Share

ตอนที่ 6

Author: TheXang789
last update Last Updated: 2025-09-25 12:14:41

เรื่องราวที่ว่าเรือนเล็กท้ายจวนตระกูลจ้าวมีผี หรือเรื่องที่คุณชายใหญ่ใช้วิชามารนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งจวน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้านำเรื่องพวกนี้ออกไปพูดนอกจวน เพราะกลัวว่าหากคุณชายใหญ่รู้เข้า คงได้มาจัดการตัวเองแน่นอน

ในขณะที่ตัวต้นเร่องอย่างจ้าวเซินฝูนั้น วันนี้ก็ไม่ได้ออกไปไหน แม้แต่กวาดใบไม้หน้าเรือนก็ไม่ทำอาหาร วัตถุดิบที่นำมายังพอมีเหลืออยู่ วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายสำหรับการกักบริเวณ

แต่เรื่องที่จ้าวเซินฝูอยู่แต่ในจวนนั้น บ่าวในจวนเอาไปพูดกันว่าเป็นเพราะจ้าวเซินฝูไม่ได้ทานอาหารแบบมนุษย์ทั่วไป ผู้ที่เรียนวิชามารจะสูบกินเลือดเนื้อ วิญญาณของผู้อื่น เรื่องเหล่านี้ทำให้ที่ผ่านมาไม่มีใครแม้แต่คนเดียวย่างกรายผ่านหน้าบ้าน

แม้จะเดินไปยังสวน หรือห้องครัว ยังยอมเดินอ้อมทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองมาวนเวียนอยู่หน้าเรือนเล็ก

และนั่นเป็นเรื่องที่สร้างประโยชน์ให้จ้าวเซินฝูเป็นอย่างมาก

การรวบรวมพลังปราณเป็นไปได้อย่างราบรื่นเพราะไม่มีใครเข้ามากวน บ่าวในเรือนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเรือนเล็ก จ้าวซินเหอที่เป็นหัวโจกคอยพาบ่าวมากลั่นแกล้งจ้าวเซินฝู ตอนนี้ติงมี่เซียนได้พาขึ้นเขา เข้าวัดเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

แท้จริงแล้วเรื่องที่จ้าวซินเหอเข้าใจผิดนั้น ก็มีประโยชน์ถึงเพียงนี้...

จ้าวเซินฝูโชคดีที่กลับมาครั้งนี้ได้พลังมาด้วย แม้จะได้พลังธาตุกลับมาแค่อย่างเดียว แต่คาดว่าพลังธาตุที่สองจะได้คืนมาในไม่ช้า

"เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว..."

อย่างน้อยพลังนี้ ก็สามารถทำให้จ้าวเซินฝูได้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุข...

อย่างน้อยก็จนกว่าจะได้ออกไปจากที่นี่

"อีกสามปีอย่างนั้นหรือ..."

หากอ้างอิงจากชีวิตก่อน กว่าจ้าวเซินฝูจะได้ออกจากจวนตระกูลจ้าวและเข้าสำนักเจี๋ยเอิน ก็เป็นตอนที่จ้าวเซินฝูอายุได้สิบห้าหนาว

หากรอนานขนาดนั้นเกรงว่าจะไม่ไหว แม้จะไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย แต่การอยู่ในจวนตระกูลจ้าวไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์นักสำหรับจ้าวเซินฝู

"ต้องไวกว่านั้น..."

หากเป็นไปได้ จ้าวเซินฝูอยากจะออกจากจวนแห่งนี้ภายในวันนี้เลยด้วยซ้ำ

"ต้องร่นเวลาขึ้นอีก"

จ้าวเซินฝูคิดหาวิธีการที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก จ้าวเซินฝูในชาตินี้ ต้องการหลุดพ้นจากบารมีตระกูลจ้าวโดยสมบูรณ์แบบ

แต่เมื่อนึกมาถึงตรงนี้แล้ว ก็มีอุปสรรคชิ้นใหญ่ขว้างเอาไว้...

จ้าวเซินฝูในตอนนี้ เรียกได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัว มีเพียงเงินที่พ่อบ้านหยางหยิบยื่นให้เท่านั้นที่เป็นของมีค่า ต่อให้รื้อเรือนหลังนี้ทิ้ง ไม้เก่าผุพังพวกนี้ก็นำไปเผาเป็นฟืนขายไม่ได้ด้วยซ้ำ

เพราะอย่างนั้นสิ่งแรกที่จ้าวเซินฝูจำเป็นต้องมีคือเงิน เมื่อมีเงินแล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นแผนการอะไร ย่อมเป็นไปได้อย่างราบรื่น

"แล้วจะทำอย่างไรดี..."

