ณ จวนอู๋อ๋อง
ขันทีอ้ายมาถึงในเวลาไม่นานและประกาศราชโองการแต่งงานในวันพรุ่งนี้ให้อู๋อ๋องรับทราบ ก่อนจะขอทูลลากลับวังหลวงไป เพราะกลัวสายตาดุร้ายของอู๋อ๋องที่ถูกมัดมือชกให้แต่งงานแก้เคล็ดกับบุตรีอนุจวนเสนาบดีกรมโยธา
“ท่านอ๋องแน่ใจหรือว่าจะรับราชโองการนี้ เหตุใดพระองค์ไม่ปฏิเสธไปเล่า”
“ฮึ! เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะยอมรับได้หรือ? ในเมื่อพระองค์ทรงเชื่อว่าการแต่งงานแก้เคล็ดครั้งนี้จะช่วยให้ข้าหายได้” หยางชิงหลงกล่าวอย่างเย็นชา
“แต่อย่างไรฝ่าบาทก็โปรดปรานพระองค์ที่สุดนะพะย่ะค่ะ หากพระองค์ต้องการแต่งกับบุตรีเสนาบดีคนใด ฮ่องเต้ก็คงไม่ปฏิเสธแน่ แต่นี่พระองค์กลับยอมแต่งงานกับสตรีที่เป็นเพียงบุตรีอนุเท่านั้น แบบนี้จะไม่เป็นการดูถูกจวนอู๋อ๋องหรือพะย่ะค่ะ”
“ช่างเถิด แต่งกับใครก็ไม่ต่างกัน เจ้าก็รู้ดีว่าพิษของข้าร้ายแรงแค่ไหน เสนาบดีซินก็แค่อยากได้ทรัพย์สินของข้าเท่านั้น จึงได้กล้าส่งบุตรีอนุผู้นี้เข้ามา”
“เสนาบดีซินช่างใฝ่สูงนัก คิดหรือว่าหากสิ้นพระองค์แล้วจะได้ทรัพย์สินพวกนี้”
“ปล่อยให้เขาฝันหวานต่อไป อย่างไรข้าก็เขียนแจกแจงทรัพย์สินทั้งหมดเอาไว้นานแล้วตั้งแต่ถูกพิษ ไม่มีส่วนใดที่นางและเสนาบดีซินจะได้รับหรอก”
“เจ้าบอกพ่อบ้านให้เตรียมงานแต่งงานธรรมดาก็พอ ส่วนการกราบไหว้ฟ้าดินก็ให้นำไก่มาไหว้กับนางแทนก็แล้วกัน ข้าไม่อยากเห็นหน้านาง”
“พะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมจะไปแจ้งพ่อบ้านให้” องครักษ์เหลยรีบรับคำ
“เจ้าไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“พะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
หยางชิงหลงมองตามหลังเหลยเปาไปอย่างครุ่นคิด เขาไม่รู้ว่าผู้ที่เสด็จพ่อให้แต่งเข้ามานั้นจะยินยอมเองหรือถูกบังคับ อย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดกับนางได้แต่แรก ในจวนอ๋องนี้ก็มีสายลับของขุนนางและองค์ชายทั้งหลาย พระองค์ไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาตกตายไปพร้อมกับตนเอง อำนาจทหารในมือของพระองค์นั้นยังคงมีอยู่มาก ทำให้ฮ่องเต้ยังคงให้เกียรติพระองค์อยู่ไม่ต่างจากเมื่อก่อน มีเพียงเหล่าขุนนางและคนในราชวงศ์เท่านั้นที่ชอบกล่าววาจาดูถูกพระองค์
รุ่งเช้าวันต่อมา
พ่อบ้านจวนอ๋องสั่งแม่สื่อให้เป็นตัวแทนไปรับตัวเจ้าสาวมาที่จวนอู๋อ๋อง ส่วนเจ้าของจวนนั้นไม่ยอมออกมาจากห้องแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่คิดจะไปรบกวนอู๋อ๋อง ในเมื่อองครักษ์เหลยสั่งการเขาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
ณ จวนเสนาบดีซิน ซินเมี่ยวถูกปลุกตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดที่สุดตามประเพณี แม่ของนางยังมาหวีผมให้นางเพื่ออวยพรก่อนที่นางจะต้องสวมเครื่องประดับหลังจากแต่งตัวแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว
“จากนี้ไปเจ้าเป็นถึงพระชายาของอู๋อ๋อง จงทำตัวให้ดี อย่าทำให้จวนเสนาบดีขายหน้าเล่า เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“ฮึก… ท่านแม่ก็รู้ว่าข้ารักพี่กู่ เหตุใดพวกท่านต้องบังคับข้าด้วย”
“ความรักของเจ้าไม่มีประโยชน์อันใด แต่หากเจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องนั้นจะมีประโยชน์กับพ่อของเจ้ามากกว่า แม่เองก็จะได้ไม่ถูกกลั่นแกล้งอีก เจ้าไม่ดีใจหรือ?”
