"ผี?"
"ขอรับนายท่าน"
"เมื่อวานก็วิชามาร วันนี้ก็ผีสาง มันอะไรกันนักกันหนา?"
จ้าวจวิ้นซานยกมือขึ้นมาบีบนวดขมับคลายเส้นเบาๆหลังจากได้ยินรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อเช้า
เมื่อวานหลังจากกลับถึงบ้านก็ได้รับรู้เรื่องน่าปวดหัวอย่างเรือนเล็กท้ายจวนมีปัญหา พอไปถึงคนก็บอกว่าไอ้มารหัวขนนั่นฝึกวิชามาร แม้ว่าจะพูดอย่างนั้น
แต่อย่างไรแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าวิชามารไม่ใช่ว่าใครจะฝึกก็ได้
อีกทั้งเช้ามายังไม่ทันจะตื่นดี ก็มีบ่าวหน้าโง่วิ่งแตกตื่นมาพูดจาเลอะเลือนว่าเรือนเล็กหลังจวนมีผี อยู่กันมาเป็นสิบปี อยู่ๆมันจะไปมีผีสางอะไรได้อย่างไร
ครั้นจะเอ่ยถามบุตรชายเกี่ยวกับเรื่องนี้ จ้าวซินเหอก็ยังนอนไม่ตื่น
"นายท่านขอรับ แต่บ่าวทั้งสามคน..."
"บ่าวทั้งสามคน?"
"ขอรับ เป็นบ่าวของคุณชายใหญ่"
"เรียกมาพบข้า ส่วนเจ้า ไปเรียกคุณชายใหญ่มา"
จ้าวจวิ้นซานออกคำสั่ง บ่าวทั้งสองคนที่ได้รับคำสั่งรีบไปตามคนที่จ้าวจวิ้นซานต้องการพบมาทันที เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ก็มีกลุ่มบ่าวแบกอะไรบางอย่างมา ดูแล้ววุ่นวายไม่น้อย
"นั่นอะไร?"
"เรียนนายท่าน เป็นบ่าวของคุณชายใหญ่ทั้งสามคนขอรับ"
สภาพของบ่าวเด็กทั้งสามเรียกได้ว่าไม่น่าดูแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด แต่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรกมอมแมม บัดนี้ยังคงน้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด สายตาล่อกแล่กลอบมองรอบด้านด้วยความหวาดกลัว
ทั้งสามไม่มีแรงแม้จะเดินเองด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงต้องให้บ่าวคนอื่นๆช่วยกันแบกหามมา ก่อนที่จะได้ถามอะไรต่อ จ้าวซินเหอก็เดินมาพอดี และได้เห็นสภาพของบ่าวทั้งสามของตัวเอง
"พวกเจ้า..."
บ่าวทั้งสามเมื่อเห็นคุณชายใหญ่ของตนเองก็รีบคลานเข่าเข้ามาหาหวังพึ่งพิง
"คะ คุณชาย คุณชายขอรับ ฮึก ช่วยด้วยขอรับ"
จ้าวซินเหอเองก็แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาเช่นกัน ยิ่งเห็นว่าสภาพของบ่าวที่ตนทิ้งไว้เมื่อคืนเป็นอย่างไร ยิ่งหวาดกลัวเป็นเท่าทวีคูณ
"อาเหอ นี่มันเรื่องอะไรกัน?"
"ข้า..."
"คุณชาย ข้าเห็น ข้าเห็นแล้ว มะ มันใช้วิชามาร อีกทั้งยังเรียกภูติผีมาเป็นบริวาร..อึก ขะ ข้า..."
บ่าวทั้งสามห้อมล้อมคุณชายของตนเอาไว้ แม้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม และคำพูดที่บ่าวคนหนึ่งนั้นพูดออกมา ยิ่งทำให้จ้าวจวิ้นซานฉงนนัก
หากเป็นอย่างที่บ่าวพวกนี้พูดจริง หรือว่าเจ้าเด็กนั่น จะฝึกวิชามารจริงๆ...