จ้าวเซินฝูจำได้ว่าในชีวิตก่อนนั้น มารดาของจ้าวเซินฝูเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งเช่นกัน หากเป็นอย่างนั้นคงจะมีสินเดิมติดตัวมาไม่น้อย

แต่สินเดิม และสินสอดของมารดานั้น อยู่ในการดูแลของนางแพศยาอย่างติงมี่เซียนผู้เป็นฮูหยินเอกในตอนนี้ ไม่รู้ว่านางถลุงสมบัติเหล่านั้นจนหมดแล้วหรือยัง

อย่างไรแล้วก็ต้องเอาคืนมา เหลือเท่าไรค่อยวางแผนกันทีหลัง

แต่จะเอาคืนมาได้อย่างไรนี่สิ...

หากจะเอาคืนมาในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากก็จริง ยิ่งตอนนี้ที่ติงมี่เซียนไม่ได้อยู่ที่จวน เรื่องยิ่งง่ายดาย แต่จ้าวเซินฝูไม่เพียงต้องการสมบัติของมารดานั้นกลับมา แต่ยังต้องการแก้แค้นติงมี่เซียนที่เอาสมบัติของมารดาไปเป็นของตัวเองอีกด้วย

และหากไปขโมยสมบัติเหล่านั้นกลับมา สักวันติงมี่เซียนก็ต้องรู้ สุดท้ายเรื่องคงจะไม่พ้นตัว ดังนั้นต้องทำให้ติงมี่เซียนยอมคืนสมบัติเหล่านั้นมาด้วยความเต็มใจ

หรือหากนางไม่เต็มใจ ก็เพียงแค่ต้องให้นางจำใจคืนอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเท่านั้นเอง...

แต่ด้วยวิธีใดล่ะ...

"ทำไมต้องเดินผ่านทางนี้ด้วย เจ้าก็รู้เรื่องนั้นมิใช่หรือ?"

"แต่ทางนี้ใกล้กว่านี่ ตอนนี้ยังสว่างอยู่เลย ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก"

"รีบเดินหน่อยเถอะ ข้าไม่อยากอยู่แถวนี้นานนัก"

เสียงพูดคุยที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นนอกเรือนเล็ก จ้าวเซินฝูเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ เพราะหลายวันแล้วที่ไม่มีใครเดินผ่านเรือนเล็กหลังนี้

นั่นเป็นเพราะเรื่องข่าวลือที่ลือกันไปมั่วๆ ตั้งแต่เรื่องที่จ้าวเซินฝูใช้วิชามาร จนกระทั่งเรื่องที่ว่าอัญเชิญภูติผีมาเป็นบริวารได้

ปากคนมันห้ามไม่ได้ มีอะไรให้พูดก็พูดกันไปเรื่อย

จ้าวเซินฝูลุกขึ้นไปมองตรงหน้าต่างบานเก่า เห็นบ่าวหญิงสองคนเดินถือถาดใส่สำรับสำหรับบ้านใหญ่เดินผ่านหน้าเรือนเล็กไป

"ไร้สาระน่า เรื่องพวกนั้นเพียงแค่ขู่คนในจวนเท่านั้นแหละ"

"เจ้าคิดว่าไม่มีมูลจะมีคนพูดหรือ ฮูหยินใหญ่พาคุณชายและบ่าวของคุณชายไปปัดรังควาญถึงบนเขา เจ้ายังจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระอีกหรือ"

บ่าวหญิงที่ดูท่าทางหวาดกลัว พูดจบก็กวาดตามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง พอดีกับที่หันมาเห็นว่าจ้าวเซินฝูยืนมองอยู่ตรงหน้าต่างบานเก่าพอดี

อันที่จริงจ้าวเซินฝูเพียงแค่ยืนเฉยๆเพื่อรอฟังว่าบ่าวทั้งคู่นั้นจะพูดคุยอะไรกันอีก หลังจากที่ถูกกักบริเวณแล้ว จ้าวเซินฝูไม่ได้ออกไปไหนเลย

และเรื่องที่นางพูดนั้นเกี่ยวกับตัวของจ้าวเซินฝู จ้าวเซินฝูเองก็คาดว่าจะได้รับรู้เรื่องในจวนจากปากของคนที่ไม่ได้ถูกกักบริเวณบ้าง

"นะ นั่น... กรี๊ดด!"

