Masukในขณะที่ชินอ๋องรุดหน้าปกป้องลูกเมียของเขาอยู่เบื้องหน้า รัศมีปราณยุทธแผ่ซ่านปรากฏให้เห็นเงาของกิเลนสวรรค์ห้าธาตุ พุ่งตรงเข้าไปสังหารผู้บุกรุก
“ถงถงเจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ชินอ๋องถามคู่ชีวิตของตนอย่างเป็นห่วง เขายืนหยัดอย่างมั่นคงบนดาดฟ้าเรือโคลงเคลง สายตารอบระวังมือสังหารที่องครักษ์กำลังรับมืออยู่รอบ ๆ “ไม่เป็นไรหลงหมิง แล้วท่านล่ะ” พักตร์งามของชายาเอกเปื้อนเขม่าดำไปหมด ในอ้อมกอดพยายามบดบังภยันตรายให้ลูกชายตัวน้อย ปัดป้องคมดาบที่มุ่งเข้ามาด้วยกระบี่อ่อน ดวงตาของอ๋องน้อยเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกตกใจ แต่ก็ว่าง่ายอย่างรู้ความไม่ตกใจจนร้องงอแง ธงโจรสลัดกุ่ยไห่ที่ครองน่านน้ำในแถบนี้คู่กับธงสัญลักษณ์จิ้นอ๋องโบกสะบัดในกองเรือที่โอบล้อมเข้ามา เสียงโห่ร้องตะโกนกู่ก้องดังจนคนของชินอ๋องต่างสิ้นหวัง ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันหลายสิบเท่า อีกทั้งผู้บุกรุกต่างเป็นนักฆ่าสังหารมืออาชีพ ต่างกับพวกเขาที่เป็นบ่าวไพร่ที่มีวรยุทธติดตัวเล็กน้อย กองเรือผู้บุกรุกทอดสมอจอดเรือเทียบกับขบวนเรือของชินอ๋อง พลาดไม้กระดานกว้างราวหนึ่งฉื่อ [1] ข้ามมาอย่างง่ายดาย เข็นฆ่าผู้คนอย่างเหี้ยมโหด สาวใช้ถูกฉุดลากไปขืนใจย่ำยี ท่ามกลางกองซากไร้ลมหายใจ ประกายกระบี่ปะทะกันวูบวาบทั่วบริเวณ ชินอ๋องมู่หรงหลงหมิงตอบโต้รับมือกับนักฆ่าหลายคน ตัวเขาถือเป็นขุนนางบุ๋นคนหนึ่งแต่ใช่ว่าจะมือไม้อ่อนจับดาบจับกระบี่ไม่เป็น “จิ้นอ๋องก่อกบฏ เขาทำไปเพื่ออะไรกัน!!! ในเมื่อข้าก็เคารพรักเขาดั่งพี่ชาย...” ชินอ๋องคำรามอย่างครุ่นโกรธทั้งเสียใจ ไม่คิดเลยว่าวันที่มีความสุขสมบูรณ์พร้อมจะถูกลบออก ด้วยความกระหายอำนาจที่ไม่ใช่ของตนเหมือนพี่ชายต่างแม่ผู้นี้ ความจริงและความเสียใจผิดหวังประดังเข้าใส่ชินอ๋อง ไม่เพียงแค่ระเบิดที่จะคร่าชีวิตพวกเขา ยังมีมือสังหารที่แอบแฝงตัวอยู่ด้วย จิ้นอ๋องไม่กลัวเลยที่จะเปิดเผยว่าตนก่อกบฏ ชูธงประจำตัวเด่นหราประกาศว่าเป็นตัวเอง เขาวางแผนมานานและทำได้ดีอีกด้วย ปกปิดหลอกลวง คิดฆ่าคนปิดปากกลางผืนน้ำ ดูยังไงก็ไม่คิดเหลือทางรอดให้เขา เพียงแต่ลูกเมียเขาอีกฝ่ายก็ไม่คิดเก็บไว้ นัยน์ตาแดงก่ำของชินอ๋องผูกใจเจ็บที่เชื่อถือไว้ใจคนผิด ทำให้คนรักและรอบข้างเขาต้องพบจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ ชายหนุ่มประมือไปหลายกระบวนท่าผลลัพธ์ช่วงชิงความได้เปรียบไม่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะมีฝีไม้ลายมือเก่งกาจแค่ไหน ก็เพลี่ยงพล้ำลงให้กับความโสมมของนักฆ่าจ้างวานที่ไม่เลือกวิธีสังหาร