"ท่านพี่"
ติงมี่เซียนรีบออกมาจากเรือนนอนทั้งๆที่ยังประทินโฉมไม่แล้วดี เมื่อมีบ่าวหญิงคนหนึ่งมารายงานเรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในตอนแรกนางเองไม่ได้คิดจะใส่ใจ กระทั่งได้ยินบ่าวคนนั้นพูดว่าเกี่ยวกับเรือนท้ายจวนและวิชามาร
"ฮูหยิน สั่งให้คนไปตามไต้ซือมา"
"เจ้าคะ?"
แม้จะยังไม่รู้แน่ชัด แต่หากเรื่องนี้เกี่ยวกับวิชามารและภูติผีจริง เรื่องพวกนี้จ้าวจวิ้นซานไม่อาจจัดการเองได้
ตัวจ้าวจวิ้นซานนั้นเดิมก็เป็นเพียงพ่อค้า วรยุทธ์ที่มีก็นำไปสู้รบปรบมืออะไรกับใครเขาไม่ไหว สิ่งที่มีมากพอจะสู้คนอื่นได้ก็มีเพียงทรัพย์สมบัติจากการค้าขาย ดังนั้นจ้าวจวิ้นซานจึงได้เคี่ยวเข็ญอยากให้บุตรของตนเองนั้นได้วรยุทธ์
แต่หากจ้าวเซินฝู บุตรชายที่เขาแสนจะเกลียดชังนั่น กลับสามารถฝึกวิชามารได้ นั่นก็นับเป็นวรยุทธ์เช่นเดียวกัน เพียงแต่มันไม่ได้เป็นที่ยอมรับเท่านั้นเอง
"เดี๋ยว... ไม่ต้อง"
ติงมี่เซียนหันมามองผู้เป็นสามีด้วยความแปลกใจ หากว่ากันตามเรื่องแล้วการที่เด็กนั่นอาจข้องเกี่ยวกับวิชามาร หรือการเลี้ยงภูติผีอะไรก็แล้วแต่ การเชิญไต้ซือมาควรเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
"ไปตามเด็กนั่นมา"
"เจ้าคะ?"
เป็นอีกครั้งที่ติงมี่เซี่ยนเอ่ยปากด้วยความสงสัย หากเด็กนั่นเป็นอย่างที่บ่าวพวกนี้พูด เด็กนั่นย่อมเป็นตัวอันตราย ไม่ควรให้ใครได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำ แล้วทำไมอยู่ๆจึงให้ไปตามเจ้าเด็กนั่นมากัน
ครั้นจะหันไปออกคำสั่งกับบ่าวคนไหนก็ไม่มีใครกล้าสบตา เพราะกลัวว่าจะได้ไปที่เรือนเล็กนั่นเพียงลำพัง จากที่เห็นสภาพของบ่าวทั้งสามแล้ว ล้วนแต่ไม่มีใครอยากจะย่างกรายไปบริเวณนั้น
"ส่งใครไปสักคนสิ หรือจะให้ข้าไปเอง?"
จ้าวจวิ้นซานเห็นว่าติงมี่เซียนยังไม่คิดออกคำสั่งกับบ่าวคนไหนก็พูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด
"ขะ ข้า..."
จ้าวจวิ้นซานเห็นว่าทุกคนยังคงอึกอัก แม้ว่ายังไม่ได้รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่บ่าวทั้งสามคนนั้นพูดมาเป็นความจริงหรือไม่
แต่หากนั่นเป็นความจริงแล้ว เหตุใดจึงลงมือแค่นี้...
หรือพลังนั่นยังใช้ได้ไม่เต็มที่อย่างนั้นหรือ...
