เงามืดใน ตำหนักเย็น
รุ่งอรุณของตำหนักเย็น ให้ความรู้สึกแตกต่างจากบ้านของพลอยในโลกเดิม แสงแดดสีอ่อนสาดผ่านม่านขาดวิ่นบาง ๆ ฉายให้เห็นฝุ่นคละคลุ้งเต็มอากาศ
พลอย ไพลิน หรือ ฮวาอิงในร่างใหม่ ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าแต่ความรู้สึกกลับกระปรี้กระเปร่าในคราวเดียวกัน
มันเป็นเช้าที่ไม่มีเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ ไม่มีเสียงเรียกของผู้เป็นแม่ให้ทำตามกำหนดการใด ๆ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านหน้าต่างบานเก่า ๆ และเสียงธรรมชาติรอบเรือนที่เงียบสงบเท่านั้น
“เอาล่ะ ฉันไม่ได้ฝันไปจริง ๆ สินะ” พลอยพึมพำเบา ๆ ขณะหยัดตัวลุกขึ้นจากตั่งไม้เตี้ยอย่างระมัดระวัง เพราะร่างกายยังอ่อนแอมากนัก ตรงข้ามกับจิตใจที่ตั้งมั่นขึ้นกว่าวันวาน
หลังดื่มยาบำรุงที่ซูเม่ยต้มมาให้ เธอก็เริ่มเดินสำรวจตำหนักเย็นแห่งนี้อย่างจริงจังโดยมีซูเม่ยเดินตามไม่ห่าง นอกจากจะอยากรู้ว่าตนอยู่ที่ใดแล้ว เธอยังอยากหาสิ่งอื่นที่อาจเชื่อมโยงกับการทะลุมิติมาของตนเอง หรืออย่างน้อยก็ควรที่จะได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาวที่ชื่อ ฮวาอิง เจ้าของร่างตัวจริงก่อน
เรือนตำหนักเย็นที่ฮวาอิงได้รับนั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กนัก หากแต่ค่อนข้างเก่าโทรมและถูกปล่อยทิ้งร้างขาดการซ่อมบำรุง ห้องต่าง ๆ ปิดเงียบฝุ่นเกาะหนา เพดานไม้บางส่วนมีรอยผุ ม่านหน้าต่างขาดวิ่น ลานเรือนที่ควรเต็มไปด้วยดอกไม้กลับเต็มไปด้วยวัชพืชรกครึ้มแทน
“ซูเม่ย เหตุใดเรือนขอเราถึงไร้ซึ่งการดูแลเช่นนี้”
“ข้าพยายามดูแลแล้วเจ้าค่ะคุณหนู แต่คนเดียวทำทั้งหลังไม่ไหวจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“มีแค่เจ้าเท่านั้นรือ ที่ดูแล”
“เจ้าค่ะ คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ว่าเรือนเราโดนคุณหนูหลี่ สั่งห้ามไม่ให้บ่าวในตำหนักเย็นทุกคนมาดูแลเรือนเราเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลี่ งั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ คุณหนูไม่สบายตรงไหนรึเปล่าเจ้าคะ อาการหนักจนลืมสิ้นเพียงนี้”
“อืม ข้าคงผ่านการป่วยเจียนตายมาจริง ๆ ต้องขอโทษเจ้าด้วย หากข้าถามอันใดมากไปเสียหน่อย”
“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะ แค่เห็นคุณหนูแข็งแรงขึ้น ข้าก็ดีใจมากแล้ว” ซูเม่ยยิ้มให้เธอ ก่อนที่เธอจะหันไปสนใจเรือนต่อ
