะลืมความเลวระยำที่ครอบครัวคุณทำไว้ได้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ...ธาราริน” เขายิ้มหยันและมองเธอด้วยสายตาเกลียดชังราวเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติก่อน
“พี่เมฆ...” นัยน์ตาหวานหม่นเศร้าอย่างสะท้อนใจ
ธารารินเอื้อมมือคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเดินตามแม่บ้านร่างอวบไปท่ามกลางสายตาสองคู่ที่มองตามเธอด้วยสายตาต่างความรู้สึกกันเรือนพักคนงานเป็นเรือนไม้สองชั้นแบ่งซอยเป็นห้องๆ นับสิบห้องสำหรับคนงานพักอาศัย ห้องพักที่เขาจัดให้เธออยู่ เป็นห้องกลางที่อยู่ระหว่างห้องของป้าบัวกับห้องนายชุ่มคนขับรถท่าทางหลุกหลิก ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นชอบแอบเหล่มองเธออย่างกรุ้มกริ่มไม่น่าไว้ใจจนหญิงสาวต้องรีบเดินเร็วเข้าไปหลบในห้องของตน เธอกวาดสายตามองภายในห้องที่มีเพียงตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ กับที่นอนนุ่นหลังเล็กสีซีดแต่ดูสะอาดพอสมควร โชคดีที่ในห้องยังมีพัดลมเพดานและชั้นอเนกประสงค์ให้เธอได้จัดวางหนังสือเก็บได้บ้าง หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจแรง รู้ว่าเจ้าของบ้านจงใจกดให้เธอต่ำต้อย แต่เพราะต้องการให้เขายอมอภัยให้ครอบครัวทำให้เธอต้องยอมกล้ำกลืนอดทน‘เฮ้อ...อดทนไว้น้ำริน ท่องไว้ว่าเพื่อครอบครัว เพื่อครอบครัว เธอต้องทำได้อยู่แล้ว’“มีอะไรก็เคาะเรียกป้าได้เลยนะคะคุณครู ป้าอยู่ห้องข้าง ๆ นี่แหละค่ะ” นางบัวหันมาแสดงความมีน้ำใจ“ขอบคุณค่ะ แล้วห้องนี้...” เธอหมายถึงห้องอีกฝั่งที่กำแพงติดกันกับห้องของเธอ“ห้องไอ้ชุ่มคนขับรถค่ะ ถ้ามันตุ
เมื่อมาถึงบ้านอศิรวิษแม่หนูมนต์มณีวิ่งถลาเข้ามากอดเอวบิดาจนเมฆินทร์ต้องช้อนตัวบุตรสาวอุ้มแล้วแตะริมฝีปากลงบนแก้มอ่อนนุ่มอย่างรักใคร่ ดวงตาคมอ่อนโยนเมื่อมองใบหน้าอวบอิ่มของเด็กหญิงโดยไม่สนใจดวงตาเศร้าซึ้งอีกคู่ที่กำลังมองมาตาไม่กะพริบ มือคู่เล็กที่กอดคอบิดาไว้ปล่อยคลายออกเมื่อพนมมือไหว้ก้องภพและส่งเสียงเจื้อยแจ้วทักทาย“สวัสดีค่ะอาก้อง วันนี้อาก้องพาแฟนมาแนะนำให้มนนี่รู้จักหรือคะ” แม่หนูส่งยิ้มน่ารักให้อาหนุ่ม ดวงตากลมโตมองด้านหลังก้องภพสบตากับหญิงสาวที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยความสงสัย“หึๆ พี่น้ำรินเขาไม่ใช่แฟนอาก้องแต่จะมาเป็นครูคนใหม่ของมนนี่ต่างหาก” ก้องภพเอ่ยกับหลานสาวยิ้มๆ“มนนี่ไม่อยากได้ครูใหม่สักหน่อย” เด็กหญิงทำหน้าปั้นปึ่งกอดคอบิดาแน่น“มนนี่ไม่อยากกลับไปเรียนตามเพื่อน ๆ ให้ทันเหรอจ๊ะ”“ถ้ามนนี่หายแล้ว คุณพ่อจะให้มนนี่กลับไปเรียนที่โรงเรียน มนนี่ก็ไม่ต้องมีครูใหม่ซะหน่อยนี่คะอาก้อง”“แต่ตอนนี้มนนี่ยังไม่หายดีนี่คะ แล้วถ้าไม่มีคุณครูมาสอน มนนี่จะเรียนทันเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเหรอ” ก้องภพอธิบาย“จริงเหรอคะคุณพ่อ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา“ใช่จ้ะ ถ้าหนูหายดีจะได้เรียนทันเพื่อนๆ
“กรุณาเรียกผมว่าเมฆินทร์จะดีกว่า ผมไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรถึงกล้ามาสมัครงานในบริษัทของผม ทั้งที่อดีตครอบครัวคุณเคยทำเรื่องเลวระยำกับผมเอาไว้ขนาดนั้น” เมฆินทร์กัดฟันเอ่ยเสียงเข้มช้า ๆ แต่ชัดเจนอย่างคนที่พยายามสะกดอารมณ์สุดความสามารถแล้ว“น้ำไม่ทราบว่าพี่ปิ่นกับคุณพ่อทำอะไรให้พี่โกรธขนาดนี้ แต่ตอนนี้ทั้งพี่ปิ่นทั้งคุณพ่อของน้ำต่างได้รับผลกรรมที่ทำไว้อย่างสาสม น้ำรู้ว่าพี่เมฆก็คงทราบว่าเกิดเรื่องอะไรบ้างกับครอบครัวของน้ำบ้าง” ดวงตากลมเหลือบมองง้องอนอย่างน่าสงสาร“แน่นอน ผมทราบดีว่าตอนนี้วิษณุพงศ์ย่ำแย่แค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องให้อภัยกับทุกอย่างที่พวกคุณทำไว้กับครอบครัวของผมไม่ใช่เหรอธาราริน เพราะฉะนั้นวันนี้ที่คุณกล้าเข้ามาสมัครงานในบริษัทของผม มันก็เหมือนกับคุณกำลังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน”“แต่น้ำก็พร้อมจะลองทำทุกอย่างขอแค่ให้พี่...