"ข้าจะไปเรือนเล็ก"
จ้าวจวิ้นซานเอ่ยขึ้น ไม่รอให้ใครตอบรับ ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากเรือนรับรองทันที ฮูหยินใหญ่และบ่าวที่เหลือพากันมองหน้าเลิ่กลั่ก
"นายท่านเดินไปแล้ว พวกเจ้ายังรออะไรอยู่ รีบลุกตามไปสิ"
พ่อบ้านหยางที่ทำท่าจะเดินตามจ้าวจวิ้นซานนั้นหันมาออกคำสั่ง ปรายตามองติงมี่เซียนที่นั่งนิ่งเหมือนคนโง่งม แล้วหันหน้าหนี
บ่าวที่พากันนั่งล้อมนายอยู่เมื่อครู่ รีบพากันเดินตามจ้าวจวิ้นซานไปเรือนเล็ก แม้ว่าในใจจะรู้สึกหวาดกลัวมากแค่ไหนก็ตาม
ติงมี่เซียนหันไปคว้ามือบุตรชายเอาไว้แล้วรีบตามจ้าวจวิ้นซานไป แม้ว่าจ้าวซินเหอจะรั้งตัวเอาไว้แค่ไหนก็สู้แรงมารดาไม่ได้ จึงต้องเดินตามมาอย่างจำยอม
จ้าวจวิ้นซานที่เดินมาถึงเป็นคนแรก จ้องเรือนเล็กด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก อย่างที่บอกว่าจ้าวเซินฝู เรียกได้ว่าเป็นเสี้ยนหนามเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตของจ้าวจวิ้นซาน
เพราะจ้าวเซินฝูเกิดจากฮูหยินที่ต้องเกี่ยวดองกันทางการเมือง จ้าวจวิ้นซานไม่ได้ปักใจรักนางแต่อย่างใด อีกทั้งหลังจากอยู่กันได้ไม่นาน จ้าวจวิ้นซานก็ยังร่วมอภิรมย์กับนาง กระทั่งมีไอ้เด็กหัวแข็งนี่เกิดมา แม้ว่าจะแอบสับเปลี่ยนยาบำรุงเป็นยาห้ามครรภ์แล้วก็ตาม
"เรียกมันออกมา"
พ่อบ้านหยางค้อมตัวรับคำสั่ง ก่อนจะเดินไปเคาะประตูไม้บานเก่าคร่ำครึด้วยความสุภาพ พร้อมกับเปล่งเสียงเรียกคนที่อยู่ด้านใน
"เรียนคุณชายใหญ่ นายท่านต้องการพบขอรับ"
แม้ว่าใครหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะรู้สึกแสลงหูกับสิ่งที่พ่อบ้านหยางพูดออกมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ กระทั่งจ้าวจวิ้นซานเองยังทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้ว
แน่นอนว่าพ่อบ้านหยางไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใดยืนปักหลักรอหน้าประตู กระทั่งได้ยินเสียงกุกกักจากด้านใน
"คุณชายใหญ่ขอรับ"
ไม่นานนักประตูไม้บานเก่าตรงหน้าพ่อบ้านหยางก็เปิดออก จ้าวเซินฝูที่ปรากฏตรงหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มตัวเล็กแกน สภาพมอมแมม และดูเหมือนว่าเพิ่งจะตื่นนอนเท่านั้น
"นายท่านต้องการพบขอรับ"
แม้ว่าพ่อบ้านหยางจะไม่ได้ยิ้มแย้มอะไร แต่น้ำเสียงนั้นเจือความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ไม่น้อย