บ่าวที่หันกลับมาเห็นว่าจ้าวเซินฝูยืนดูก็ตกใจร้องลั่นออกมาอย่างหวาดกลัว จ้าวเซินฝูที่ยืนดูอยู่ก็แอบสะดุ้งด้วยเช่นกัน เพราะอยู่ๆนางก็กรีดร้องออกมา

บ่าวอีกคนเมื่อเห็นว่าสหายของนางกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไปก่อนหน้า นางก็ตัวแข็งทื่อแทบก้าวขาไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าหันกลับไปมองที่เรือนเล็กหลังนั้น

จ้าวเซินฝูก็จ้องบ่าวอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่โดยที่ไม่ได้ทำอะไร เพราะเดิมทีแล้วจ้าวเซินฝูไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร เพียงแค่มายืนดูว่าใครเดินมาเท่านั้น

แต่จนแล้วจนรอดบ่าวนางนั้นก็ยืนอยู่ที่เดิมจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป ยังไม่มีวี่แววว่านางจะเดินจากไปแต่อย่างใด

ในเมื่อนางเองไม่ยอมเดินจากไป จ้าวเซินฝูเองก็ยังยืนดูอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อแล้ว นางจึงค่อยๆขยับตัว นางเดินเท้าต่อเท้าอย่างเชื่องช้า เหมือนว่าพยายามที่จะเดินจากไปให้เงียบงันที่สุด

แต่นางเองก็คงหวาดกลัวไม่น้อยเช่นกัน เพราะจ้าวเซินฝูสังเกตเห็นว่ามือที่ถือถาดสำรับของนางสั่นกึกๆไม่หยุด

จ้าวเซินฝูยืนมองจนกระทั่งนางลับสายตาไป เมื่อบ่าวผู้นั้นเลี้ยวเข้าตรงมุมไปแล้ว จ้าวเซินฝูก็ได้ยินเสียงสับฝีเท้าอย่างรวดเร็ว

แม้ท่าทางของนางจะดูน่าขันไม่น้อย แต่จ้าวเซินฝูเองก็ดีใจที่นางไม่ได้เป็นอะไรมากมาย นางคงตกใจกลัวเพราะเสียงกรีดร้องของสหายเท่านั้น

แต่เพราะเหตุการณ์นี้ ทำให้ไม่มีบ่าวคนไหนกล้าเดินผ่านเรือนเล็กหลังจวนอีก...

แต่ก็เพราะเหตุการณ์นี้เช่นกันที่ทำให้จ้าวเซินฝูฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ติงมี่เซียนยอมคืนสมบัติของมารดามาแต่โดยดี...

.

.

.

ติงมี่เซียนพร้อมด้วยบุตรชายและบ่าวเดินทางกลับมายังจวนตระกูลจ้าวหลังจากที่ขึ้นเขาเพื่อไปสวดมนต์ และปัดรังควาญให้บุตรชายของตน

รวมถึงบ่าวทั้งสามคน ตอนนี้สามารถพูดคุยได้บ้างแล้ว เมื่อทุกอย่างดีขึ้นแล้วจึงได้พากันเดินทางกลับมา

แต่เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องพบกับปัญหาใหม่ที่จวน...

"เกิดอะไรขึ้น?"

บรรยากาศของจวนที่ติงมี่เซียนเห็นนั้นย่ำแย่ไม่น้อย ทั้งจวนดูอึมครึม เหล่าบ่าวต่างทำงานกันอย่างหวาดระแวง

เหล่าบ่าวที่ยืนจับกลุ่มกันทำงานอยู่บริเวณหน้าจวนเมื่อเห็นว่าฮูหยินกลับมาแล้วก็ทำความเคารพก่อนจะกล่าวเรียนเรื่องที่ติงมี่เซียนถามเมื่อครู่

"เกิดเรื่องนิดหน่อยเจ้าค่ะ..."

"แล้วเกิดเรื่องอะไร? คนอื่นไปไหนกันหมด เจ้านายกลับมาแล้วเหตุใดจึงไม่มีบ่าวมาต้อนรับ"

ติงมี่เซียนพูดด้วยเสียงที่ออกจะตำหนิเล็กน้อย ระหว่างที่นางเดินทางไปไหว้พระบนเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่

"เรียนฮูหยิน ช่วงนี้ที่จวนไม่ปกตินัก... บ่าวหลายคนพบเจอเหตุการณ์ประหลาด นอนจับไข้ พูดไม่รู้ความ..."

"เหตุการณ์ประหลาด?"

"เจ้าค่ะ... แต่สิ่งที่บ่าวหลายคนพูดตรงกันคือ ผะ ผี... ผีหญิงสาวเจ้าค่ะ"

นางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ติงมี่เซียนรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวจากน้ำเสียงของนาง

"ท่านแม่..."

