"วิชามารอย่างนั้นหรือ?"
น้ำเสียงเจือไปด้วยความสงสัย ไม่คล้ายว่าตื่นตระหนกเสียเท่าไหร่ จ้าวจวิ้นซานยังไม่ละสายตาจากจ้าวเซินฝูที่มองมาอย่างไม่เกรงกลัว
บุตรชายคนนี้ ไม่ได้เห็นมานานนัก แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูไม่คล้ายว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชามารอะไรนั่นอย่างที่บุตรชายคนรองกล่าว
"ท่านพี่ อาเหอเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น อาจจะเกิดความเข้าใจผิด"
"หากเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?"
ติงมี่เซียนพยายามจะแก้ต่างให้จ้าวซินเหอ แต่อย่างที่จ้าวจวิ้นซานพูด หากมันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดของเด็กๆ ทำไมฮูหยินใหญ่จึงต้องมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีพ่อบ้านหยางมาอีกด้วย
"แค่คำพูดของเด็ก เจ้าอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่"
เรื่องการใช้วิชามารในยุทธภพนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่ควรพูดสุ่มสี่สุ่มห้ากล่าวหาคนอื่นไปเรื่อยอย่างที่จ้าวซินเหอทำ แต่เป็นเพราะในช่วงที่จ้าวซินเหอกำลังสับสนเกี่ยวกับการใช้พลังของจ้าวเซินฝูนั้น บ่าวผู้หนึ่งได้บอกว่ามันคือวิชามาร ดังนั้นจ้าวซินเหอจึงแตกตื่นว่าสิ่งที่จ้าวเซินฝูใช้นั้นเป็นวิชามาร
ทั้งๆที่คนที่กองกันอยู่หน้าเรือนเล็กนี่เมื่อครู่ ไม่เคยมีใครได้เห็นหรือสัมผัสวิชามารจริงๆสักครั้ง
"กลับเรือนใหญ่ได้แล้ว เสียเวลา"
"ท่านพ่อ"
จ้าวซินเหอเรียกบิดาเสียงหลง ราวกับจะประท้วงเรื่องที่บิดาไม่ยอมจัดการจ้าวเซินฝูตามที่จ้าวซินเหอต้องการ
"กักบริเวณเจ็ดวัน อย่าให้ออกมาสร้างความเดือดร้อน"
คำพูดนั่นไม่ได้บอกแก่จ้าวซินเหอ แต่บอกกับจ้าวเซินฝูที่ยืนอยู่หน้าเรือนเล็กของตัวเอง จ้าวเซินฝูไม่ได้สนใจว่าใครจะพูดอะไร ตั้งหน้าตั้งตากวาดพื้นไปเรื่อยๆ
จ้าวซินเหอแม้ไม่พอใจนักที่บทลงโทษของจ้าวเซินฝูนั้นไม่ได้ต่างจากการบอกว่าให้ชีวิตได้ตามปกติเสียเท่าไหร่ เพราะจ้าวเซินฝูไม่เคยไปเพ่นพ่านที่ไหนอยู่แล้ว
ก่อนที่จ้าวซินเหอจะได้เอ่ยแย้งอะไร จ้าวจวิ้นซานก็เดินจากไปไกลแล้ว จ้าวซินเหอจึงได้ตวัดสายตามุ่งร้ายมามองจ้าวเซินฝูอย่างไม่พอใจ
หากบิดาไม่ลงมือ เช่นนั้นจ้าวซินเหอจึงตัดสินใจจะลงมือด้วยตัวเอง
ตอนนี้จ้าวซินเหอทำได้แค่รีบเดินตามผู้ใหญ่กลับไปด้านหน้าของจวนเท่านั้น แม้ว่าจะรู้สึกโกรธแค้นเพียงใด แต่จ้าวซินเหอคนเดียวก็ลงมือทำอะไรไม่ได้
แต่สิ่งที่จ้าวซินเหอประมาทไป นั่นคือจ้าวเซินฝูไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่รอให้ใครมาบีบอีกแล้ว ต่อให้มีสิบจ้าวซินเหอ ก็ทำอะไรจ้าวเซินฝูในตอนนี้ไม่ได้
เมื่อความวุ่นวายพัดผ่านหายไปกับสายลม จ้าวเซินฝูก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คนเหล่านี้ช่างน่ารำคาญ ขนาดจ้าวเซินฝูตายไปแล้วภพชาติหนึ่งก็ยังหนีไม่พ้น อีกทั้งยังทำตัวมีปัญหาอยู่เหมือนเดิม
เฮี้ยนยิ่งกว่าจ้าวเซินฝูที่ตายไปแล้วครั้งนึงเสียอีก
"ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก"
จ้าวเซินฝูกวาดพื้นจนเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว จ้าวเซินฝูจึงนึกถึงคำพูดของจ้าวจวิ้นซานเมื่อครู่ หากต้องถูกกักบริเวณจริง สิ่งสำคัญคืออาหาร แม้ว่าตลอดเจ็ดวันนี้อาจจะไม่มีใครมาตรวจดูเลยก็ตามที
แต่เตรียมพร้อมไว้ก่อนไม่เสียหาย จ้าวเซินฝูฉวยหยิบตะกร้าเก่าๆที่วางอยู่ตรงกรอบประตูขึ้นมาก่อนจะเดินไปยังโรงครัวที่อยู่ไม่ไกลมากนักเพียงหยิบเสบียง
ตอนนี้ในครัวกำลังเร่งรีบจัดสำรับเย็นของวันนี้ แม่ครัวใหญ่เมื่อเห็นจ้าวเซินฝูเดินเข้ามาก็ตวาดลั่น
"เจ้าตัวโสโครก ใครให้เจ้าเข้ามาในนี้!?"