พลอยเดินผ่านประตูห้องหนึ่งที่แง้มอยู่ ก้าวเข้าไปช้า ๆ กวาดตามองไปรอบ ๆ ภายในห้องเก็บของ มีเพียงกล่องไม้ กาน้ำชาเก่า ผ้าห่มที่ปลวกกิน และกลิ่นฝุ่นเก่าขึ้นจมูก เธอก้มสำรวจกล่องใบหนึ่งที่มีลวดลายมังกรบนฝากล่องไม้แต่ปิดแน่น เธอใช้แรงค่อย ๆ ง้างจนเปิดกล่องไม้ออกมาได้ ข้างในไม่มีสมบัติหรือสิ่งล้ำค่าอันใด มีเพียงกระดาษเก่าหลายแผ่นม้วนไว้ และผ้าปักลวดลายดอกเหมยเล็ก ๆ เมื่อพลอยแกะซองนั้นดู ก็พบเอกสารที่เขียนด้วยพู่กันจีนโบราณ บางแผ่นเปื้อนน้ำจนอักษรเลอะเลือน
หรือนี่คือหยดน้ำตาของฮวาอิงกันนะ
เธอพยายามเพ่งมองและแปลความหมายจากลายมือที่ดูไม่คงที่ราวกับถูกตวัดเขียนในยามที่อารมณ์อ่อนไหว
ข้าไม่อยากเป็นเบี้ยให้ใครดูถูกดูแคลน...หากการเป็นหญิงอันสูงศักดิ์คือการอดกลั้น ข้ายอมเป็นคนไร้ค่าในสายตา...ดีกว่าเป็นเชลยในวังอย่างที่เป็น
พลอยอ่านไปก็รับรู้ถึงความรู้สึกตัดพ้อโชคชะตาของ ฮวาอิงได้จับใจ ก่อนจะอ่านกระดาษแผ่นถัดไป
หยกดอกเหมยสีเลือดนั้น ผู้เป็นมารดามอบให้ข้าด้วยคำอวยพร ข้าเฝ้ารักษามันไว้มิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อวันหนึ่งหากมีใครต้องแบกรับแทนข้า ข้าแค่หวังมันจะอวยพรให้ผู้นั้นอย่าประสบเคราะห์กรรมเช่นข้าเลย
“นี่มัน...” พลอยกลืนน้ำลาย ฝ่ามือจับกระดาษแน่น เธอรู้ทันทีว่าข้อความเหล่านี้ คือบันทึกของฮวาอิงคนเดิม
“เธอไม่ใช่คนไร้ค่าหรอก เพียงแต่...เธออ่อนแอยอมคนเกินไปเท่านั้นเอง” พลอยพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย เธอเก็บกระดาษเอกสารเหล่านั้นไว้ในม้วนผ้า เพราะเชื่อว่ามันต้องมีประโยชน์ในภายภาคหน้าแน่
เมื่อสำรวจเรือนเสร็จ พลอยกลับมานั่งมองพื้นรอบเรือน ทุกอย่างสกปรก เก่าและทรุดโทรม แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจอันใด ตรงกันข้าม ความเงียบไร้ซึ่งเสียงของใครต่อใครที่ชอบสั่งให้เธอทำตามกำหนดการ กลับทำให้เธอรู้สึกถึง อิสระ อย่างแท้จริง
แม้อาหารเช้าที่ซูเม่ยนำมาวางไว้บนโต๊ะ จะเป็นเพียงหมั่นโถวจืด ๆ น้ำแกงใสไร้รสใด ๆ ก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่
“มันจืดไปหน่อยแฮะ ถ้ามีนมข้นหวาน หรือซอสสังขยาใบเตยมาจิ้มกินด้วยหน่อยคงดี” เธอหัวเราะออกมา แล้วก็ก้มหน้ากินต่อไป
หลังจากทานเสร็จ พลอยลงมือทำความสะอาดเรือนด้วยตัวเอง
“คุณหนูอย่าเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวทำเอง”
“ไม่เป็นไรซูเม่ย ช่วยกันทำมันก็เสร็จเร็ว ข้าเบื่อเจียนแย่อยู่แล้ว”