คมกระบี่อาบยาพิษต่างทิ่มแทงเข้าจุดตายของเขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าภรรยาและลูก หมายปกป้องทั้งสองให้ได้มากที่สุด พิษร้ายแรงแล่นเข้าสู่ร่างกายอย่างฉับไวยิ่งชินอ๋องขยับร่างกายมากเท่าไหร่ พิษก็กระจายไปทั่วร่างเร็วเท่านั้น ภาพสุดท้ายของชีวิตเขา คือ ชินหวางเฟย ภรรยาของเขาผู้ที่เก็บงำวิชากระบี่ยิ่งกว่าเขาร่ายรำวาดกระบี่แทงทะลุร่างของนักฆ่าที่ลงมือกับเขา ท่ามกลางม่านน้ำตาที่ไหลอาบหน้านางกับแววตาตกตะลึงของลูกน้อยวัยสามหนาว วังชินอ๋องที่แยกตัวประกาศจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนนานแล้ว ขอไม่เข้าไปยุ่งพัวพันแย่งชิงบัลลังก์มังกรที่อาบไปด้วยเลือด ความวุ่นวายต่าง ๆ นานาที่ต้องเเลกด้วยชีวิต กลับต้องเผชิญเคราะห์ร้ายกรรมซัดไม่ต่างกับเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้… ในขณะที่ทะเลสีเลือดไหลหนองย้อมมหาสมุทรซีไห่ ทางเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ยกลับมีเมฆหมอกสีดำลอยปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าดูมืดมน บรรยากาศมืดครึ้มอึมครึมอันน่าอึดอัดครอบคลุมทั้งเมือง ฟ้าฝนโหมกระหน่ำตกหนักมาร่วมสัปดาห์ไม่มีทีท่าจะหยุดลง ถังอี้หงฮองเฮาแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย เหม่อมองน้ำฝนที่สาดกระหน่ำผ่านหน้าตาบานใหญ่ สีหน้ากังวลของแม่ของแผ่นดินเผยออกมาอย่างชัดเจน “หวงโฮ่ว ทรงพักผ่อนเถอะเพคะ” “หลิวหยุนฟ้ากำลังเปลี่ยนสี ข้าเป็นห่วงพวกเขา” “องค์รัชทายาททรงอ่านฎีกาพำนักอ่านฎีกาพำนักปลอดภัยอยู่ที่ตำหนักบูรพา มีองครักษ์หลวงมากมายคอยคุ้มกัน ชินอ๋องก็ทรงพาท่านอ๋องน้อยกับพระชายาไปประพาสที่ทะเลซีไห่ที่ทะเลซีไห่ ส่วนองค์ชายเจ็ดพระองค์ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเลย พระองค์ก็ทรงทราบองค์ชายเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอก ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนบนแผ่นดินใหญ่ยังไม่มีผู้ใดทราบเลย ทุกพระองค์กำลังมีความสุขในชีวิตของตัวเอง ฮองเฮาทรงอย่าวิตกกังวลพระทัยเลยเพคะ” หลิวหยุนนางกำนัลคนสนิทผู้ติดตามถังอี้หงมาตั้งแต่เป็นคุณหนูสกุลถังมา จนกระทั่งนางเป็นมารดาของแผ่นดินในปัจจุบัน เวลาที่ใช้ร่วมกันดุจดั่งพี่น้อง “ข้ารู้ แต่สุขภาพของฝ่าบาท…” ฮองเฮาสกุลถังมองหน้าสหายสนิทเผยความกังวลใจที่ปิดไม่มิด “เปิ่นกง [2] กลัวมีคนก่อกบฏ” ถังอี้หงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในเมืองหลวง ภายนอกดูเหมือนสงบ แต่กลับมีคลื่นพายุกำลังก่อตัวเตรียมโหมกระหน่ำ สีหน้ามารดาของแผ่นดินซีเว่ยเคร่งขรึมด้วยความกังวล สัญชาตญาณความเป็นแม่สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังคุกคามลูก ๆ ของนาง จนหัวใจไม่อาจสงบ “เต๋อเฟย นางกำลังทำอะไรกันแน่?”เม็ดฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ผู้คนที่เดินขวักไขว่สวนกันอยู่บนท้องถนนล้วนรีบร้อนก้าวเท้าอย่างว่องไว บรรยากาศเย็นยะเยือกท้องฟ้าดำมืดไม่นานฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่