ที่จริงแล้ว พ่อบ้านหยางนั้น เป็นพ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลเดิมของมารดาจ้าวเซินฝู เมื่อนางแต่งออกจากเรือนแล้ว พ่อบ้านหยางเป็นผู้ติดตามมาดูแลนางที่นี่ พร้อมกับบ่าวหญิงที่สนิทอีกสองคน
แต่เมื่อมารดาของจ้าวเซินฝูจากไป จ้าวจวิ้นซานก็ไล่ให้บ่าวหญิงทั้งสองคนกลับบ้านเดิมไป โดยรั้งเอาพ่อบ้านหยางเอาไว้ และที่พ่อบ้านหยางไม่ดึงดันจะจากไป ก็เพราะจ้าวเซินฝูยังอยู่ที่นี่
พ่อบ้านหยาง แม้ว่าจะมีศักดิ์เป็นพ่อบ้านของจวน แต่ว่าพ่อบ้านหยางเป็นผู้มีวรยุทธ์ หากไม่นับเหล่าผู้คุ้มกันรับจ้างแล้ว พ่อบ้านหยางเป็นเพียงคนเดียวในจวนจ้าวที่ใช้วรยุทธ์ได้ดี ดังนั้นจ้าวจวิ้นซานจึงไม่ค่อยมีปากเสียงกับพ่อบ้านหยางนัก แม้ว่าหลายๆอย่างจะดูขัดหูขัดตาไปบ้าง
อย่างสายตาของพ่อบ้านหยาง ยามที่มองฮูหยินและบุตรคนอื่นๆของจ้าวจวิ้นซาน
หรือการที่เรียกจ้าวเซินฝูว่าคุณชายใหญ่ และเรียกจ้าวซินเหอว่าคุณชายรอง
แต่ว่าหากเรื่องแค่นี้ ยังรั้งให้พ่อบ้านหยางไม่อุ้มเอาจ้าวเซินฝูหนีไปด้วย นับว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย แม้ว่าติงมี่เซียนจะพูดเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่เอาเข้าจริง จ้าวจวิ้นซานก็ทำอะไรไม่ได้มากมายนัก
"เซินฝู"
จ้าวจวิ้นซานไม่อยากเรียกจ้าวเซินฝูว่าจ้าวเซินฝูด้วยซ้ำ
"คารวะนายท่านจ้าว"
และดูเหมือนว่าจ้าวเซินฝูก็ไม่ได้คิดจะเรียกจ้าวจวิ้นซานว่าบิดาด้วยเช่นกัน
"ข้าได้ยินเรื่องวุ่นวายในจวนตั้งแต่เมื่อวาน เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่?"
ไม่ทันได้รอให้คนอื่นได้พูดอะไร จ้าวจวิ้นซานก็เอ่ยปากพูดเรื่องที่ตนเองได้ยินได้ฟังมาทันที
ก่อนหน้านี้จ้าวจวิ้นซานนั้นไม่คิดว่าการที่มีวรยุทธ์จะเป็นเรื่องดี เพราะตระกูลจ้าวนั้นมั่งคั่งไปด้วยเงินทองอยู่แล้วเนื่องจากเป็นตระกูลพ่อค้า
แต่เมื่อไม่นานนี้เพิ่งจะมาเปลี่ยนความคิด...
ค่าตอบแทนของผู้มีวรยุทธ์นั้นสูงมาก เกินที่จะคาดเดา...
หากต้องการจ้างผู้มีวรยุทธ์ให้คุ้มครองนั้น ตกเดือนละ 50 เหรียญทอง หรือแทบจะเท่าๆกับการขายสินค้าจากต่างแดนของพวกพ่อค้าสามเกวียน และนี่ยังถือเป็นขั้นต่ำเท่านั้น หากต้องการผู้ที่มีวรยุทธ์สูงขึ้นไปอีก ราคาก็จะสูงตาม
ผู้คุ้มกันของจ้าวจวิ้นซานนั้นก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างดี ดังนั้นค่าจ้างต่อคนจึงอยู่ที่เดือนละ 70 เหรียญทอง แทบจะเท่ากับรายได้ของชาวบ้านทั่วไปถึงสามปี
ดังนั้นหากจ้าวเซินฝูเป็นวรยุทธ์ล่ะก็...