แม้ซูเม่ยจะห้ามปรามเท่าไร เนื่องด้วยคุณหนูของตนยังไม่หายดี แต่พลอยก็ไม่ยอมฟัง เธอไม่อยากให้ซูเม่ยเหนื่อยคนเดียว อีกทั้งเธอคิดว่านี่ก็เป็นวิธีระบายความเครียดอีกอย่างหนึ่ง
ไม้กวาดอันเก่าเปราะบาง แต่เธอก็พยายามปัดกวาดจนฝุ่นฟุ้งทั่ว โถเก็บน้ำที่แห้งกรัง เธอกับซูเม่ยก็ช่วยแบกน้ำจากบ่อหลังเรือนมาใช้เอง ท่ามกลางสายตาของสาวใช้จากตำหนักใกล้เคียงที่แอบมองและซุบซิบไม่หยุด
“ดูสิ คุณหนูจากเมืองซ่างผิงต้องมาเก็บกวาดเรือนด้วยตนเอง ช่างน่าขันนัก ฮ่า...” เสียงเยาะเย้นดูแคลน จากสาวใช้ใจกล้าอันต่ำต้อย เพียงเพราะคุณหนูของตนมาจากเมืองที่ใหญ่กว่าซ่างผิง
“สมควรอยู่ ใครใช้ให้ไม่รู้จักรักษาหน้าตัวเอง ไม่รู้จักวางตัวในการคัดเลือกชายา”
เสียงเหล่านั้นลอยแว่วมา หากเป็นฮวาอิงคนเดิมคงเจียมเนื้อเจียมตนคอยถูกดูแคลนเพราะไม่อยากมีเรื่องอันใดกับใคร แต่ไม่ใช่กับพลอย
เธอรู้สึกโมโหกับการถูกเยาะเย้ยนี้มาก จึงตะโกนลั่นกลับออกไปชนิดที่ ซูเม่ยยังต้องผวา
“พูดไปเถอะ ฉันมีมือ มีขา ฉันทำความสะอาดเองได้ พวกเจ้าเอาแต่ปากคอเราะร้ายดูแคลนผู้อื่นหาว่าไม่รู้จักวางตัวในการคัดเลือกชายาอันใดนั่น แล้วคุณหนูของพวกเจ้าล่ะ ทำไมถึงมาอยู่ตำหนักเย็นเยี่ยงข้าได้”
“นี่เจ้า!” สาวใช้ของอีกเรือนในตำหนักเย็นสบถออกมา
“อ๋อ...หรือว่าตัวเจ้าเองก็กำลังนินทาคุณหนูของตนอยู่ว่า ใครใช้ให้ไม่รู้จักรักษาหน้าตัวเอง ไม่รู้จักวางตัวในการคัดเลือกชายา จึงถูกสั่งให้มาพำนักตำหนักเย็นเยี่ยงข้ากัน...” พลอยชายตามองสาวใช้เบือนปลายหางตา ก่อนจะตะโกนลั่นจนทำให้ผู้ได้ยินตกอกตกใจ
“โอ๊ย! เจ้าข้าเอ๋ย บ่าวเรือนอื่นกำลังนินทานายของตนเจ้าค่า...” เพียงเท่านั้น คนอื่น ๆ ที่เงียบหูผึ่ง ก็หันไปจ้องสาวใช้สองคนนั้นก่อนจะก้มหน้าหัวเราะกันลั่น จนสาวใช้รีบก้มหน้าวิ่งหันกลับไปยังเรือนนายของตนทันที
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า สะใจโว๊ย หาเรื่องผิดคนแล้ว มาหาเรื่องอิพลอยผู้นี้รึ” พลอยเท้าสะเอวมองด้วยความสะใจ
“คุ...คุณหนูเจ้าคะ แบบนี้จะไม่แย่เอารึเจ้าคะ บ่าวพวกนั้นมาจากเรือนของแม่นางที่มาจากแคว้นต้าเหอ บ่าวกลัวว่า...บ่าวจะปกป้องคุณหนูจากคนเหล่านั้นไม่ได้เจ้าค่ะ” ซูเม่ยเอ่ยด้วยความเป็นห่วงนายของตน
พลอยหันมาแตะบ่าสาวใช้ของตนเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เราหลีกหนีโชคชะตาที่ไม่ถูกเลือกเป็นชายาไม่ได้...แต่เราเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระและยืนหยัดต่อสู้คนไม่ดีในโลกนี้ได้นะ ซูเม่ย...”
“คุณหนู...”
