เจียลี่ไม่ได้โกหกแม้สักคำเดียว องุ่นสดและผลไม้อีกหลายชนิดจะต้องซื้อจากตลาดแต่รุ่งเช้า ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ลี่จิ่นไม่ใช่คนขยัน ไม่ตื่นแต่เช้า บางค่ำคืนก็เมาสุรา อุดอู้บนฟูกนอนจนสายโด่ง
หวังเฟยรู้มานานแล้วว่าหลานสาวคนเล็กสกุลเยี่ย เป็นแรงงานสำคัญ เจียลี่ทำงานตัวเป็นเกลียวราวกับผู้ยากไร้ไม่เคยพบเห็นเงินมาก่อนในชีวิตของนาง จึงได้รับค่าจ้างมากที่สุด สุรากลั่นชั้นดีในมือของเขานี้ยังไม่พบในแคว้นฉิน เพียงเปิดขวดก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วถึง เขาทั้งดื่มดมมันอย่างสำราญใจ นึกถึงบรรดามิตรสหายจะต้องชอบพอสุราขวดนี้อย่างแน่นอน “เหล้าซีเฟิ้งเป็นสุราที่ดีที่สุด สุราเลื่องชื่อชนิดนี้ หาใช่ว่าจะมีโอกาสดื่มกินมันง่าย ๆ เป็นสุราสำหรับชนชั้นสูง คนร่ำรวยนำมันมาจากแคว้นจ้าว การเดินทางด้วยรถม้าใช้ระยะเวลาร่วมเดือน มันมีราคาสูงมากในตลาด” นางไปได้มาอย่างไร เป็นคำถามของเขาเสียมากกว่านางเอาอกเอาใจเขาด้วยเหตุใด หวังเฟยหันไปปรึกษาบ่าวที่เข้ามาส่งสุราขวดใหม่ สภาพห้องของเขาแลดูเรียบร้อยดี ผิดจากก่อนหน้าที่นางจะมาดูแลเขา “แม่นางเป็นผู้มีหน้าตามีตลาด ใครต่างก็รู้จักนาง ข้าคิดว่าคงไม่ยากสำหรับนางขอรับนายท่าน” “อืม ข้าก็ว่าเป็นเจียลี่ หาใช่ท่านอาหญิงของนาง” ลี่จิ่นมีเงินใช้สอยสมฐานะ ทว่าไม่มากมายเท่าเจียลี่ จะมีเพียงวันสำคัญนางจึงได้รับเงินถุงจากผู้ใหญ่ วันนี้หวังเฟยได้บ่าวรับใช้มาใหม่สองคน ตอนออกไปโรงงานถลุงแร่โลหะ เขาให้คนไปสืบเรื่องของสกุลเยี่ย ได้ข่าวว่าลี่จิ่นไปท่องเที่ยวในอีกแคว้นแดนไกลกับบ่าวรับใช้สตรีและคุณชายสาม คงใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร อาจร่วมสองเดือน ไม่มีทางที่นางจะทำอาหารให้เขาแน่ ในหัวของเขาเฝ้าคิดวนเวียนแต่เรื่องของเจียลี่ ไม่รู้ด้วยเหตุใด กระทั่งนางกลับมาอีกครั้งหนึ่งในช่วงพลบค่ำ นางเข้ามาตรวจตราเรื่องฟืนไฟ ดูว่าท่านอาเมาสุราจนพูดจาไม่รู้เรื่องหรือไม่ นางมาเก็บตะกร้าอาหารของนางกลับบ้าน “เจ้าทำอาหารพวกนั้นให้ข้า ทุกอย่าง เป็นฝีมือเจ้า... ทำไปเพื่ออะไร?” นับได้ถึงสี่หรือว่าห้าเดือนทีเดียว หากเขาจำไม่ผิดไป อยู่มาวันหนึ่งลี่จิ่นนำอาหารมาให้เขาผู้ไม่รู้มาก่อนว่านางทำอาหารเป็น ทีแรกเขาก็คิดว่านางไปซื้อมาจนนางเอ่ยว่านางทำเอง “ท่านอาหญิงมาขอความช่วยเหลือจากข้า เป็นแม่ครัวทำอาหารให้คนในบ้านอยู่แล้ว ข้าเลยใส่ตะกร้าไว้อีกสำรับหนึ่ง” ถึงแม้ว่าเจียลี่จะส่งอาหารกลับคืนมามื้อเดียว ท่านอาจำเต้าหู้อ่อนผัดผักไม่เค็มจนเกินไปได้ นางตุ๋นไข่ อบไก่ได้นุ่มพอดี ในตลาดร้านค้าไม่มีรสชาติเช่นนี้ “ข้ากินอาหารฝีมือเจ้ามานาน