“กรุณาเรียกผมว่าเมฆินทร์จะดีกว่า ผมไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรถึงกล้ามาสมัครงานในบริษัทของผม ทั้งที่อดีตครอบครัวคุณเคยทำเรื่องเลวระยำกับผมเอาไว้ขนาดนั้น” เมฆินทร์กัดฟันเอ่ยเสียงเข้มช้า ๆ แต่ชัดเจนอย่างคนที่พยายามสะกดอารมณ์สุดความสามารถแล้ว
“น้ำไม่ทราบว่าพี่ปิ่นกับคุณพ่อทำอะไรให้พี่โกรธขนาดนี้ แต่ตอนนี้ทั้งพี่ปิ่นทั้งคุณพ่อของน้ำต่างได้รับผลกรรมที่ทำไว้อย่างสาสม น้ำรู้ว่าพี่เมฆก็คงทราบว่าเกิดเรื่องอะไรบ้างกับครอบครัวของน้ำบ้าง” ดวงตากลมเหลือบมองง้องอนอย่างน่าสงสาร
“แน่นอน ผมทราบดีว่าตอนนี้วิษณุพงศ์ย่ำแย่แค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องให้อภัยกับทุกอย่างที่พวกคุณทำไว้กับครอบครัวของผมไม่ใช่เหรอธาราริน เพราะฉะนั้นวันนี้ที่คุณกล้าเข้ามาสมัครงานในบริษัทของผม มันก็เหมือนกับคุณกำลังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน”
“แต่น้ำก็พร้อมจะลองทำทุกอย่างขอแค่ให้พี่...เอ่อ คุณเมฆินทร์ยอมอโหสิกรรมให้กับวิษณุพงศ์ พวกเราต้องการแค่ให้คุณเมฆินทร์ยกโทษให้เท่านั้นไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ” ดวงตาหวานยังคงส่งกระแสขอความเห็นใจจากคนตรงหน้าไม่ลดละ
“ยกโทษอย่างนั้นเหรอธาราริน พวกคุณคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเชียว คนในครอบครัวคุณนี่มันมักง่ายกันดีแท้ คิดว่าฝ่ายที่ถูกกระทำจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ” เขาเอ่ยลอดไรฟัน
“แล้วถ้าฉันจะขอร้องให้แกรับน้ำรินไว้ทำงานด้วยล่ะ”
เมฆินทร์เหลือบตามองเพื่อนสนิทที่ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับถามแทรกขึ้นทำให้เขาหงุดหงิดจนต้องถอนใจแรงก่อนตอบคำถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“บริษัทฉันไม่ใช่โรงเรียน แกจะให้ฉันรับคนจบครูมาทำงานเนี่ยนะไอ้ก้อง”
“งั้นแกก็รับน้ำรินไว้ในตำแหน่งครูมนนี่สิ” ก้องภพเสนอ
“ลูกสาวฉันไม่จำเป็นต้องมีครูพี่เลี้ยง”
เขาปฏิเสธห้วนๆ เขาไม่มีวันยอมให้เธอเข้ามาวุ่นวายกับลูกสาวของเขาอย่างเด็ดขาด มนนี่หรือมนต์มณีคือดวงใจที่เหลืออยู่เพียงดวงเดียวของเขา ไม่มีวันที่เขาจะยอมให้พวกผีดูดเลือดอย่างวิษณุพงศ์ย่ำยีหัวใจของเขาได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
“ก็แกเป็นคนบอกให้ฉันช่วยหาคนมาดูแลมนนี่ให้เองนะโว้ยไอ้เมฆ”
“ต้องไม่ใช่พวกวิษณุพงศ์” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“เอาเถอะวะ ถือว่าเพื่อนอย่างฉันขอร้องก็แล้วกัน”
เมฆินทร์ขบฟันจนขากรรไกรขึ้นสันเพราะรู้ว่าขัดใจเพื่อนที่เป็นคนให้ความช่วยเหลือตอนที่ตนตกทุกข์ได้ยากจนสามารถกลับมายืนหยัดได้อย่างทุกวันนี้ไม่ได้ ซึ่งก้องภพรู้ดีว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอนแม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่จำใจแค่ไหน เมฆินทร์ถอนใจหนักๆ
“พรุ่งนี้คุณมาพบผมที่นี่ ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับลูกศิษย์ของคุณกัน” ก้องภพหันไปสั่งหญิงสาว
ธารารินกะพริบตาปริบมองคนพูดและพยักหน้าแทนคำตอบรับก่อนจะชำเลืองหางตามองสีหน้าเคร่งเครียดของเมฆินทร์อย่างหนักใจ ภารกิจที่เคยคิดว่าไม่น่ายากดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว...