“ทำไมซึ้งกับคำพูดของข้าใช่ไหมล่ะ” พลอยกอดอกมองหน้าซูเม่ย
“ค่ะ...แม้ข้าจะไม่เข้าใจบางคำที่คุณหนูเปล่งออกมานัก แต่ข้ารู้สึกคุณหนูเติบโตขึ้นจริง ๆ เจ้าค่ะ ราวกับไม่ใช่คุณหนู ฮวาอิงคนเดิม”
พลอยชะงักไป...เมื่อต้องคิดถึงความจริงว่า ตอนนี้เธอมาอยู่ในร่างของผู้อื่น ไม่ใช่ร่างของตน
คืนนั้นหลังจากเรือนสะอาดไปหลายส่วนแล้ว เธอหิวจนท้องกิ่ว แต่ก็มีเพียงหมั่นโถวจืด ๆ ที่เหลือจากมื้อก่อนอีกครั้ง แต่ครานี้เธอได้อาสาปรุงซุปขึ้นมาใหม่ เติมเกลือ ใส่ขิงที่ฮวาอิง(คนเดิม) ปลูกไว้หลังเรือน ก่อนจะให้ซูเม่ยยกมาให้เธอที่ศาลาไม้เก่า ๆ หลังเรือนตนในตำหนักเย็น
พลอยนั่งมองจันทร์เสี้ยวอีกครั้งในราตรีที่เงียบสงบ เธอรู้สึกว่าที่นี่...แม้จะไร้ผู้คนที่เธอคุ้นเคย แม้จะแร้นแค้นแต่ก็ไม่มีคนคอยมาบ่งการชีวิต ไม่มีกรอบคำสั่ง ใครบ่นมาเธอก็สามารถพ่นคำด่าคืนโดยไม่ต้องอดกลั้นอีกต่อไปเหมือนโลกเก่า
เพียงแต่...
เมื่อพลอยหยิบม้วนผ้าที่บรรจุกระดาษลายมือของอิงฮวาขึ้นมาอ่านอีกครั้ง เธอก็ลูบมันเบา ๆ แล้วตระหนักได้ว่าถึงเธอจะหลุดพ้นจากกรงขังในโลกเดิม แต่ชีวิตใหม่นี้ก็ไม่ใช่ร่างของเธออยู่ดี ดังนั้นเธอจึงอยากเก็บความรู้สึกของเจ้าของร่างนี่ไว้ ก่อนจะพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฉันไม่รู้ว่าเธอเคยเจออะไรมา แต่เมื่อฉันได้มาอยู่ในร่างนี้แล้ว ฉันสัญญาว่าจะไม่ยอมให้ใคร มาเหยียบย่ำร่างนี้ของเธออีก แม่นางฮวาอิง”
พลอยเงียบชะงักไปนิด ก่อนจะเงยหน้ามองจันทร์เสี้ยว พร้อมหยกดอกเหมยสีเลือด เป็นหยกกลมขนาดฝ่ามือ สลักเป็นรูปดอกเหมยบานสวยงามดูมีชีวิต ลักษณะหยกสีเขียวใส แต่ตรงกลางกลับมีลายสีแดงอ่อนคล้ายเลือดแทรกอยู่ ที่ตัวฮวาอิงพกติดตัวเสมอขึ้นมาดู
“แม่นางฮวาอิง เจ้าจะว่าอะไรไหม หากข้าเลือกสลัดนาม พลอย ไพลิน จากโลกเดิมให้สิ้น และเป็นฮวาอิง สาวงามจากเมืองซ่างผิงแทนเจ้า ซึ่งข้าสัญญาว่าจะพาร่างนี้ออกจากตำหนักเย็น ไม่สิออกจากวังหลวงนี้ให้ได้ เพื่อที่จะหลีกหนีการถูกเหยียบย่ำเพียงเพราะไม่ถูกเลือก...”