เนื้อตัวของจ้าวเซินฝูนั้นสกปรก มอมแมมเกินจะเอ่ย กับโรงครัวที่กำลังเตรียมอาหารนั้น แม่ครัวใหญ่เห็นแล้วถึงกับเลือดขึ้นหน้า
หากเศษสิ่งสกปรกที่ติดตัวของมันมาตกลงไปในอาหารจะทำอย่างไร สกปรกยิ่งนัก
"มาลากตัวมันออกไป!"
แม่ครัวใหญ่สั่งบ่าวชายคนหนึ่งให้พาตัวจ้าวเซินฝูออกไปจากห้องครัว แต่จ้าวเซินฝูราวกับว่าไม่สะทกสะท้านอะไร เดินหยิบจับวัตถุดิบ ราวกับกำลังเลือกซื้อของในตลาด
นั่นยิ่งทำให้แม่ครัวใหญ่โกรธมากยิ่งขึ้น มือสกปรกของจ้าวเซินฝูกำลังจับลงวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ทำการปรุงอาหาร
"อย่าเอามือโสโครกของเจ้ามาจับอาหารนะ!"
จบคำหัวหอมลูกใหญ่ในมือจ้าวเซินฝูก็ถูกขว้างออกจากมือด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน ได้เห็นหัวหอมลูกนั้นอีกทีก็ตอนที่แม่ครัวใหญ่ล้มพับลงไปกุมศีรษะอยู่บนพื้น
"หัดหุบปากเสียงบ้าง แหกปากพูดอันใดอยู่ได้ ไม่ได้ความ เป็นแค่บ่าวขึ้นเสียงกับเจ้านายได้หรือ?"
ทั้งห้องครัวในขณะนี้ตกอยู่ในความเงียบงัน นอกจากเสียงของหัวหอมที่กระแทกศีรษะแม่ครัว กับเสียงของจ้าวเซินฝูเมื่อครู่นี้ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมาอีก
ทุกคนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่กำลังตกตะลึงเสียมากกว่า บ่าวไพร่ในจวนทุกคนย่อมรู้ดีว่าจ้าวเซินฝูนั้นเป็นคุณชายคนหนึ่งของบ้าน แต่ก็เป็นคุณชายตกอับ ไม่เป็นที่ต้องการของประมุขตระกูล
ดังนั้นจ้าวเซินฝูที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าว นอกจากจะเป็นที่รองมือรองเท้าระบายอารมณ์ของพี่น้องแล้ว เหล่าบ่าวไพร่เองก็ลงมือรังแกจ้าวเซินฝูเช่นกัน
โดยเฉพาะหัวหน้าแม่ครัว นางถือตนเป็นใหญ่ในครัวนี้ และจ้าวเซินฝูเมื่อมาขออาหารก็จะถูกรังแก ด่าทอสารพัด ก่อนที่จะได้หมั่นโถวแข็งๆลูกหนึ่งกลับไป
อีกทั้งบุตรชายของนางก็เป็นบ่าวของจ้าวซินเหอ คนที่ถูกเรียกว่าเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลอีกด้วย แน่นอนว่าวันนี้บุตรชายของนางก็ลงมือรังแกจ้าวเซินฝูด้วย แต่โดนจ้าวเซินฝูตอบกลับจนหมดท่า
"เจ้ากล้า!"