จ้าวซินเหอเอ่ยเรียกมารดาเสียงแผ่ว

ที่ติงมี่เซียนและจ้าวซินเหอพากันดั้นด้นขึ้นเขาไปสวดมนต์ ก็เพราะหวังว่าจะแคล้วคลาดจากเรื่องพวกนี้ แม้ว่าติงมี่เซียนจะยังไม่เคยเจอด้วยตัวเอง แต่นางรับรู้ได้ว่าความหวาดกลัวของบุตรชายของนางเป็นเรื่องจริง

ก่อนที่ติงมี่เซียนจะได้เอ่ยถามอะไรเพิ่ม พ่อบ้านหยางก็เดินออกมาต้อนรับนางถึงหน้าจวน

"คารวะฮูหยิน"

"พ่อบ้านหยาง เกิดอะไรขึ้น?"

"เรียนฮูหยิน เรื่องนี้นายท่านต้องการคุยกับฮูหยินด้วยตัวเองขอรับ"

"นำไป"

พ่อบ้านพยางค้อมตัวผายมือให้ติงมี่เซียนเดินตามไปที่เรือนรับรอง

หลายวันมานี้จวนตระกูลจ้าวเรียกได้ว่าประสบกับปัญหาภายในอย่างหนัก จ้าวจวิ้นซานรู้สึกเหมือนแก่ลงไปเป็นสิบปี

ทั้งต้องแก้ปัญหาในบ้าน ทั้งต้องดูแลกิจการของตระกูล แม้ว่าจะมีฮูหยินรองทั้งสองคนจะช่วยเหลือได้บ้าง แต่ว่าเมื่อเจอกับปัญหาในบ้านต่างก็ไม่อยากยื่นมือเข้ามายุ่ง

พวกนางเองก็รักตัวกลัวตาย การที่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องที่จัดการไม่ได้แบบนี้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะโดนลูกหลงตอนไหน

"เรียนนายท่าน ฮูหยินกลับมาถึงแล้วขอรับ"

ติงมี่เซียนที่เดินตามหลังมาเห็นสภาพของสามีตอนนี้ก็ตกใจไม่น้อย ก่อนหน้าที่นางจะเดินทางขึ้นเขา สามีของนางยังดูปกติดี

แต่นี่นางเดินทางขึ้นเขาไปเพียงครึ่งเดือน กลับมาต้องเจอกับสภาพจวนที่อึมครึมเหนือความคาดหมายแล้วยังต้องมาเจอกันสภาพที่ดูไม่ได้ของสามีอีก

"ท่านพี่"

ติงมี่เซียนรีบเดินเข้าไปหาจ้าวจวิ้นซานที่นั่งหน้าเครียดอยู่ในเรือนรับรอง

"ฮูหยิน"

"เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?"

"เห้อ..."

จ้าวจวิ้นซานไม่อยากจะเอ่ยปากพูด เพราะก่อนหน้าที่ติงมี่เซียนจะเดินทางขึ้นเขาไปไหว้พระขอพร ปัดรังควาน จ้าวจวิ้นซานยังพูดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ งมงาย กระทั่งได้เจอเอง...

"บ่าวในจวนบอกว่าเห็นผี..."

"เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ?"

"...ข้าเองก็ไม่แน่ใจ"

แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ว่าจ้าวจวิ้นซานเองก็รู้สึกถึงบางอย่างได้เหมือนกัน

ตอนนี้จ้าวจวิ้นซานย้ายออกมานอนที่ห้องรับแขกของจวน เพราะรู้สึกไม่ดีกับห้องนอนที่นอนประจำ จ้าวจวิ้นซานรู้สึกราวกับว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง แม้ว่าติงมี่เซียนจะไม่อยู่

จ้าวจวิ้นซานรู้สึกอึดอัดเมื่อมองไปที่เสื้อคลุมตำแหน่งฮูหยินเอกของภรรยา...

เหมือนว่าเสื้อคลุมตัวนั้นมีบางอย่างผิดปกติ

และจุดที่ทำให้จ้าวจวิ้นซานย้ายออกมาจากห้องนอนของตัวเอง คือเหตุการณ์ที่แขนเสื้อคลุมนั้นขยับ แต่ประตูหน้าต่างทุกบานถูกปิดเอาไว้หมด...

จ้าวจวิ้นซานไม่รอให้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น รีบย้ายมานอนที่ห้องนอนแขกทันที

"อดีตฮูหยิน"

"เจ้าคะ...?"

"ข้าคิดว่าเป็น 'เมิ่งหรูซี' อดีตฮูหยินของข้า..."

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 15

    วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 14

    หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 13

    เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 12

    หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 11

    "เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน

  • ทุกหนี้แค้นล้วนแล้วมีเจ้าของ เล่ม 1 -จวนตระกูลจ้าว-   ตอนที่ 10

    ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status