หลังเธอเอ่ยเสร็จ หยกดอกเหมยสีเลือดก็เปล่งประกายสว่างวาบหนึ่งหนราวกับตอบรับคำร้องขอของพลอย
ใบหน้าของเธอเปี่ยมยิ้ม เสียงขลุ่ยลอยมาให้ได้ยินอีกหนจากที่ไกลโพ้น ท่วงทำนองชวนไพเราะและสงบ คล้ายเสียงของใครบางคนกำลังเอื้อนเอ่ยตอบกลับมาอย่างเงียบงันใต้แสงจันทร์
“เอาล่ะ จากนี้ไปฉันไม่ใช่ พลอย ไพลิน อีกต่อไป อะแฮ่ม...ข้ามีนามว่า ฮวาอิง สาวงามจากเมืองซ่างผิง โลกนี้โปรดรับรู้ไว้ด้วย”
ตอนที่ 37ขนมสอดไส้ แด่ฮองเฮาณ ห้องรับรองหลักตำหนักมิ่งหลัน ถูกจัดเตรียมอย่างสวยงามสำหรับถวายอาหารและขนมหวาน ตามรับสั่งของฮองเฮาชุดภาชนะลายครามพิเศษถูกนำออกมาใช้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อต้อนรับองค์รัชทายาท ผู้เสด็จมาเยือนโต๊ะไม้สลักสวยงามประดับด้วยดอกไม้สดจากสวน กลิ่นหอมของน้ำเก๊กฮวยในจอกอบอวลลอยฟุ้งหอมฮวาอิงยืนนอบน้อมอยู่ในมุมห้องกับเฟยเทียนด้านหนึ่ง ในเครื่องแต่งกายเรียบร้อย สะอาดสะอ้านไม่อวดตน รอบกายคือบรรดานางใน ขันที ที่คอยจัดเตรียมอาหารมื้อพิเศษนี้โดย ขนมสอดไส้ ถูกวางเด่นบนจนหยกขาวฮองเฮาเสด็จพร้อมด้วยรัชทายาทที่เดินตามมาติด ๆ พระพักตร์ของฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ยังคงสงบนิ่ง แต่สายพระเนตรมักกวาดมองรอบด้านด้านองค์รัชทายาท ชายหนุ่มรูปงามผู้มีสายตาเยือกเย็น แต่ลึกในแววตานั้นกลับแฝงด้วยนัยยะบางอย่างราวกับมีความในใจ เขามองฮวาอิงครู่หนึ่ง ด้วยความรู้สึกคล้ายกำลังพินิจบางอย่าง... ก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าทั้งฮองเฮา และรัชทายาทรับประทานอาหารกันอย่างเงียบ ๆ พระพัก
ตอนที่ 36ขนมที่ห่อด้วยใจฮวาอิงลืมตาตื่นท่ามกลางความเวียนศีรษะ และไอเล็กน้อย ที่ยังหลงเหลืออยู่“คุณหนูยังไม่หายดี อย่าลุกเลยเจ้าค่ะ นอนพักผ่อนก่อน” ซูเม่ยที่กำลังยกยาเข้ามา วางถาดแล้วรีบมาประคองฮวาอิงไว้แค่ก...แค่ก ฮวาอิงไอเบา ๆ มือแตะหน้าผากตนเองแล้วส่ายหน้า “ข้าดีขึ้นแล้ว เพียงแต่มึนนิดหน่อย ไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ”“แต่คุณเพิ่งกินยาได้เพียงครั้งเดียวเมื่อคืน...วันนี้ให้ข้าจัดการแทนเถิดนะเจ้าคะ หรือไม่ก็แจ้งท่านเฟยเทียนว่าขอเลื่อนวันถวายขนมไปก่อน ข้าเชื่อว่าฮองเฮาทรงเข้าใจ”ฮวาอิงยังคงส่ายหน้า“ข้าไม่อยากให้ฮองเฮาต้องรอคอยคนอย่างข้าเลย ข้ายกให้ใครทำขนมสอดไส้นี้ไม่ได้หรอกมันซับซ้อน และยังไม่ได้สอนใคร” เสียงพูดของนางแม้เบาบาง ทว่าแฝงความดื้อรั้นและแน่วแน่“แม่นางฮวาอิงฟื้นแล้วงั้นหรือ? แต่จากที่ข้าดูสภาพแล้ว แม่นางไม่ควรฝืนนะ” เฟยเทียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าครุ่นคิด นางส่งสายตามองฮวาอิง ประเมินนางที่นอนซมแล้วยังดูซีดเซียวอยู่นักฮวาอิงประสานมือโค้งให้อย่างอ่อนน้อม“ท่านเฟยเทียน ข้าเคยสัญญากับฮองเฮา ว่าจะรับผิดชอบขนมถวายเมื่อวันก่อน มาวันนี้ข้าคงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ ข้าขอทำเถอะเจ้าค่