"ข้ากล้ายิ่งกว่านี้อีก หากยังไม่รู้ความข้าจะกรอกน้ำแกงนี่ใส่ปากเจ้า"
จ้าวเซินฝูเดินดิ่งเข้ามาหาแม่ครัวใหญ่ที่นั่งกุมศีรษะของตัวเองอยู่บนพื้น ก่อนจะฉวยเอากระบวยที่แม่ครัวใหญ่เคี่ยวน้ำแกงอยู่เมื่อครู่ตักน้ำแกงเดือดๆขึ้นมาขู่
ชั่วครู่ที่นางหวาดกลัว จึงได้สงบปาก ปล่อยให้จ้าวเซินฝูเดินเลือกหยิบวัตถุดิบนู่นนั่นนี่ตามใจชอบ โดนที่บ่าวไหร่คนอื่นก็ไม่ได้ออกปากห้ามอะไร
จ้าวเซินฝูเมื่อหยิบวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำอาหารจนเพียงพอสำหรับเจ็ดวันแล้วก็เดินกลับเรือนเล็กของตัวเองอย่างสบายใจ
"น่าเสียดาย ข้าหวังว่าจะได้กรอกน้ำแกงนั่นใส่ปากนางจริงๆนะ"
จ้าวเซินฝูเดินบ่นพึมพำมาจนถึงเรือนเล็ก จัดแจงเก็บวัตถุดิบไว้มุมหนึ่ง แล้วหยิบสำรับเย็นที่ติดมือมาออกมาวางบนพื้น
สำรับเย็นวันนี้เป็นหมูผัดเปรี้ยวหวาน ปลาทอดสามรส เกี๊ยวหมู และน้ำแกงปลา ถือว่าเป็นมื้อที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว แม้ว่านี่จะเป็นเพียงสำรับครึ่งเดียวของคนบ้านใหญ่ก็ตามที และเห็นทีคงจะได้กินแค่มื้อนี้ เพราะอีกเจ็ดวัน จ้าวเซินฝูมากหมายเอาไว้แล้วว่าจะเก็บตัวฝึกวิชาในเรือน
โชคดีที่จ้าวจวิ้นซานนั้นสั่งให้กักบริเวณ ดังนั้นแม้ว่าจ้าวเซินฝูจะอยู่แต่ในเรือนจนครบเจ็ดวันก็ไม่มีใครสงสัย
จ้าวเซินฝูลงมือทานอาหารตรงหน้าอย่างเงียบเชียบกระทั่งอิ่ม จึงเก็บสำรับให้เรียบร้อย เดินไปที่บ่อน้ำหลังบ้าน เพียงล้างจานชามที่ใช้ เพราะยังต้องใช้ในวันถัดไป
จ้าวเซินฝูอยู่ด้วยตัวเอง ไม่มีบ่าวคอยดูแลมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องที่ทำเป็นประจำ แม้ว่าตอนแรกจะเผลอเรียกบ่าวที่เคยรับใช้เมื่อตอนอยู่ที่สำนักออกมาก็ตาม
และเมื่อไม่มีบ่าว ย่อมไม่มีน้ำอุ่นๆให้แช่ ดังนั้นจ้าวเซินฝูที่ทนไม่ไหวกับสภาพมอมแมมของตนเองนั้น จึงเลือกหลบมุมและชำระร่างกายอยู่แถวๆนั้น โชคดีที่มีชุดอื่นให้เปลี่ยน แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูสะอาดขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตาม
จ้าวเซินฝูเดินกลับเข้าเรือนหลังเล็กแล้วหวังจะพักผ่อน เพื่อที่วันพรุ่งนี้จะได้ฝึกวิชาได้อย่างเต็มที่ แต่ก่อนที่จะได้นอนจริงๆก็ได้ยินเสียงแปลกๆที่นอกเรือนเสียก่อน
เสียงฝีเท้าที่ไม่เบานักของคนหลายคนกำลังเดินมาทางเรือนเล็กของจ้าวเซินฝู เมื่อฟังดูได้ยินเสียงซุบซิบก็รับรู้ได้ทันทีว่าผู้มาเยือนคือจ้าวซินเหอและบ่าวกลุ่มเดิมที่มาหาเรื่องเขาเมื่อตอนเย็น
เสียงกระซิบพูดคุยกันของกลุ่มที่เพิ่งมาถึงเบาเสียจนแทบลอยไปกับสายลม แต่ผู้ที่ปลุกพลังแล้วอย่างจ้าวเซินฝูไม่ได้เกินความสามารถที่จะแอบฟัง
"แล้วอย่างไรต่อดีขอรับคุณชายใหญ่?"
จ้าวซินเหอที่ไม่พอใจกับบทลงโทษที่จ้าวจวิ้นซานบอก ตกดึกจึงแอบย่องมาที่เรือนเล็กนี้พร้อมกับบ่าวที่มาด้วยกันเมื่อตอนเย็น แม้ว่าพวกบ่าวที่มาด้วยจะยังหวาดกลัวต่อสิ่งเกิดเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นก็ตาม
"จะดีหรือขอรับคุณชายใหญ่... ข้าว่า..."