ณ.โรงเตี๊ยมโหย่วซิ่ว ชายหนุ่มรูปลักษณ์สง่างามนั่งปล่อยแรงกดดันที่มองไม่เห็นอยู่ในห้องลับของโรงเตี๊ยม ดวงตาของฉายแสงเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก มุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินข่าวที่สายลับส่งเข้ามาพร้อมกับท้องฟ้าที่ส่งเสียงยินดีดังคำรามลั่นครืนใหญ่ ครืน ครืน!!! “หึ ๆ ลงนรกไปแล้วสินะน้องชายของข้า” น้ำเสียงอำมหิตไปปกปิดกลิ่นอายชั่วร้ายเอ่ยขึ้นราวกับเป็นเรื่องธรรมดาปกติ จากนั้นก็หันไปที่ประตูที่เคาะเรียกขออนุญาตคนด้านในห้อง “เข้ามา” บานประตูลับเปิดออกพร้อมร่างชายคนหนึ่ง “ข้าน้อยคารวะจิ้นอ๋อง” ร่างในเสื้อคลุมสีดำก้มหัวเล็กน้อยเผชิญหน้ากับความเงียบ จึงรีบเอ่ยธุระของตน “จิ้นอ๋อง ทุกอย่างพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงแหบแห้งไม่บ่งบอกตัวตนรายงานสิ่งที่ลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือ ชายรูปงามที่นั่งฟังชายชุดคลุมสีดำ คือ จิ้นอ๋อง โอรสคนแรกของจักรพรรดิเฉียนเฮ่า มู่หรงเฉียนเฮ่า ฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ย เขาเป็นองค์ชายพระองค์โตที่ถูกพระราชบิดากีดกันจากบัลลังก์ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลูกคนแรก และฐานันดรศักดิ์ภูมิหลังฝั่งมารดาก็ไม่ใช่ต่ำ ทำให้เขาเหมือนคนนอกจนสะสมความคับแค้นรอวันที่ทวงคืนความเป็นธรรมให้ตัวเอง “ฟ้ามืดเมื่อไหร่ก็เริ่มได้” น้ำเสียงไม่แยแสจ้องมองใบชาในถ้วยแก้วหลิวหลี เงยหน้าขึ้นจ้องตาชายชุดคลุม “ต้องสำเร็จเท่านั้นห้ามพลาดเด็ดขาด” “พ่ะย่ะค่ะ” ชายชุดคลุมน้อมรับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม หันหลังออกไปดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ คล้อยหลังไปเขาก็พึมพำด้วยความตื่นเต้น “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เปิ่นหวางจะขึ้นเป็นโอรสสวรรค์แทนท่าน…เสด็จพ่อ *แก้ไขครั้งที่1 [1] ฉื่อ หรือ เชียะ (尺 : chǐ) : 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 ชุ่น ยาวประมาณ 1 ฟุต [2] เชื้อพระวงศ์หญิง เช่น ไทเฮา ฮองเฮา พระสนมชั้นสูง องค์หญิง มักมีคำเรียกแทนตัวเองว่า “เปิ่นกง”อาหารมื้อเช้าจบลงอย่างมีความสุขของครอบครัวและอย่างเศร้าใจสำหรับเสี่ยวฉง สี่คนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเดินเที่ยวในเจียงตงร่วมกัน ออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมชางเหอและซูผิงผู้เป็นภรรยา รวมถึงบ่าวสกุลจูหานเฟยและเฉิงเยว่แม่ลูกเดินนำหน้าขบวนนำเที่ยว เข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน ตามด้วยสองพ่อลูกอย่างจูเหวินฟงและเยี่ยหยางที่คอยเดินตาม แล้วรับของกินเล่นที่ผู้เป็นภรรยาและแม่ยื่นให้ บ่าวไพร่ต่างหอบหิ้วข้าวของที่นายหญิงเดินซื้อเต็มไม้เต็มมือ ก็ได้รับอานิสงส์อิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เพราะเจ้านายอารมณ์ดีเมตตาปรานีเลี้ยงของกินพวกเขาด้วย “เส้าหยาง”“ขอรับ ท่านพ่อ”“เจ้าฝึกฝนปราณยุทธถึงระดับใด?”นั่นไง...มาแล้ว ข้ากะแล้วเชียว ไม่ว่ายังไงต้องมีคำพูดแบบนี้หลุดถามออกมาจากปากท่านพ่อเยี่ยหยางครุ่นคิดว่าเขาจะตอบระดับใดดี น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี ถึงแม้เขาจะไม่มีลมปราณซักเสี้ยวก็ตาม อืม...ระดับจ้าวยุทธก็ไม่เลว ระดับต่ำกว่าอาจารย์ที่เทียนถูหวู่เล็กน้อย ระดับเทียบเท่าศิษย์หลักเทียนถูหวู่ แถมยังเหมาะเข้ากับข่าวลือที่ว่าพวกนั้นอีก“ระดับจ้าวยุทธขอรับท่านพ่อ”“ดี” จูเหวินฟงตอบ แม้เขาจะตรวจสอบไม่ได้ว่า คนที่บอกว่า
“ไหน ๆ หมุนตัวให้แม่ดูหน่อยสิลูก”เสียงของหานเฟยดังเข้าลูกชายสองคนที่ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อได้ยินประโยคทะแม่ง ๆ...ใคร?... ใครมาแย่งท่านแม่ของพวกเขาทันทีที่สองพี่น้องเห็นก็เบิกตาถลนกว้าง พวกเขาห่างท่านแม่ไม่ถึงหนึ่งเค่อกับมีเด็กชายร่างอวบอ้วนราวห้าขวบ มาคลอเคลียออดอ้อนออเซาะมารดาพวกเขา เยี่ยหยางแทบอยากพุ่งเข้าไปฉุดเจ้าฉงฉงออกไปห่างจากสายตาท่านแม่ของเขาทันที“หยางหยาง เฉิงเอ๋อร์มาแล้ว” หานเฟยหันไปหาผู้ที่เข้ามาใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มกว้างแต่จูเหวินฟงกลับมีสีหน้าย่ำแย่มืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีบุรุษเพศผู้มาแย่งความสนใจจากภรรยาของเขาเพิ่มอีกแล้ว “เสี่ยวฉงนั่งนี่สิลูก” หานเฟยจัดที่นั่งทานอาหารเช้าให้ ข้างขวามือนางเป็นสามีสุดที่รักที่มีสีหน้าราวกับคนถ่ายไม่ออก ข้างซ้ายเป็นเด็กหนุ่มผมขาวนั่งตาใสอย่างฉงหยิ๋น ถัดจากสามีและเสี่ยวฉงเป็นบุตรชายสองคนที่เริ่มปั้นหน้าคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นพ่อฮึ่ม...ฉงฉง / เจ้ากิเลน / เด็กบัดซบ เสียงความคิดของสามบุรุษตระกูลจูบรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าที่มีสีหน้าอึมครึม ไม่สบอารมณ์ของหนุ่ม ๆ กับใบหน้ายิ้มแป้นเล้นของหนึ่งตัว สตรีคนเดียวในวงคีบอาหารให้ทุกคนกันอย่างท