ตอนที่ 35กลิ่นอุ่นยังมิจางสายฝนเริ่มซา กลายเป็นเพียงละอองโปรยปราย ชะใบไม้ให้กลายเป็นสีเขียวเข้มชุ่มฉ่ำ กลิ่นฝนผสมกลิ่นไม้จากบ้านเรือนเก่าเคล้าคลอในอากาศ ขณะสองร่างใต้ร่มคันเดียวกันก้าวเดินช้า ๆ ไปตามตรอกถนนสายหนึ่งหนิงอ๋องถือร่มอยู่ด้านซ้าย ฮวาอิงยืนอยู่ด้านขวา ระยะห่างระหว่างไหล่ทั้งสองไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ ทว่ากลับไม่มีใครรู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย“เด็กชายคนนั้นชื่อเสี่ยวเป่า” เสียงทุ้มนุ่มของเขาดังขึ้น “พ่อของเขาเคยร่วมรบด้วยกันที่ชายแดนตะวันตกเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้เจ็บเรื้อรัง ไม่อาจรบแนวหน้าได้อีกต่อไป”ฮวาอิงเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย“ท่านเป็นถึงแม่ทัพสูงสุด กลับรู้จักพวกเขาโดยตรงเลยหรือเจ้าคะ?”“ไม่หรอก...ทหารเป็นหมื่นเป็นแสนข้าจะรู้จักหมดได้เยี่ยงไร เพียงแต่ข้าอ่านบันทึกประจำวันว่ามีเหตุการ์ณใดบ้างเกิดขึ้นก็เท่านั้น” หนิงอ๋องเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยต่อ“แม่ของเสี่ยวเป่า เคยเขียนจดหมายขอบคุณกองบัญชาการหลังได้รับเบี้ยยังชีพ ข้าเห็นชื่อเลยจำได้...ไม่คิดเลยว่าคนที่ทำเพื่อชาติ กลับต้องแบกภาระทางบ้านไปด้วย จะให้ข้าปล่อยไปได้เยี่ยงไรจริงไหม ประจวบเหมาะวันนี้มีเวลาว่างจึงอยากหาของขวัญให้ลูกชายเขา”
ตอนที่ 34ร่มคันเดียวกลางฝนยามเช้าในเมืองหลวงวันนี้ ลมโชยแผ่วอ่อนให้ได้กลิ่นหอมจากร้านน้ำชาริมทางลอยแตะจมูก ช่วยปลุกบรรยากาศให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นท้องฟ้าวันนี้โล่งโปร่งไร้เงาเมฆฝนเหมือนหลายวันก่อน พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดของขึ้นแผงกันอย่างคึกคัก เสียงเจรจาต่อรองราคายังคงเช่นเดิม พานทำให้ความรู้สึกของฮวาอิง นึกถึงช่วงที่ต้องปลอมตัวเป็น หลินหยาง ขายขนมไทยก่อนหน้านั้นวันนี้ฮวาอิงออกมาซื้อวัตถุดิบเพื่อทำขนมถวายแด่ฮองเฮา นางสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สมฐานะตำแหน่งพิเศษมากขึ้น เพียงแต่ยังคงสวมผ้าปิดหน้าลายดอกเหมยไม่เผยใบหน้ามากนักส่วนซูเม่ยเดินอยู่ข้าง ๆ ถือตะกร้าไม้ไผ่สำหรับใส่วัตถุดิบ ทั้งที่นางมีตำแหน่งสูงในครัวหลวงและสามารถเอ่ยสั่งให้คนครัวออกมาซื้อได้ แต่นางกลับไม่ทำและประสงค์จะออกมาเดินตลาดเพื่อเลือกวัตถุดิบด้วยตนเอง“วันนี้ คุณหนูจะทำขนมอันใดถวายแด่ฮองเฮาเจ้าคะ?” ซูเม่ยเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี“ขนมสอดไส้” ฮวาอิงหันใบหน้าตอบซูเม่ย“เป็นขนมอย่างไรเจ้าคะ ข้าไม่เคยได้ยินอีกแล้ว”“เป็นขนมที่ข้าชอบมาก กลิ่นหอมใบเตยนวลกะทิและน้ำตาลเคี่ยว ด้านในสอดใส่มะพร้าวคั่วน้ำตาล เป็นขนมที่ดูธรรมดาแต่ทำให้คนกินแทบ