"หากเจ้ากลัวนักก็ออกไปจากจวนข้า พาบิดามารดาบ่าวของเจ้าไปด้วย"
จ้าวซินเหอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย กว่าจะลากตัวบ่าวพวกนี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกขี้ขลาดนี่ เพียงแค่โดนจ้าวซิ่วเทียนทุบตีเข้าหน่อยก็พากันหวาดกลัวจนหัวหด หากเป็นอย่างนี้ สักวันมันคงได้มาเหยียบหัวจ้าวซินเหอ
"แล้วจะทำอย่างไรต่อขอรับคุณชายใหญ่? หากมันใช้วิชามารอีกจะทำอย่างไร?"
คนเหล่านี้ยังคงเป็นเด็ก ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นเมื่อปักใจเชื่อแล้วว่าสิ่งที่จ้าวเซินฝูใช้จัดการพวกตนเมื่อตอนเย็นนั้นคือวิชามาร จึงไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด
ไม่เว้นแม้แต่จ้าวซินเหอ เมื่อได้ยินบ่าวคนนั้นพูดขึ้นมาก็ทำหน้าเครียด จ้าวซินเหอเพียงต้องการเอาคืนจ้าวเซินฝูเท่านั้น แต่จนมาถึงจวนของจ้าวเซินฝูแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
แต่เจ้าถิ่นอย่างจ้าวเซินฝูเองก็ง่วงเสียจนไม่อยากรอแล้ว
"มีธุระอันใดจึงมาที่นี่ยามนี้?"
กลุ่มเด็กน้อยที่ยืนเอาหัวชนกันไม่ทันได้สังเกตเห็นจ้าวเซินฝูที่เดินเข้ามาใกล้กระทั่งได้ยินเสียงของจ้าวเซินฝูพูดข้างหู
ทันทีที่ได้ยินเสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ กลุ่มของจ้าวซินเหอที่เอาหัวจุ่มกันก็แตกกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง โดยเฉพาะจ้าวซินเหอที่สับเท้าแตกไปก่อนใคร ทิ้งให้บ่าวทั้งสามคนรอรับชะตากรรมจากมัจจุราชอย่างจ้าวเซินฝู
เมื่อจ้าวซินเหอวิ่งหนีไปแล้ว คนที่เหลือทำหน้าตาเลิ่กลั่กมองกันสลับไปมา
"คุณชายเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าไม่ไปหรือ?"
จ้าวเซินฝูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขบขัน เด็กพวกนี้มันอะไรกัน เพียงแค่ได้ยินเสียงของจ้าวเซินฝูก็กลัวเสียจนหัวหด
จ้าวเซินฝูไม่สนใจบ่าวของจ้าวซินเหอที่นั่งกองกันอยู่บนพื้น หันหลังแล้วคิดจะเดินกลับเข้าเรือนเล็กเพื่อพักผ่อน
แต่หนึ่งในบ่าวของจ้าวซินเหอเกิดใจกล้า คว้าเอาก้อนหินก้อนไม่เล็กไม่ใหญ่แถวนั้นเอาไว้ในมือเสียมั่น และเมื่อได้โอกาสตอนที่จ้าวเซินฝูนั้นหันหลังให้ขว้างก้อนหินออกไป หวังจะทำให้จ้าวเซินฝูได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อยหากจ้าวเซินฝูนั้นบาดเจ็บจริง ก็คงจะทำให้คุณชายของพวกตนพึงพอใจได้บ้าง
ก้อนหินก้อนนั้นถูกขว้างออกไปเต็มแรงเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ บ่าวคนนั้นลอบยิ้มอย่างสะใจเมื่อจ้าวเซินฝูไม่มีวี่แววว่าจะหลบมันเลยแม้แต่น้อย
แต่เพียงวินาทีก่อมาก็ต้องหุบยิ้ม เบิกตามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
ก้อนหินก้อนนั้นหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ราวกับถูกบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นจับเอาไว้ จ้าวเซินฝูหันหน้ากลับมามอง บ่าวพวกนั้นเกิดท่าทีสั่นกลัวขึ้นมา
"ฝีมือของผู้ใด?"
ก้อนหินที่ถูกขว้างออกไปเมื่อครู่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ยิ่งทำให้บ่าวทั้งสามของจ้าวซินเหอสั่นกลัวจนแทบปล่อยเบา
บ่าวอีกสองคนชี้ไม้ชีมือไปยังบ่าวที่เป็นตัวต้นเรื่อง
"เป็นเจ้างั้นหรือ?"