“ถ้าอย่างนั้นน้ำขอกลับไปเตรียมตัวนะคะ” เธอกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้สองหนุ่มก่อนจะหันหลังเดินออกไป
“แกทำแบบนี้ทำไมวะไอ้ก้อง” เมฆินทร์ถามเพื่อนอย่างหงุดหงิด
“ฉันก็แค่อยากให้นายอโหสิให้กับครอบครัวของน้ำรินซะที นะสิ โดยเฉพาะกับปิ่น แกก็รู้ว่าตอนนี้ปิ่นน่าสงสารแค่ไหน” ก้องภพถอนหายใจหนักๆ
“หึ..ผู้หญิงคนนั้นสมควรได้รับกรรมแล้ว” ยกโทษอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางที่เขาจะยกโทษให้พวกวิษณุพงศ์ง่าย ๆ เด็ดขาด!!
“แต่น้ำรินไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้รับการให้อภัยจากแก เธอกล้ามาขอร้องให้ฉันช่วยเพราะเชื่อว่าบาปกรรมที่ครอบครัวเธอทำไว้กับแกมันทำให้ทุกคนในครอบครัวเธอต้องเจอกับเคราะห์ร้าย แกให้น้ำรินไถ่โทษแทนครอบครัวได้ไหมวะเมฆ” ก้องภพพยายามโน้มน้าวใจเพื่อน
“ฉันไม่เคยมีความคิดว่าจะยกโทษให้กับคนพวกนั้น แกก็รู้ดี ต่อให้ยายเด็กนั่นจะลดตัวมารับใช้ฉันกับลูกอย่างคนสิ้นไร้ศักดิ์ศรี ฉันก็ไม่มีวันจะยกโทษให้พวกวิษณุพงศ์อย่างแน่นอน”
“อย่างนั้นฉันขอแค่นายรับเธอไว้ ส่วนเธอจะทำให้นายใจอ่อนได้หรือเปล่า มันเกินความสามารถของฉัน คงต้องแล้วแต่แกตัดสินใจ”
“แต่ถ้ายายนั่นทนไม่ได้แล้วลาออกไปเอง มันก็ไม่ใช่ความผิดของฉันเหมือนกัน” และเขานี่แหละจะทำให้เธอต้องร้องขอความเมตตาเลยทีเดียว
9.00 น.ของวันรุ่งขึ้น...โชคดีของธารารินที่ก้องภพมาถึงบริษัทคอบบร้า พร็อพเพอร์ตี้กรุ๊ปในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอค่อยใจชื้นที่มีเพื่อนขึ้นไปพบเจ้านายคนใหม่ ก้องภพเข้าใจและให้กำลังใจเธอก่อนพาขึ้นไปพบเมฆินทร์ตามนัด และทันทีที่พบเจ้าของบริษัทฯ ธารารินรีบส่งยิ้มผูกมิตรกับคนหน้าบึ้งพลางยกมือไหว้ทักทายอย่างใจดีสู้เสื้อแต่คนหน้าดุไม่เพียงไม่รับไหว้ เขาทำเหมือนเธอไร้ตัวตนด้วยการหันไปพูดคุยกับก้องภพก่อนจะเดินนำออกไปหลังบอกให้ก้องภพตามไปเจอกันที่บ้านอาศิรวิษเพื่อพบกับลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอ
“จะไหวไหมฮึน้ำริน ถึงไอ้เมฆมันจะยอมรับเราเข้าทำงาน แต่มันแสดงออกชัดเจนว่าไม่เต็มใจอย่างนี้ เราคงไม่ได้อยู่อย่างสงบในบ้านมันแน่” ก้องภพเลิกคิ้วมองหญิงสาวพลางเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง
“ไหวค่ะ น้ำจะพยายามทำให้เขาใจอ่อนให้ได้ น้ำหยดลงหินทุกวันมันยังกร่อนเลยนี่คะ” เธอปลอบใจตัวเองไปด้วย
“ถ้าน้ำจะไม่ระเหยกลายเป็นไอไปซะก่อนที่หินจะกร่อนนะ” ก้องภพถอนหายใจพร้อมกับสั่นศีรษะเบา ๆ
ธารารินเอื้อมมือคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเดินตามแม่บ้านร่างอวบไปท่ามกลางสายตาสองคู่ที่มองตามเธอด้วยสายตาต่างความรู้สึกกันเรือนพักคนงานเป็นเรือนไม้สองชั้นแบ่งซอยเป็นห้องๆ นับสิบห้องสำหรับคนงานพักอาศัย ห้องพักที่เขาจัดให้เธออยู่ เป็นห้องกลางที่อยู่ระหว่างห้องของป้าบัวกับห้องนายชุ่มคนขับรถท่าทางหลุกหลิก ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นชอบแอบเหล่มองเธออย่างกรุ้มกริ่มไม่น่าไว้ใจจนหญิงสาวต้องรีบเดินเร็วเข้าไปหลบในห้องของตน เธอกวาดสายตามองภายในห้องที่มีเพียงตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ กับที่นอนนุ่นหลังเล็กสีซีดแต่ดูสะอาดพอสมควร โชคดีที่ในห้องยังมีพัดลมเพดานและชั้นอเนกประสงค์ให้เธอได้จัดวางหนังสือเก็บได้บ้าง หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจแรง รู้ว่าเจ้าของบ้านจงใจกดให้เธอต่ำต้อย แต่เพราะต้องการให้เขายอมอภัยให้ครอบครัวทำให้เธอต้องยอมกล้ำกลืนอดทน‘เฮ้อ...