จ้าวเซินฝูสามารถเป็นอีกหนึ่งในสินค้าของตระกูลจ้าวได้เลยทีเดียว
"ข้าน้อยโง่เขลา ไม่ทราบว่านายท่านจ้าวเอ่ยเรื่องใดอยู่"
ฝั่งของจ้าวเซินฝูที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งก็ไม่ได้โง่เขลา ชาติก่อนโดนกระทำมาอย่างไร เหตุใดจะต้องกลับไปในวังวนเดิมๆนั่นด้วย สู้หาทางรอดให้ตัวเองเพียงคนเดียวเสียยังจะดีกว่า
ไม่ว่าชาตินี้จะเป็นอย่างไร จ้าวเซินฝูก็ไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าวทั้งทางตรงและทางอ้อม จ้าวเซินฝูคิดเอาไว้ว่าหากปลุกพลังได้แล้ว จะรีบหนีไปจากตระกูลนี้ซะ
จ้าวจวิ้นซานที่ได้ยินจ้าวเซินฝูตอบแบบนั้นก็ไม่พอใจเล็กน้อย หันไปมองบุตรชายคนรองของตนเอง จ้าวซินเหอมีท่าทีหวาดกลัวจ้าวเซินฝูอย่างสุดหัวใจ เป็นไปไม่ได้ที่จ้าวซินเหอจะโกหก
"เจ้า.."
แต่ถ้าหากจ้าวซินเหอโกหกล่ะ...
ถ้าเป็นอย่างนั้นบ่าวของจ้าวซินเหอเองก็โกหกด้วยอย่างนั้นหรือ
"ข้าได้ยินมา... ว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์"
จ้าวจวิ้นซานหลีกเลี่ยงคำว่าวิชามารอย่างที่บุตรชายคนรองและบ่าวป่าวประกาศ แม้ว่าจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็ยังเรียกสายตาหวาดกลัวจากคนอื่นๆรอบตัวได้
ทุกคนต่างรู้กันดีว่าการที่จะฝึกวรยุทธ์นั้นยากเย็นเพียงใด การที่อยู่ๆคนที่เป็นเหมือนเศษเดนของจวน ไม่ได้รับการดูแลหรือการศึกษาอะไร กลับมีวรยุทธ์ขึ้นมานั้น มีความเป็นไปได้เพียงแค่สองอย่าง
อย่างแรกคือเป็นอัจฉริยะ ลูกรักของสวรรค์ที่ได้รับมอบความเก่งกาจเหนือผู้อื่น
และอย่างที่สอง... คือการบูชายัญมอบเครื่องสังเวย เพื่อรับพลังมาร
จ้าวเซินฝูนั้น เป็นผู้ต้องสงสัยว่าใช้วิธีที่สองในการรับพลังมา ผู้คนต่างคิดว่า หากเป็นลูกรักสวรรค์จริง คงไม่มีชะตากรรมเช่นนี้เป็นแน่
"คงมีเรื่องเข้าใจผิดแล้วนายท่าน ข้าเป็นเพียงคนที่ถูกขังอยู่ที่เรือนเล็กนี้เท่านั้น มิได้เป็นวรยุทธ์ใดๆ"
จ้าวซินเหอส่ายหน้าไม่ยอมรับ เมื่อวานจ้าวซินเหอเห็นเองกับตา อีกทั้งเมื่อคืนที่พาบ่าวสามคนนั้นมาด้วย เช้ามาก็ต้องมาเห็นสภาพที่ไม่น่าดูของทั้งสามคน ทำให้จ้าวซินเหอปักใจเชื่อไม่ลงว่าจ้าวเซินฝูไม่ได้ทำอะไร
"มะ ไม่จริง มันโกหก"
"อาเหอ"
ติงมี่เซียนดึงแขนเบาๆไม่ให้จ้าวซินเหอพูดอะไรออกไป แค่นี้ก็วุ่นวายมากแล้ว หากเจ้าตัวพูดว่าไม่ใช่ เรื่องวันนี้ก็คงจบลงแล้ว...
และถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก มันก็คงจบลงโดยสมบูรณ์
ติงมี่เซียนขอให้มันเป็นแบบนั้น แม้ว่าสวรรค์จะไม่แยแสคำขอของนางเท่าใดนัก...
จ้าวจวิ้นซานเองก็ไม่ได้ปักใจเชื่อว่าจะไม่มีอะไร อย่างไรบุตรชายคนรองของตนตอนนี้ก็กลัวจนจะกลายเป็นคนวิตกจริต และบ่าวของบุตรคนรองทั้งสามตอนนี้เรียกได้ว่าต้องพาไปสวดมนต์บนเขาเพื่อสะเดาะเคราะห์เลยทีเดียว
จ้าวจวิ้นซานไม่เอ่ยอะไรเพิ่มเติมเมื่อจ้าวเซินฝูปั้นหน้านิ่งไม่ตอบคำถามใดๆ หันหลังเดินออกมาจากบริเวณของเรือนเล็ก ผู้คนที่รายล้อมอยู่เมื่อเห็นเจ้านายเดินออกไปแล้วก็รับเดินออกไปเช่นเดียวกัน ไม่มีใครอยากรั้งอยู่ตรงนี้นานนัก
พ่อบ้านหยางที่ยืนอยู่ใกล้จ้าวเซินฝูที่สุด หยิบก้อนเงินออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้จ้าวเซินฝู บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนๆ
"รักษาตัวด้วยคุณชายใหญ่"
จ้าวเซินฝูรับมาก่อนจะค้อมตัวเพื่อขอบคุณเล็กน้อย พ่อบ้านหยางเมื่อวางใจแล้วจึงเดินจากไป
จ้าวซินเหอที่เดินตามจ้าวจวิ้นซานออกไป หันกลับมามองจ้าวเซินฝูที่ยืนอยู่หน้าเรือนเล็ก แม้ว่าในใจจะหวาดกลัวมากเพียงใด แต่ก็คับแค้นใจไม่น้อย
หมายมาดว่าจะต้องหาหลักฐานเอาผิดจ้าวเซินฝูให้ได้
แต่เมื่อหันกลับมาก็ได้พบกับภาพที่น่าสยดสยองสำหรับเด็กอายุเพียงแปดหนาว...
ใบหน้ามอมแมมของจ้าวเซินฝู ไม่มีแววนอบน้อมอย่างเมื่อครู่อีกต่อไป จ้าวซินเหอสบตากับจ้าวซิ่วเทียน และได้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของจ้าวเซินฝูเต็มๆสองตา
จ้าวซินเหอรีบหันหน้ากลับไป และรีบเดินตามจ้าวจวิ้นซานให้ไวขึ้น ไม่คิดจะหันกลับมามองจ้าวเซินฝูอีก
จ้าวซินเหอกำมือแน่น แม้จะหวาดกลัวแค่ไหน แต่ความเจ็บใจมีมากกว่า จากจ้าวเซินฝูที่เป็นฝ่ายถูกรังแก บัดนี้กลายเป็นจ้าวซินเหอแทน
จ้าวซินเหอได้เรียนรู้แล้วว่าจ้าวเซินฝูไม่ใช่หมูในอวยอีกต่อไป หัวเล็กๆของจ้าวซินเหอพยายามคิดหาวิธีที่จะพลิกสถานการณ์ให้ตัวเองกลับมามีอำนาจเหนือกว่าอีกครั้ง
แต่ถ้าหากเทียบกันแล้ว...
ไม่มีวิธีใดเลยที่จะทำให้จ้าวเซินฝูกลับไปเป็นไอ้ขี้แพ้ดั่งวันวาน
...และไม่มีหนทางใดทั้งนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด
ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ ในอนาคตอันใกล้ หรืออนาคตที่ไกลแสนไกลสุดจะหยั่งถึง...
จ้าวเซินฝูจะอยู่ในจุดที่จ้าวซินเหอต้องแหงนหน้ามอง
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