"มะ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ข้า"
จ้าวเซินฝูหมุนนิ้วช้าๆ ก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศเคลื่อนที่ตามพลังที่จ้าวเซินฝูบังคับ บ่าวทั้งสามคนค่อยๆคลานหนีอย่างลนลาน
ในตอนนั้นที่บ่าวทั้งสามรู้สึกว่าคิดผิดมหันต์ที่ยอมตามจ้าวซินเหอมา แม้ว่าจ้าวซินเหอจะเป็นเจ้านาย และอย่างไรก็คงไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ก็ตาม
"เช่นนั้นก็แบ่งๆกันรับโทษดีหรือไม่?"
จ้าวเซินฝูฉีกยิ้มหวานไม่ถึงดวงตา แม้ว่าน้ำเสียงและท่าทางนั้นดูเหมือนจะไม่เอาความ แต่ว่าบ่าวของจ้าวซินเหอทั้งสามคนนั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น
ก้อนหินที่ถูกขว้างไปเมื่อครู่ ตกลงบนพื้นราวกับมือที่มองไม่เห็นนั้นปล่อยมันทิ้งอย่างไม่แยแส จ้าวเซินฝูย่างสามขุมเข้ามาใกล้ พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มนั่นยิ่งทำเอาบ่าวทั้งสามขวัญผวา
"ดะ ได้โปรด..."
"ไว้ชีวิตข้า..อ่ะ..อ๊ากกก"
จ้าวเซินฝูสะบัดมือเบาๆเพียงครั้งเดียวสายลมรอบด้านก็เคลื่อนไหวอย่างผิดวิถีที่ควรเป็น ตามที่จ้าวเซินฝูเป็นคนบังคับมัน
แต่กับบ่าวของจ้าวซินเหอทั้งสามคนนั้น ราวกับว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเสียแล้ว
สายลมห้อมล้อมตัวของบ่าวทั้งสามลอยขึ้นเหนือพื้น คนทั้งสามดิ้นขลุกขลักเพื่อหาทางหนี แต่การกระทำเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล แรงของเด็กธรรมดาที่ยังไม่ปลุกพลังอะไรไม่สามารถเอาชนะผู้ที่ปลุกพลังแล้ว อีกทั้งยังใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สองแบบจ้าวเซินฝูได้หรอก
"เอาล่ะ..."
ร่างของบ่าวทั้งสามถูกจับลอยกลางอากาศห้อยหัว ทั้งสามคนพยายามดีดดิ้นหวังหลุดออกจากการกอบกุมของสิ่งที่มองไม่เห็น ครั้นจะตะโกนขอความช่วยเหลือก็ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ว่าจะตะโกนเท่าไหร่ ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย
"ข้าควรจัดการพวกเจ้าอย่างไรดีนะ..."
.
.
.
จวนตระกูลจ้าวคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้ามืด เพราะบ่าวไพร่ทั้งหลายต้องตื่นขึ้นมาตระเตรียมอาหาร น้ำอุ่นๆสำหรับให้เจ้านายได้ชำระร่างกาย
เหล่าบ่าวตัวจิ๋วก็มีหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน ต้องช่วยบิดามารดาหยิบจับเล็กๆน้อยๆก่อนจะแยกย้ายกันไปทำกิจวัตรของตัวเอง แต่ว่าวันนี้มีบางสิ่งที่ผิดแปลกไป
บ่าวทั้งสามของคุณชายใหญ่ยังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ยอมลุก บ่าวรุ่นเดียวกันหลายคนรู้สึกไม่ชอบบ่าวกลุ่มนี้นัก เพราะเป็นบ่าวของคุณชายใหญ่ จึงชอบวางก้ามมีอำนาจกับบ่าวคนอื่นๆ คอยรังแกบ่าวด้วยกันอยู่เสมอๆ
"เจ้าไปเรียกสามคนนั้นหน่อยเถิด สายแล้ว จะนอนกินแรงผู้อื่นไปถึงเมื่อใด?"