อดทนไว้น้ำริน ท่องไว้ว่าเพื่อครอบครัว เพื่อครอบครัว เธอต้องทำได้อยู่แล้ว’“มีอะไรก็เคาะเรียกป้าได้เลยนะคะคุณครู ป้าอยู่ห้องข้าง ๆ นี่แหละค่ะ” นางบัวหันมาแสดงความมีน้ำใจ“ขอบคุณค่ะ แล้วห้องนี้...” เธอหมายถึงห้องอีกฝั่งที่กำแพงติดกันกับห้องของเธอ“ห้องไอ้ชุ่มคนขับรถค่ะ ถ้ามันตุ
เมื่อมาถึงบ้านอศิรวิษแม่หนูมนต์มณีวิ่งถลาเข้ามากอดเอวบิดาจนเมฆินทร์ต้องช้อนตัวบุตรสาวอุ้มแล้วแตะริมฝีปากลงบนแก้มอ่อนนุ่มอย่างรักใคร่ ดวงตาคมอ่อนโยนเมื่อมองใบหน้าอวบอิ่มของเด็กหญิงโดยไม่สนใจดวงตาเศร้าซึ้งอีกคู่ที่กำลังมองมาตาไม่กะพริบ มือคู่เล็กที่กอดคอบิดาไว้ปล่อยคลายออกเมื่อพนมมือไหว้ก้องภพและส่งเสียงเจื้อยแจ้วทักทาย“สวัสดีค่ะอาก้อง วันนี้อาก้องพาแฟนมาแนะนำให้มนนี่รู้จักหรือคะ” แม่หนูส่งยิ้มน่ารักให้อาหนุ่ม ดวงตากลมโตมองด้านหลังก้องภพสบตากับหญิงสาวที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยความสงสัย“หึๆ พี่น้ำรินเขาไม่ใช่แฟนอาก้องแต่จะมาเป็นครูคนใหม่ของมนนี่ต่างหาก” ก้องภพเอ่ยกับหลานสาวยิ้มๆ“มนนี่ไม่อยากได้ครูใหม่สักหน่อย” เด็กหญิงทำหน้าปั้นปึ่งกอดคอบิดาแน่น“มนนี่ไม่อยากกลับไปเรียนตามเพื่อน ๆ ให้ทันเหรอจ๊ะ”“ถ้ามนนี่หายแล้ว คุณพ่อจะให้มนนี่กลับไปเรียนที่โรงเรียน มนนี่ก็ไม่ต้องมีครูใหม่ซะหน่อยนี่คะอาก้อง”“แต่ตอนนี้มนนี่ยังไม่หายดีนี่คะ แล้วถ้าไม่มีคุณครูมาสอน มนนี่จะเรียนทันเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเหรอ” ก้องภพอธิบาย“จริงเหรอคะคุณพ่อ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา“ใช่จ้ะ ถ้าหนูหายดีจะได้เรียนทันเพื่อนๆ
“กรุณาเรียกผมว่าเมฆินทร์จะดีกว่า ผมไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรถึงกล้ามาสมัครงานในบริษัทของผม ทั้งที่อดีตครอบครัวคุณเคยทำเรื่องเลวระยำกับผมเอาไว้ขนาดนั้น” เมฆินทร์กัดฟันเอ่ยเสียงเข้มช้า ๆ แต่ชัดเจนอย่างคนที่พยายามสะกดอารมณ์สุดความสามารถแล้ว“น้ำไม่ทราบว่าพี่ปิ่นกับคุณพ่อทำอะไรให้พี่โกรธขนาดนี้ แต่ตอนนี้ทั้งพี่ปิ่นทั้งคุณพ่อของน้ำต่างได้รับผลกรรมที่ทำไว้อย่างสาสม น้ำรู้ว่าพี่เมฆก็คงทราบว่าเกิดเรื่องอะไรบ้างกับครอบครัวของน้ำบ้าง” ดวงตากลมเหลือบมองง้องอนอย่างน่าสงสาร“แน่นอน ผมทราบดีว่าตอนนี้วิษณุพงศ์ย่ำแย่แค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องให้อภัยกับทุกอย่างที่พวกคุณทำไว้กับครอบครัวของผมไม่ใช่เหรอธาราริน เพราะฉะนั้นวันนี้ที่คุณกล้าเข้ามาสมัครงานในบริษัทของผม มันก็เหมือนกับคุณกำลังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน”“แต่น้ำก็พร้อมจะลองทำทุกอย่างขอแค่ให้พี่...เอ่อ คุณเมฆินทร์ยอมอโหสิกรรมให้กับวิษณุพงศ์ พวกเราต้องการแค่ให้คุณเมฆินทร์ยกโทษให้เท่านั้นไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านี้จริง ๆ” ดวงตาหวานยังคงส่งกระแสขอความเห็นใจจากคนตรงหน้าไม่ลดละ“ยกโทษอย่างนั้นเหรอธาราริน พวกคุณคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเชียว คนในครอบ
ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำเขา เสียงใสช่างออดอ้อนขอให้เขาพาเที่ยวยังก้องอยู่ในความรู้สึก แขนคู่เล็กเกาะก่ายต้นแขนเขาแน่น ปลายจมูกเรียวรั้นชอบยื่นเข้ามาหอมแก้มสากพร้อมรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากอิ่มแย้มเยือนยามเด็กหญิงน้ำรินยินดี ความจริงครอบครัวอาศิรวิษของเขากับวิษณุพงศ์ของเธอคงมีสัมพันธภาพไม่เปลี่ยนแปลงหากไม่มีเรื่องราวบาดหมางใด ๆ เกิดขึ้นในอดีต ถ้าไม่ใช่เพราะ...ความแค้นฝังแน่นพุ่งพรวดขึ้นจู่โจมหัวใจของเขาอีกครั้งแค่เพียงคิดถึง เมฆินทร์กัดฟัน คิ้วขมวดมุ่นอย่างสะกดอารมณ์ “คุณปานรวี เชิญพบผมที่ห้องด่วน”ก๊อกๆๆ...เสียงเคาะประตูดึงความสนใจเขาจากรูปของหญิงสาวที่ทำให้หัวใจของเขารุ่มร้อนด้วยเพลิงแค้น“เข้ามา”เมฆินทร์เอ่ยห้วนๆ ก่อนประตูห้องทำงานจะถูกผลักเข้ามาพร้อมร่างระหงของเลขาที่ค่อย ๆ เยี่ยมหน้าเข้ามาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา“คุณเมฆต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”“ใครเป็นคนเรียกผู้หญิงคนนี้มาสัมภาษณ์” เขาผลักแฟ้มตรงหน้าให้เลขาฯ“คุณน้ำริน...” ปานรวีเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะมองใบสมัครงานตรงหน้า“ว่ายังไงคุณปานรวี ผมถามว่าใครเรียกผู้หญิงคนนั้นมาสัมภาษณ์” น้ำเสียงห้วนตวาดถามดังๆ ด้วยอารมณ์ทำให้เลขาสาวต
ลัมเบอร์กินีเปิดประทุนสีเงินแล่นช้า ขับคู่มากับรถประจำทางอย่างไม่เร่งร้อนก่อนจะโยกหลบ เปิดทางให้อีโคคาร์สีม่วงคริตตัลไลเลคที่แล่นปรู๊ดปร๊าดแทรกกลางเข้ามาเพราะเกรงว่ารถคันเล็กจะเฉี่ยวกระจกมองข้างรถตน“โธ่โว้ย...ขับรถภาษาอะไรวะ”เจ้าของรถคันงามบ่นขึ้นอย่างหงุดหงิดแล้วเอื้อมมือเปลี่ยนเกียร์เพื่อเร่งเครื่องขับขึ้นไปขนาบข้างอีโคคาร์คันเล็ก เขามองคนขับรถดังกล่าวด้วยสายตาไม่พอใจ รอยยิ้มแหยๆ กับสีหน้าเจื่อนของคู่กรณีไม่ทำให้คลายโทสะแม้แต่น้อย“เด็กบ้า ซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะเนี่ย”เขาสบถระบายความหงุดหงิดแล้วเร่งเครื่องทิ้งห่างรถเล็กไปอย่างไม่เห็นฝุ่นในระยะเวลาอันสั้นกระทั่งแล่นรถเข้ามาจอดหน้าตึกบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างคอบบร้า พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)เมฆินทร์ อาศิรวิษ นักธุรกิจหนุ่มวัย 34 ปีเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่จากการพัฒนาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครตอนบนจนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็นการสร้างบ้านแบบโมเดิร์นสไตล์ ในแบบคอบบร้า พร็อพเพอร์ตี้กรุ๊ปกระจายไปทั่วทั้งภูมิภาครวมกว่า 20 โครงการ เน้นแนวคิดและรูปแบบที่อยู่อาศัยหลากหลายให้ตรงใจลูกบ้านเมฆิน