ทำไมข้าจะจำรสชาติของมันไม่ได้” ในน้ำเสียงขมขื่นระทมทุกข์ เจียลี่ไม่กล้าตอบคำถามท่านอาเขย นางพิจารณาใบหน้าดุดันก้มลงมองนาง ข่มขู่นางด้วยแววตาซึ่งหรี่เล็กลงจนเหยียดตรง “เจ้าไม่พูดความจริง อย่าบอกข้านะว่า...” เจียลี่ปิดตาลง ห่อไหล่ทำตัวลีบเล็ก “เพื่อทดแทนบุญคุณ” นางเบิกตากว้างตกใจ โล่งใจในคราวเดียว เมื่อความลับของนางมิได้ถูกเปิดโปงไปเสียตอนนี้ นางคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “เจ้าค่ะ ท่านอาเป็นผู้มีพระคุณของเจียลี่ มิอาจลืมท่านผู้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้” “อืม... จริงของเจ้า หลายครั้งแล้วที่ข้าเคยช่วยเหลือเจ้า ครอบครัวของเจ้า” “ข้าไม่เคยลืมบุญคุณท่านแม้สักวัน ข้าเฝ้ารอวันที่จะได้ตอบแทนท่าน” ครั้งหนึ่งนางถูกเด็กชายร่างอวบอ้วน ปะปนไปกับกลุ่มวัยรุ่นในละแวกตลาดรังแก พวกเขาขัดขานาง ผูกขานางไว้กับต้นไม้ ร้องเพลงประหลาด หัวเราะเย้ยหยันนาง ดูแคลนนางว่าเป็นสตรีพิการขาเป๋ คืนนั้นเกิดการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง โดยไม่มีใครคาดคิด เมื่อเด็กกลุ่มนั้นจากไป นางไม่สามารถแก้มัดเชือกได้ หากโชคชะตายังเข้าข้างนาง ไม่มีผู้ใดได้พบนาง จนท่านอาหวังผ่านมาพอดี อีกครั้งหนึ่งตอนที่มารดาของนางและนางไปเป็นธุระนำเกวียนผ้าเข้าเมือง กลุ่มโจรบุกรุกมาโดยมิใช่เรื่องบังเอิญ ผ้าเหล่านั้นเป็นของขุนนางระดับสูง รวมทั้งกุ้ยเฟย เครื่องประดับล้ำค่าเป็นสมบัติในท้องพระคลัง ล้วนมีมูลค่ามหาศาล ท่านอาหวังมาเยี่ยมเยียนบ้านของนาง มาหาท่านอาหญิงเป็นประจำ เขาจึงให้ความช่วยเหลือสกุลเยี่ยได้ทันท่วงที เป็นเรื่องดีกับทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้ได้รับความช่วยเหลือ หวังเฟยได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบ ได้เป็นผู้ตรวจการสินค้าในราชสำนัก เพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง นอกเหนือจากการเป็นผู้ควบคุมโรงแร่โลหะ “บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ” เจียลี่วางไหสุราใบใหม่บรรจุเหล้ากลั่นจนล้นเต็มถึงปากขวด บนโต๊ะข้างฟูกนอน นางรินใส่ถ้วยใบเล็กของนาง ถือโอกาสยกสุราขึ้นดื่มจอกหนึ่ง “ก็ดี... ในเมื่อท่านอาหญิงตัดสินใจไปจากท่าน ข้าไม่มีวันยอมให้นางกลับมาหลอกลวงท่านอาอีก ข้าจะมาทำหน้าที่ของข้าด้วยตนเอง นางจะไม่มีโอกาสได้ขโมยสิ่งใดไปจากข้า แอบอ้างฝีมือข้าอีกแม้แต่อย่างเดียว” ในที่สุดนางก็สารภาพออกมาอย่างกล้าหาญ ร่างบางในอาภรณ์สีหวานแลดูสดใสราวกับว่านางเป็นหญิงสาวผู้มากับฤดูใบไม้ผลิ ปรากฏรอยยิ้มจริงใจให้ท่านอาผู้มีหน้าตาบึ้งตึงอยู่ตลอด“ท่านว่าบ้านเมืองแตกแยกวุ่นวาย มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ? ท่านอาพอจะบอกสตรีอย่างข้าได้หรือไม่ เผื่อว่าข้าอาจหาทางเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน”“บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ แตกแยกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ราชวงศ์ไม่สามารถปกครองบ้านเมือง ราชสำนักก็อ่อนแอ ผู้ครองแคว้นไร้ซึ่งคุณธรรม ข้าควรได้อยู่กับเจ้า เป็นตายร้ายดี ขอให้ได้ฝังศพข้างเคียงกัน”“ข้าก็อยากอยู่กับท่านอาเจ้าค่ะ แม้ข้าจะเป็นหญิงต่ำต้อย ขาพิการ...”“เจ้ามีความคิดเช่นนั้นก็คงไม่แปลก พวกชั่วช้าคอยกรอกหูเจ้า รังแกเจ้าแต่เล็กจนโต ข้าเองก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเจ้ามากนัก หากว่าข้าไม่ผ่านมาพบเจ้า”ต่อจากไปนี้จะไม่มี...หวังเฟยไม่ได้กล่าวคำนั้นกับนาง เพียงตั้งใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะเฝ้าติดตามหญิงสาวข้อเท้าไม่ดีผู้นี้ไปเรื่อย ๆ ที่ใดมีเขา ก็มีนาง จนกว่าชีวิตจะหาไม่--------------------------หญิงร่างผอมบางเนื้อตัวมอมแมม นั่งโงนเงนบนหลังอานม้า นางบ่นพึมพำว่านางรอดตายแล้ว นางรู้สึกเหมือนกำลังนอนเล่นในเปลแกว่งไกวไปมาใต้ลมเยียบเย็นที่ลูบแก้มนางอย่างอ่อนโยน ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไป หวังเฟยเฝ้ามองนางงีบหลับในอ้อมแขน น่าเอ็นดูนัก เขาลักลอบจูบแก้มนาง ขมับนาง บังคับม
“อยู่เล่นกับพวกข้าก่อน วันนี้ข้าไม่ได้เอาขี้วัวมาทาเจ้า ข้ารับปากว่าจะไม่ฝังหญิงพิการขาเสียไว้ในกับดักสัตว์ ให้เจ้าเน่าตายในหลุม ข้ามีของเล่นที่น่าสนใจกว่า...”“เป็นผู้ดีมีสกุลแท้ ๆ ไยพวกเจ้าไม่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดีได้” นางต่อว่าด้วยท่าทีก้าวร้าว พวกเขากลับหัวเราะเป็นเรื่องสนุก เด็กชายวัยสิบสามนับว่าตัวโตมากพอมีความคิดสรรหาวิธีรังแกนาง แถมมากันถึงแปดคน ล้อมรอบนางไม่ให้นางหนี เหลียงฟางซินได้เหล็กปลายแหลมมาหนึ่งอัน หยิบออกมาจากชายเสื้อที่ซุกซ่อนไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“เจียลี่... วันนี้ข้าได้ลักลอบดูตำราเพศสตรี เพียงไม่เคยพบเห็นของจริง หอนางโลมข้าก็ยังเข้าไม่ได้ ท่านพ่อไม่ให้ข้าไปแน่ เจ้าคงไม่ใช่สตรีเหนียมอายใช่ไหม? ข้าล่ะนึกอยากรู้ว่าหญิงพิการจะมีรูเล็ก ๆ นั่นหรือไม่”สิ้นเสียงหัวเราะร่าเริง เด็กชายสองคนพลันล้มไปต่อหน้าต่อตา ชายเสื้อสีขาวสะอาดของผู้ดีร่างอวบถูกลากไปกับพื้นดิน แท่งเหล็กแหลมกระเด็นจากมือของเหลียงฟางซินไปอยู่ใต้เกือกอาชาสีน้ำตาล ตัวเขาก็ถูกลากไปกับเกือกม้านั้นด้วยชายร่างกำยำควบม้าถีบหน้าพวกเขาไม่สนว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เด็กชายอันธพาลร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด เม