หลังจากได้กลิ่นหอมฟุ้งปลุกตื่น จูงจมูกพวกเขามาที่ครัว ทำให้ทราบว่าผู้ที่ปรุงอาหารเลิศรส คือนายใหญ่แห่งเหวินชาและสัตว์เทวะของเจ้านาย ที่พวกเขามีโอกาสได้เห็นเป็นบุญตา “ใกล้แล้วหยางหยาง” เสี่ยวฉงตอบกลับ มันชิมรสชาติที่แก้ไขด้วยความพอใจ แล้วหันไปรับกระทะจากพ่อครัวคนหนึ่งยกขึ้นเตา อ้าปากตนเองพ่นลูกไฟเร่งความร้อนจนไฟโหมแรง มือถือตะหลิวพลิกกลับผัดผักไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหล่าลูกศิษย์ต่างเก็บรายละเอียดกันทุกเม็ด แม้แต่ท่วงท่าก็ยังเรียนรู้ที่จะเลียนแบบตาม “ดี” เยี่ยหยางมองอาหารที่เตรียมด้วยตัวเองด้วยความพึงพอใจ ที่เขาเตรียมทุกอย่างได้สมบูรณ์ เมื่อวานเย็นเขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมอาหารมื้อแรกของครอบครัวด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้จึงเหมาะสมมากนัก อาหารหกเจ็ดอย่างถูกปรุงขึ้น โดยดัดแปลงสูตรและวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด ให้มีรสชาติของอาหารที่ระนาบมนตราและที่นี่ “จิงหลิง เจ้าควบคุมอุณหภูมิให้ดี เพิ่มความร้อนอีกหน่อย” “ขอรับนายท่าน” จิงหลิงจิตวิญญาณของสรรพาวุธที่สูงส่ง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างแข็งขันตามที่มันเคยเอ่ยบอก หน้าที่ของมันตั้งแต่ได้เจ้านายมา คืองานครัว การเป็นภาชนะเครื่องครัวตามที่นายท่านต้อ
พวกเขาคุยเล่นกันสักพักใหญ่จนผ่านยามจื่อมาครึ่งชั่วยามแล้ว ตาของท่านแม่จะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แต่ก็ยังไม่ยอมนอน เยี่ยหยางจึงร่ายเวทหลับใหลให้ท่านแม่น้องชายได้พักผ่อน เพราะท่าทีของทั้งสองคนคืนนี้ คงตั้งใจพูดคุยทั้งราตรี ไม่หลับไม่นอนแน่นอน เฉิงเยว่เองพลังเวทพึ่งปะทุ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อน ไม่อย่างงั้นแกนเวทอาจเสียหายได้เนื่องจากยังไม่สมบูรณ์ ท่านแม่เองก็เดินทางมาไกล แถมเจอเรื่องวิวาทอีก ร่างกายคงเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เขามองทั้งสองคนหลับจนสนิทแล้ว จึงเดินไปหาบิดาผู้เปล่าเปี่ยวนอนตาค้าง เพราะขาดเมียรักข้างกาย เฮ้อ...ท่านพ่อนอนเถอะ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ คาถาหลับใหลกำลังถูกร่ายใส่จูเหวินฟงที่นอนไม่หลับ เพราะขาดคนข้างกายอีกทั้งแปลกที่แปลกทาง แต่เมื่อเห็นบิดาเข้าห้วงนิทราเขาก็ยกเลิกคาถา อีกทั้งตอนนี้เงียบสงบนัก เหมาะกับการตรวจสอบร่างกายท่านพ่ออย่างละเอียดอีกครั้ง เยี่ยหยางร่ายคาถาเวท เพราะคิดถึงคำเตือนที่เผิงเหล่ยพูดถึงพิษที่ยังอยู่ในร่างบิดา นี่มัน…พิษกลืนวิญญาณ พิษกลืนวิญญาณเป็นพิษร้ายแรงที่กัดกร่อนร่างกายของผู้ต้องพิษ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ตามปริมาณที่ได้รับ หัวใจจะ