เอ่อ คุณเมฆินทร์ยอมอโหสิกรรมให้กับวิษณุพงศ์ พวกเราต้องการแค่ให้คุณเมฆินทร์ยกโทษให้เท่านั้นไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ” ดวงตาหวานยังคงส่งกระแสขอความเห็นใจจากคนตรงหน้าไม่ลดละ“ยกโทษอย่างนั้นเหรอธาราริน พวกคุณคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเชียว คนในครอบ
ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำเขา เสียงใสช่างออดอ้อนขอให้เขาพาเที่ยวยังก้องอยู่ในความรู้สึก แขนคู่เล็กเกาะก่ายต้นแขนเขาแน่น ปลายจมูกเรียวรั้นชอบยื่นเข้ามาหอมแก้มสากพร้อมรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอิ่มแย้มเยือนยามเด็กหญิงน้ำรินยินดี ความจริงครอบครัวอาศิรวิษของเขากับวิษณุพงศ์ของเธอคงมีสัมพันธภาพไม่เปลี่ยนแปลงหากไม่มีเรื่องราวบาดหมางใด ๆ เกิดขึ้นในอดีต ถ้าไม่ใช่เพราะ...ความแค้นฝังแน่นพุ่งพรวดขึ้นจู่โจมหัวใจของเขาอีกครั้งแค่เพียงคิดถึง เมฆินทร์กัดฟัน คิ้วขมวดมุ่นอย่างสะกดอารมณ์ “คุณปานรวี เชิญพบผมที่ห้องด่วน”ก๊อกๆๆ...เสียงเคาะประตูดึงความสนใจเขาจากรูปของหญิงสาวที่ทำให้หัวใจของเขารุ่มร้อนด้วยเพลิงแค้น“เข้ามา”เมฆินทร์เอ่ยห้วนๆ ก่อนประตูห้องทำงานจะถูกผลักเข้ามาพร้อมร่างระหงของเลขาที่ค่อย ๆ เยี่ยมหน้าเข้ามาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา“คุณเมฆต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”“ใครเป็นคนเรียกผู้หญิงคนนี้มาสัมภาษณ์” เขาผลักแฟ้มตรงหน้าให้เลขาฯ“คุณน้ำริน...” ปานรวีเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะมองใบสมัครงานตรงหน้า“ว่ายังไงคุณปานรวี ผมถามว่าใครเรียกผู้หญิงคนนั้นมาสัมภาษณ์” น้ำเสียงห้วนตวาดถามดังๆ ด้วยอารมณ์ทำให้เลขาสาวต
ลัมเบอร์กินีเปิดประทุนสีเงินแล่นช้า ขับคู่มากับรถประจำทางอย่างไม่เร่งร้อนก่อนจะโยกหลบ เปิดทางให้อีโคคาร์สีม่วงคริตตัลไลเลคที่แล่นปรู๊ดปร๊าดแทรกกลางเข้ามาเพราะเกรงว่ารถคันเล็กจะเฉี่ยวกระจกมองข้างรถตน“โธ่โว้ย...ขับรถภาษาอะไรวะ”เจ้าของรถคันงามบ่นขึ้นอย่างหงุดหงิดแล้วเอื้อมมือเปลี่ยนเกียร์เพื่อเร่งเครื่องขับขึ้นไปขนาบข้างอีโคคาร์คันเล็ก เขามองคนขับรถดังกล่าวด้วยสายตาไม่พอใจ รอยยิ้มแหยๆ กับสีหน้าเจื่อนของคู่กรณีไม่ทำให้คลายโทสะแม้แต่น้อย“เด็กบ้า ซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะเนี่ย”เขาสบถระบายความหงุดหงิดแล้วเร่งเครื่องทิ้งห่างรถเล็กไปอย่างไม่เห็นฝุ่นในระยะเวลาอันสั้นกระทั่งแล่นรถเข้ามาจอดหน้าตึกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างคอบบร้า พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)เมฆินทร์ อาศิรวิษ นักธุรกิจหนุ่มวัย 34 ปีเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่จากการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครตอนบนจนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นการสร้างบ้านแบบโมเดิร์นสไตล์ ในแบบคอบบร้า พร็อพเพอร์ตี้กรุ๊ปกระจายไปทั่วทั้งภูมิภาครวมกว่า 20 โครงการ เน้นแนวคิดและรูปแบบที่อยู่อาศัยหลากหลายให้ตรงใจลูกบ้านเมฆิน