ตอนที่ 33คำสั่งเหนือใครเบื้องหน้าคือ สถานที่ประทับของฮ่องเต้ผู้มีอำนาจคับจักรวรรดิอวิ๋นชวน หวังอ๋องและฮวาอิงเดินอยู่บนลานหินหน้าตำหนักมังกรหยกอย่างสงบนิ่ง แต่แฝงด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลุ่มขันทีในชุดเต็มยศเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบฮวาอิงเดินตามหลังหวังอ๋องอย่างเงียบเชียบ ใต้เสื้อคลุมไหมสีขาวนวลตา มือเรียวซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ปลายนิ้วเรียวเกร็งไว้ไม่ให้สั่น เพราะไม่ว่านางจะกล้าเพียงใด หรือเคยปะทะฝีปากกับอ๋องผู้มากอำนาจมานักต่อนักแต่...วันนี้คือการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ผู้เป็นเจ้าของจักรวรรดิทั้งผืน ในฐานะองค์หญิงซ่างผิงผู้คิดวิธีถนอมเสบียงแด่เหล่ากองทัพฮวาอิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ชะลอฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนจะย่ำเท้าก้าวต่อไป หวังอ๋องที่เดินนำหน้าหันมองนางเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าให้นางตามตนมาเมื่อประตูบานไม้แกะสลักมังกรเบิกกว้าง เสียงขันทีอาวุโสก็เปล่งเสียงสูงกังวาน“หวังอ๋องแห่งราชวงศ์อวิ๋นชวน พร้อมองค์หญิงแห่งเมืองซ่างผิง ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ภายในตำหนักมังกรหยก สงบ เงียบ ให้ความรู้สึกเย็นเยียบจนถึงขั้วหัวใจ ใต้เพดานสูง มังกรห้าตัวเลื้อยพันเสาตำหนักดั่งคอยค้ำจุนแผ่นดินพ
ตอนที่ 32ก่อนรุ่งอรุณแห่งผลลัพธ์ยามซื่อ ค่ำคืนที่ลมพัดแผ่วเบาเย็นสบาย แสงเทียนจากโคมส่องภายในเรือนรับรองที่จัดไว้ให้เฉพาะสำหรับนาง ทั้งเรือนเงียบเชียบ มีเพียงเสียงพู่กันเสียดสีกับกระดาษ และเสียงเดินไปมาของสาวใช้คนสนิทอย่างซูเม่ยฮวาอิงนั่งหลังตรงอยู่ตรงกลางห้องในชุดเรียบง่าย ผมถูกรวบขึ้นสูงอย่างลวก ๆ มีปิ่นไม้สอดไว้หลวม ๆ เท่านั้นในมือนางคือพู่กันด้ามเรียว ที่ขีดเขียนรายงานเบื้องต้นไปบางส่วนแล้ว บัดนี้เหลือเพียงหน้าสุดท้าย หน้าแห่งการสรุปผล ที่จะถูกส่งให้หวังอ๋องในยามเช้าซูเม่ยยกน้ำชาอุ่น ๆ มาวางไว้ข้าง ๆ นาง ก่อนจะเดินนั่งใกล้ไม่ห่างนัก คอยเปลี่ยนน้ำหมึกให้ และเฝ้าดูผู้เป็นนายเขียนลงกระดาษทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจวันที่เจ็ดของการทดสอบการถนอมอาหารเสบียง ฮวาอิงเม้มปากนิด ใบหน้าคิ้วขมวดหน่อยแสดงถึงความตั้งใจเพื่อให้เขียนออกมาให้ดีที่สุดผลการถนอมเนื้อสดโดยหมักเกลือกับตากแดดให้แห้ง ยังคงคุณค่าทางรสชาติได้อย่างดี เมื่อนำไปลองทำเป็นอาหารพร้อมปรุงในภาวะฉุกเฉิน สามารถนำไปทอดหรือย่างได้โดยไม่เสียรสเนื้อ กลิ่นและสัมผัสยังคงใกล้เคียงกับเนื้อสดยามปรุงสุก แถมความอร่อยยังเหมาะที่จะกินกับข้าวสวยร