เจียลี่นั่งหมอบอยู่บนพื้นหญ้า คารวะท่านปู่ท่านย่าเป็นใหญ่โตราวคำนับฮ่องเต้ นางก้มหน้าผากแนบพื้น สองมีแปะผืนหญ้าจนผู้ใหญ่ขอให้นางลุก โดยเฉพาะท่านย่า ได้ใจอ่อนกับหลานสาวไปเสียทุกที ถึงเจียลี่อาจไม่เป็นที่รักที่สุด พวกเขารู้แก่ใจดีว่าหากนางจะไม่ต้องออกเรือน ให้นางทำงานหามรุ่งหามค่ำก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด นางไม่ยินดีตบแต่งกับหนุ่มผู้ดีคนไหนในเมือง ขอแค่นางได้ทำงานเก็บเงินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปวัน ๆบ่าวรับใช้บ้านท่านอาหวังเรียกขานนางว่า ‘นายหญิง’ หากเมื่อพบลี่จิ่นกลับเรียกแม่นางสกุลเยี่ยอย่างให้ความเคารพ เฉกเช่นผู้สูงศักดิ์ทั่วไปถึงพวกเขาจะเคารพนอบน้อมเท่าไร ก็ยังไม่เท่ากับที่พวกเขาเคารพนายหญิงเจียลี่น่าประหลาดใจนัก น้องสาวของนางได้พบบ่าวรับใช้บ้าน ก็ว่าแปลกกระนั้นเจียลี่ยังไม่เข้าใจบ่าวรับใช้ หลายครั้งหลายคราพวกเขาไม่ยอมบอกว่าตนคิดสิ่งใด นางเคยได้ยินว่าหากเป็นในวังหลวง อาจถึงขั้นต้องจับพวกเขาไปทรมานทีเดียว บ่าวถึงจะยอมแพร่งพรายความลับของเจ้านาย แต่จะว่าไปแล้ว บ่าวผู้รักศักดิ์ศรีไม่ยอมพูดก็มี พวกเขายินยอมการถูกทรมานจนตายไปกับความลับของเจ้านาย กระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย กัดลิ้นตายเองก็มี“ข้าจะไป
หัวใจของนางเต้นระส่ำระสาย เมื่อท่านอามอบสัจวาจาว่าจะมาสู่ขอนางให้เร็วที่สุด เขายังต่อว่านางไม่ให้พูดถึงท่านอาหญิงด้วยจุมพิตแสนหวาน กระชับกอดเอวนางอย่างหวงแหน ไม่ยอมให้นางออกจากเรือนง่ายดายนักมารดาและคนทางบ้านตำหนินางเรื่องเวลา ทำไมนางจึงมาทำงานช้า ถึงแม้ว่าจะมีบ่าวล่วงหน้าไปที่ร้านผ้าก่อน ก็นางเคยทำตัวเหลวไหลเสียเมื่อไร‘ท่านอานะท่านอา ข้าเกือบโดนทำโทษ แถมโดนหักหวนเฉียน[1]ไปตั้งเยอะ’ นางบ่นในใจ หากด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ความร้อนวูบวาบยังคงฝังติดบนเรือนกาย การถูไถประสาชายหญิงทำให้นางเพิ่งรู้ว่าท่อนแข็งขึงหน้าตาประหลาดนั่นทำอะไรได้ เขามอบความสุขสมให้นางเท่าไรมันยังแปลกที่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มาเป็นที่หนึ่งสำหรับนางเสมอ วันนี้นางโดนหักเงินกลับอารมณ์ดี ยิ้มแก้มปริ คนในบ้านทักนางอย่างสงสัยว่ามีเรื่องดีอะไรหรือเปล่า ขณะบ่าวรับใช้มารอรับนางพร้อมรถม้า บ่าวชายสองคนยังคงเป็นคนเดิม นางเข้าไปเจรจากับพวกเขาอย่างสุภาพ ขอให้อดทนอยู่กับเจ้านายเถิด ท่านหวังเฟยอารมณ์ดีบ้างร้ายบ้าง เดี๋ยวก็หาย เขาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ตราบใดที่ผู้คนรอบกายไม่ทอดทิ้งเขาให้โดดเดี่ยวเดียวดายกลับมาถึงเรือนไม้กว้างขวางในยามเซิน