บ่าวพี่ใหญ่คนหนึ่งเอ่ยบอก บ่าวที่เหลือแทบจะโบ้ยให้คนนั้นคนนี้เข้าไปปลุกทั้งสามคนนั้นแทน และก็ได้ผู้โชคร้ายคนหนึ่งที่เป็นบ่าวอายุน้อยสุดในที่นั้น บ่าวตัวเล็กเดินเข้าไปปลุกทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว
"ซ่างเกอ อี้เกอ หานเกอ ตื่นเถิดขอรับ"
เจ้าของชื่อทั้งสามไม่แม้แต่จะตอบ แต่ร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้นคงจะตื่นแล้ว เพราะเห็นว่าผ้าห่มที่คลุมตัวคนทั้งสามอยู่นั้นขยับมากกว่าที่จะเป็นการนอนปกติ
"ลุกเถอะขอรับ หมิงเกอให้มาเรียกแล้ว"
บ่าวตัวน้อยยังพยายามเรียกต่อ แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนทั้งสามแม้แต่ครึ่งคำ กระทั่งบ่าวพี่ใหญ่ที่ออกคำสั่งนั้นเดินวนกลับมาแล้ว เห็นว่าทั้งสามคนยังนอนไม่สนใจ แม้ว่าบ่าวน้องเล็กจะทำใจกล้าเอื้อมมือไปเขย่าตัวแล้วก็ตาม
เห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง บ่าวพี่ใหญ่บอกให้บ่าวน้องเล็กหลบไป เมื่อเดินเข้าไปถึงตัวทั้งสามแล้วก็กระชากผ้าห่มที่คลุมร่างทั้งสามคนออกด้วยความหงุดหงิด
"คิดจะนอนอู้ไปถึงเมื่อไหร่? รีบลุกแล้วไปเตรียมของให้คุณชายได้แล้ว"
ทั้งสามคนนอนเบียดกันจนแทบจะเป็นก้อนเดียวกัน บ่าวพี่ใหญ่เห็นว่าทั้งสามไม่สะทกสะท้านก็ยิ่งโมโห เอื้อมมือไปจับไหล่คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวแล้วกระชากให้หันมามอง
สัมผัสแรกที่มือแตะลงบนไหล่คือบ่าวคนนั้นสะดุ้งโหยงราวกับตกอกตกใจนักหนา ต่อมาคืออุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนผิดปกติ และอย่างสุดท้ายคือใบหน้าที่หวาดกลัวอย่างสุดหัวใจ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้บ่าวพี่ใหญ่นั้นตกใจได้มากแล้ว
ยิ่งได้เห็นสภาพของทั้งสามคน ทำให้ความหงุดหงิดเมื่อครู่ลอยหายไปทันที กลายเป็นความตกใจแทน รวมถึงบ่าวที่ยังยืนอยู่ไม่ไกลอีกด้วย
"หมะ หมิง หมิงเกอ...อึก ช่วย..."
"พวกเจ้า..."
วันนี้ตระกูลจ้าวยังเงียบสงัดเช่นเดิมเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานจนกระทั่งเต็มแผ่นฟ้า จวนตระกูลจ้าวจุดไฟสว่างไสวแต่กับไร้ผู้คนเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็น จ้าวจวิ้นซานขุ่นเคืองเสียจนไม่รับสำรับพร้อมกับติงมี่เซียน กระทั่งบุตรชายของนางเองก็ยังมีข้ออ้างเพื่อที่จะอยู่ให้ไกลจากนางจ้าวจวิ้นซานไปนอนที่เรือนของฮูหยินรองตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้ ส่วนฮูหยินเอกอย่างติงมี่เซียนในตอนนี้ ก็ต้องกลับมานอนที่เรือนใหญ่คนเดียว เพราะเรือนรับรองนั้นยังไม่ได้ซ่อมแซมแม้ว่าในช่วงเย็นจะมีบ่าวใจกล้าสามสี่คนมาจัดการเรื่องต่างๆให้ติงมี่เซียน แต่เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีก็รีบกลับเรือนบ่าวไปโดยไม่ลาเท่ากับว่าในตอนนี้ติงมี่เซียนอยู่ที่เรือนใหญ่นี่เพียงคนเดียวติงมี่เซียนอยู่ในชุดผ้าสีขาวพร้อมนอน แต่สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวงสายตาของนางจ้องเขม็งไปยังราวไม้ว่างเปล่า เดิมทีมันเป็นราวไม้สำหรับแขวนเสื้อคลุมประจำตำแหน่งฮูหยินเอกที่ถูกเผาทำลายไปตอนนี้มันเป็นเพียงราวไม้ว่างเปล่า แต่กลับดูน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกินหากยังเป็นเช่นนี้ ราตรีนี้นางคงไม่อาจข่มตาหลับได้...ติงมี่เซียนรีบคิดหาทางรอดอย่