เยี่ยหยางไม่รู้ว่าวิธีตรวจสอบแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ เพราะดูยากที่จะเชื่อถือ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกับที่ยืนยันกับเฉิงเยว่แสดงให้บิดาเห็น ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านพ่อลืมเรื่องราวในระนาบมนตราสิ้นจากท่าทีที่แสดงออก เขาจึงขอเวลาในการฟื้นฟูความทรงจำของพวกท่านที่ลืมเลือนอย่างช้า ๆ ไม่ให้เกิดผลกระทบใด ๆ ดีที่น้องชายบอกกล่าวเรื่องทั้งหมดมาก่อน แล้วเขาก็เห็นแล้วว่าพวกท่านจำอะไรไม่ได้จริง ไม่ได้ทำอะไรผลีผลามใช้เวทมนตร์ จนกระตุ้นพลังเวทของพวกท่านทั้ง ๆ ร่างกายบาดเจ็บสายตาสี่คู่มองหยดเลือดสองหยดที่ค่อย ๆ รวมกันเป็นเม็ดใหญ่รอยอยู่ในภาชนะเป็นหนึ่งเดียว ไม่แตกแยก ไม่ตกตะกอนนอนก้น ซึ่งหมายความว่าเยี่ยหยางเป็นบุตรชายของจูเหวินฟง หรือจูเหวินฟง คือ มู่หรงหลงหมิง คือ แมทธิว วินเซอร์ “ฮือ ๆ หยางหยางลูกแม่” จูเหวินฟงเห็นเมียรักน้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจ กอดรับขวัญบุตรชายคนโต? พลางฟังลูกชายคนเล็ก? เล่าเรื่องราวที่รับรู้มาจากพี่ชายตัวเอง เขาเห็นทีไม่เชื่อจะไม่ได้ ลูกเมียเห่อคนเป็นพี่ชายลูกชายสักขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมรับลูกคนนี้หรอกยังอยู่ในช่วงประเมินคุณภาพ ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก
ท่านพ่อ คืนนี้ข้าขอยืมเมียท่านกอดสักคืนนะ เยี่ยหยางที่ถูกน้องชายที่น่ารักจู่โจม ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก วันนี้เขาถูกแก้ผ้ามาสองครั้งสองคราภายในวันเดียวกัน ทำไมเฉิงเยว่เปลื้องผ้าผู้คนได้คล่องมือเช่นนี้ น้องชายเขาไปฝึกปรือถอดผ้าจากผู้ใด เห็นทีเขาต้องเข้มงวดคัดกรองน้องสะใภ้ให้ดีแล้วล่ะ หญิงสาวเดินเข้าไปหาลูกชายที่หายสาบสูญ ลูบใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเป็นส่วนใหญ่อย่างคิดถึงสุดหัวใจของคนที่เป็นมารดาจะให้บุตรได้ “หยางหยาง” หานเฟยจำได้เพียงปานแดงและชื่อเล่นที่เอ่ยเรียกลูกชายเท่านั้น เยี่ยหยางได้ยินมารดาเรียกหาตัวเอง ก็โผเข้าอ้อมกอดมารดาเหมือนเด็กน้อย “ท่านแม่” ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่เข้มงวดเสมอ เพราะด้วยสถานการณ์ของระนาบมนตราในตอนนั้น ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ ก็ไม่เคยได้รับอ้อมกอดของคนเป็นพ่ออีกเลย มีแต่คำสั่งสอน คำดุด่าให้เขาได้เตรียมพร้อมรับมือกับสงครามที่พร้อมปะทุตลอดเวลา มีเพียงท่านแม่ที่เป็นคนให้กำลังใจเขา ปลอบโยนโอบกอดเขา และบอกเสมอว่าท่านพ่อที่ไม่แสดงออกมา ก็รักเขาเหมือนกัน คนตัวโตที่กลายเป็นเด็กเกือบจะน้ำตาร่วง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นบิดาที่จ้องเขม็งก็หยุดชะงัก เร