เมื่อท่านอาหนุ่มแทรกมือเข้าบีบเคล้นเต้าเต่งตึง ไม่ยอมให้นางห้ามปรามเขาได้อีก ฝ่ามืออีกข้างจับมือของนางสอดประสานทุกปลายนิ้ว เขาก้มหน้าจูบนางซ้ำ ๆ ให้นางหลงใหลในวังวนเสน่หา นางไม่แม้จะเอ่ยห้ามปรามเขาด้วยความหวาดกลัว หากให้การต้อนรับท่านอาไม่ต่างจากนางบำเรอร่างสูงใหญ่กำยำ มิใช่ชายขี้เมา ไร้สตรีเหลียวแล ไร้เรี่ยวแรงเหมือนคนป่วยอย่างเมื่อหลายเดือนก่อน วัน ๆ เขาเฝ้ากอดแต่ไหเหล้า คนในบ้านสกุลเยี่ยหัวเราะเยาะเย้ยลับหลังว่าเขาจะยังใช้การได้หรือเปล่า ถึงส่งเจียลี่ไปดูแล นางงามเท่าไรก็คงไม่สามารถทำให้ความเป็นชายของเขาแข็งขึงขึ้นมาได้หวังเฟยลบคำสบประมาทเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เขาก้มหน้าลงดื่มด่ำยอดปทุมถัน ทั้งซ้ายขวาอย่างเท่าเทียม มือบีบเคล้นเนินอกเต่งตึง ด้วยความระมัดระวังเอาใจนาง ไม่ให้รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย กระทั่งสตรีร่างเล็กรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ผงาดรอนางอยู่เหนือหน้าท้อง น้ำเปียกฉ่ำไม่รู้ว่าเป็นน้ำในอ่างหรืออย่างไรแน่“ท่านอา... ร่างกายข้าฝืนทนไม่ไหวอีกแล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ควรรังแกข้า...” ริมฝีปากสีชาดที่เม้มสนิทคลายออก เพื่อเอ่ยคำขอร้องเขาอย่าได้กลั่นแกล้งนาง ให้นางต่อสู้กับความรู้สึกประหลาดมากมา
ที่ผ่านมาท่านอาไม่เคยแตะต้องนางแม้ปลายผม กระทั่งถ้อยคำรื่นหูของเขา หาใช่เสียงตะคอกโวยวายเพราะความเมา นางไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน“เจ้าอย่าทิ้งข้าไปเลยนะเจียลี่ รอข้าสักหน่อย ข้าจะไปสู่ขอเจ้ามาอยู่กับท่านอาขี้เมาทุกวัน...”หวังเฟยรู้ว่าโรคทางใจได้รับการเยียวยารักษาเป็นอย่างดี เขาจึงมิใช่ท่านอาคนเดิมเห็นใบหน้าตกใจของนาง เรียวปากอิ่มสีชาดเม้มปิดสนิทแน่น พาให้เป็นสุขโดยไร้สาเหตุ นางลุกขึ้นไปเรียกบ่าวให้ต้มน้ำ เตรียมน้ำอุ่นให้เขาอาบ ถังไม้ลอยด้วยดอกไม้หอม เขาแสร้งทำโวยวายเรียกคนดูแลให้เข้ามา“มีอะไรเจ้าคะ ท่านอา... น้ำร้อนไปหรือ?”เจียลี่ไม่ทันได้ระวังตัว ร่างกำยำลุกขึ้นมาคว้าเอวนางกอดเข้าหมับ นางร้องวี้ดว้ายตกใจ ยันแผงอกกว้างไว้ด้วยแรงน้อยนิด หน้าตาตื่นตระหนกเงยขึ้นมองฝ่ายรุกเร้า เขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าแต่ยังอยู่ชุดที่เกือบจะหลุดก็ไม่ยอมหลุด“ข้าไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้ว ท่านอาทำอะไรน่ะ” นางก็กลัวว่าจะเปียกไปด้วยกับเขาที่ลงไปแช่น้ำทั้งเสื้อผ้าไม่ยอมถอด ตาหลุบมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ“เจ้ามี ข้าเห็นว่าเจ้านำเสื้อผ้ามาเผื่อทุกครั้ง ข้าชอบทำเสื้อผ้าของเจ้าเลอะเทอะ”“วันนี้ข้าไม่ได้นำติดมือมา ตั้ง