หลังจากที่ลงทะเบียนบ่าวกับทางการแล้ว จ้าวเซินฝูก็พาบ่าวทั้งคู่ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปง่ายๆคนละห้าชุด ก่อนจะพากันกลับจวนเงินค่าตัวบ่าวนั้นมอบให้กับทั้งสองคนอย่างเท่าเทียม และมีสัญญาบ่าวเป็นเวลาห้าปีเนื่องจากทั้งเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งนั้นไม่มีบิดามารดา หรือผู้ดูแลอะไรเลย เงินที่ทั้งสองคนได้จึงเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องรับใช้จ้าวเซินฝูให้ครบห้าปีเสียก่อนจึงจะไถ่ถอนตัวเองได้ โดยมีพันธะสัญญานายบ่าวที่จัดการโดยทางการเย็นย่ำแล้ว หวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูจึงได้พากันกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวในตอนนี้คนตระกูลจ้าวมีสีหน้าที่เหนื่อยล้าไม่น้อย เพราะทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นก่อนตะวันตกดิน และทุกอย่างเพิ่งจะเสร็จสิ้นก่อนที่จ้าวซิ่วเทียนจะกลับมาไม่ถึงสองเค่อจ้าวจวิ้นซานเมื่อเห็นว่าหวังซิ่นเจียและจ้าวเซินฝูกลับมาก็รีบเดินเข้ามาหา"หวังไต้ซือ""ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือประมุขจ้าว""ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ""เช่นนั้นหรือ..."จ้าวจวิ้นซานแม้จะพูดแบบนั้น แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าสมบัติที่ติงมี่เซียนเก็บเอาไว้นั้น ได้เอาไปคืนที่เรือนจันทร์เสี้ยวจนครบทุกอย่างแล้วหรือยัง"นางกล่าวว่ายังมี
เช้าวันถัดมาหวังซิ่นเจียเดินมาหาจ้าวเซินฝูที่เรือนเล็กพร้อมกับพ่อบ้านหยางในตอนนี้พ่อบ้านหยางเป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝูแล้ว เหมือนว่าพ่อบ้านหยางจะดูยิ้มแย้มขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องไหน ระหว่างได้เป็นบ่าวส่วนตัวของจ้าวเซินฝู หรือได้ปลดภาระจากการเป็นพ่อบ้านของตระกูลจ้าว"วันนี้ข้าจะพาไปเลือกบ่าวคนใหม่"จ้าวเซินฝูเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกมา แต่ดูเหมือนว่าหวังซิ่นเจียจะไม่ค่อยพึงพอใจนัก และสิ่งที่ทำให้หวังซิ่นเจียดูไม่พึงพอใจคือชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่"แน่ใจนะว่าจะไปหาบ่าวเพิ่ม ไม่ใช่ไปขายตัวเป็นบ่าว"ตอนนี้ชุดที่จ้าวเซินฝูสวมใส่ราวกับผ้าขี้ริ้วก็ไม่ปาน หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าหวังซิ่นเจียคงไม่กล้าเดินใกล้แม้ว่าชุดของหวังซิ่นเจียจะดูเก่า แต่มันก็มีราคา ที่สำคัญมันดูเก่าเพราะต้องระหกระเหินไปนู่นมานี่ต่างหาก หากใส่ชุดดีๆเกรงว่าชุดจะหม่นหมอง"เป็นถึงคุณชายใหญ่ ไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้หรือ"จ้าวเซินฝูได้แต่ทำหน้าแหยๆออกมาตั้งแต่เติบโตมาเสื้อผ้าที่จะมีใส่ก็มีเพียงชุดของบ่าวไพร่ที่เอามาทิ้งเท่านั้น อีกทั้งสองตัวนี้ยังใส่มานานแล้วด้วย"เป็นข้าที่สะเพร่าเอง พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้
หวังซิ่นเจียถ่ายทอดเรื่องที่อดีตฮูหยินอย่างเมิ่งหรูซีต้องการออกมาเป็นข้อๆอย่างแรกที่นางต้องการย่อมไม่พ้นตำแหน่งคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวที่ควรเป็นของจ้าวเซินฝูบุตรของนางตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาเป็นติงมี่เซียนต้องการตำแหน่งนั้นให้กับบุตรชายของตนเอง และจ้าวจวิ้นซานไม่ได้โต้แย้งอะไรหวังซิ่นเจียกล่าวว่า นางคิดว่าจ้าวซินเหอหลงระเริงกับตำแหน่งนั้นมานานเกินพอแล้ว จ้าวซินเหอควรรู้ฐานะของตนแม้ว่าเมื่อพูดเรื่องแรกขึ้นมาแล้ว ลูกหนี้ความแค้นของจ้าวเซินฝูจะทำหน้าเหมือนไม่อยากจะยอมรับมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในประการแรกที่เมิ่งหรูซีร้องขอมา จ้าวจวิ้นซานจึงตอบตกลงติงมี่เซียนมีสีหน้าที่ไม่น่าดูนัก อย่างไรการที่ลดตำแหน่งของจ้าวซินเหอนั้น นางมีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่าจะเป็นตัวจ้าวซินเหอเองที่ต้องทนอยู่กับฐานะที่เป็นรอง อีกทั้งคนภายนอกอาจจะมองว่าที่ผ่านมา เป็นจ้าวซินเหอที่ใฝ่สูง อยากเป็นคุณชายใหญ่ก็ได้แล้วไหนจะตัวนางที่เป็นฮูหยินอยู่ในตอนนี้...สายตาเหยียดหยามจากคนอื่นคงทิ่มแทงจนนางแทบจะเป็นรูแต่เมื่อจ้าวจวิ้นซานนั้นรับปากไปแล้ว นางย่อมทำอะไรไม่ได้"สมบัติของอดีตฮูหยิน... โปรดมอบคืนให้กับคุณชายใหญ่ด้วย"แ
"เจ้าว่าอย่างไรนะ""คะ คุณชายผู้นี้ กล่าวว่าเห็นวิญญาณขอรับ"จ้าวจวิ้นซานแทบจะสั่งโบยบ่าวตรงหน้าให้ตายเสีย ในยามนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลจ้าวกำลังประสบปัญหาอะไร เชิญคนแปลกหน้าเข้ามาในจวนสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้งนี้ก็คงจะเป็นพวกต้มตุ๋นเหมือนคนก่อนๆ"ขออภัยด้วยคุณชาย เกรงว่าตอนนี้ที่จวนไม่เหมาะจะรับแขก"เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมา ในตอนนี้จวนตระกูลจ้าวจึงมีปัญหามากมายรอการแก้ไข อีกทั้งเรื่องเรือนรับรองที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อคืน ยังไม่สามารถหาช่างมาซ่อมแซมได้ด้วยเรื่องข่าวลือที่ว่าจวนตระกูลจ้าวมีวัญญาณร้ายสิงสู่ ทำให้ไม่มีใครอยากรับงาน ไม่ว่าจ้าวจวิ้นซานจะเสนอราคาที่สูงแค่ไหนก็ตาม"เอาเถอะ หากนายท่านจ้าวกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่บังคับ"จ้าวจวิ้นซานยกมือนวดขมับเบาๆ ข้างๆมีติงมี่เซียนนั่งทำท่าขบคิดอยู่ไม่ห่างกาย"แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง..."เมื่อชายแปลกหน้าผู้นั้นพูดขึ้นมา จ้าวจวิ้นซาน ติงมี่เซียน หรือคนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หยุดฟัง พวกเขาแทบไม่กล้าหายใจดังด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะพลาดใจความสำคัญไป"ครั้งหน้า... นางคงไม่ยอมจบแค่เสื้อคลุมประจำตำแหน่ง และเรือนรับรองแน่ ที่นางกล่าวมีเพียงเท่าน
ช่วงเวลาที่ไม่น่าอภิรมย์มากที่สุดของตระกูลจ้าว คือเมื่อยามที่ตะวันลับขอบฟ้า...ช่วงเวลาที่แสนน่าหวาดหวั่นของคนที่อยู่ในจวนตระกูลจ้าวทั้งเจ้านายและบ่าวไพร่มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว เรือนรับรองถูกใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนของคนในตระกูลนี้แต่ถึงอย่างนั้น ทุกๆคืนก็ยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิวอยู่ด้านนอก เรือนรับรองนั้นแม้ในยามที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ ด้านนอกก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่เดินรอบเรือนครั้งหนึ่งเคยให้บ่าวพากันออกไปดูว่าใครเป็นคนเดิน แต่เมื่อออกไปดูก็พบเพียงความว่างเปล่า สายลมกรรโชกแรง พัดพายอดไม้สูงเอนไหวตามลมเป็นภาพที่น่าขนลุกหลังจากนั้นแม้จะมีเสียงเดินรอบเรือนรับรอง หรือเสียงขูดเล็บกับบานหน้าต่าง กระทั่งเสียงเดินบนหลังคาเรือนรับรองก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูแต่คืนนี้ จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว การกลั่นแกล้งทั้งหมดจะจบลงในคืนนี้ดังนั้นจ้าวซิ่วเทียนจึงคาดหวังให้มันเป็นคืนที่จะฝังอยู่ในใจของผู้พบเจอไปจนตาย..."จงอยู่กับความหวาดกลัวไปชั่วชีวิตเสียเถอะ"เสียงแผ่วเบาพัดหายไปกับสายลมแรง จ้าวเซินฝูคับแค้นเสียจนต้องเอ่ยปากกับตัวเอง เกรงว่าหากไม่ได้ระบายออกมาเสียหน่อยคงจะอกแตกตายเรื่องที่ว่าจะให้ยกโทษ