“ใช่ว่าข้าจะไม่ดีใจเรื่องของท่านแม่ เพียงแต่…”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว แม่เชื่อว่าพ่อของเจ้าจะต้องสืบที่มาที่ไปของกู่อันคนนั้นแล้วจึงได้ทำเช่นนี้ เจ้าอย่าเชื่อวาจาหวานหูของเขานักเลย”
ซินเมี่ยวทำได้แค่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่ากู่อันคนรักของนางเป็นคนไม่ดี ในเมื่อนางจะต้องแต่งเข้าจวนอ๋อง ชีวิตที่เหลือของนางคงไม่ต่างจากการเป็นม่าย ซินเมี่ยวจึงคิดที่จะตายหลังจากทุกคนออกจากห้องของนาง เพื่อให้ทุกคนรู้ว่านางนั้นไม่เต็มใจแต่งงานจริง ๆ
ซินเมี่ยวถูกปิดหน้าและนั่งรอเวลาที่ขบวนรับเจ้าสาวจะมาถึงหน้าจวนในอีกไม่นานนี้แล้ว นางไม่รู้ว่าหลังออกจากจวนเสนาบดีจะต้องพบเจอเรื่องใดบ้าง นางเคยได้ยินข่าวว่าอู๋อ๋องผู้นี้ดุร้ายนัก ถึงแม้นางจะได้แต่งเข้าไปเป็นพระชายาแต่ในนาม นางก็ไม่ต้องการ นางอยากให้ทุกคนรู้ว่านางรักกู่อันจากใจจริง นางยอมตายแต่ไม่ยอมให้ตนเองเป็นภรรยาผู้อื่นนอกจากกู่อัน
หลังจากเตรียมตัวเจ้าสาวเสร็จแล้ว บ่าวไพร่และแม่ของซินเมี่ยวก็ออกไปจากห้องเพื่อรอรับขบวนเจ้าบ่าว เหลือเพียงนางที่นั่งอยู่บนเตียงคนเดียว ซินเมี่ยวตัดสินใจในทันใดหลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน นางวิ่งชนกำแพงห้องอย่างแรงจนเลือดสีแดงสดไหลออกมาจำนวนมากผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงที่นางปิดเอาไว้ สติของซินเมี่ยวดับลงไปในเวลาไม่นาน นางได้แต่คิดอย่างพอใจว่าตนเองได้หลุดพ้นไปจากโลกนี้แล้ว และไม่ต้องแบกรับความเสียใจที่ต้องพรากจากคนรักอีก
วิญญาณของโจวเมี่ยวเมี่ยวถูกดึงเข้าสู่ร่างของซินเมี่ยวที่เพิ่งหมดลมหายใจไปในทันที ตอนนี้โจวเมี่ยวเมี่ยวยังไม่ได้สติดีนัก นางกำลังวนเวียนอยู่ในความฝันของหญิงผู้หนึ่งที่มีหน้าตางดงามไม่ต่างจากนางในชาติก่อนนัก
บ่าวผู้หนึ่งที่ได้รับคำสั่งให้นำอาหารมาให้ซินเมี่ยวก่อนออกเรือนเปิดห้องเข้ามาเห็นร่างของซินเมี่ยวนอนอยู่บนพื้นและยังมีเลือดออกที่ผ้าปิดหน้าจำนวนมากนองอยู่ที่พื้น นางกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและตกใจจนทำถาดอาหารหล่นเกลื่อนพื้นไปหมด
แม่บ้านใหญ่ที่กำลังมาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งได้ยินเสียงพอดีจึงรีบเดินเข้าไปดู พอเห็นภาพตรงหน้า นางจึงรีบสั่งบ่าวให้ไปตามหมอมาก่อนที่จะถึงฤกษ์แต่งงานในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามข้างหน้า
จวนเสนาบดีเกิดความวุ่นวายขึ้นในทันที ทุกคนต่างร้อนใจที่เห็นซินเมี่ยวฆ่าตัวตายก่อนจะออกเรือนเช่นนี้ หากนางไม่ยอมออกเรือนไปตามพระราชโองการ ทุกคนในจวนเสนาบดีจะต้องได้รับโทษเป็นแน่ หมอถูกเรียกมาในเวลาไม่นาน หลังจากตรวจสอบอาการและทำแผลเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเงยหน้าบอกอาการแก่เสนาบดีซินที่ยืนรออยู่ข้างเตียง
“ตอนนี้เลือดของนางหยุดไหลแล้ว คงทำได้แค่รอให้นางฟื้นขึ้นมาเท่านั้นขอรับ”
“ท่านไม่มีทางอื่นแล้วหรือ? เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่ขบวนรับเจ้าสาวจะมาถึง”
“เฮ้อ ท่านเสนาบดี หากข้าฝังเข็มให้นางตื่นขึ้นมาก็จะมีผลกระทบกับบาดแผลของนางนะขอรับ”
“ข้าไม่สนใจ เจ้าต้องทำให้นางตื่นขึ้นมาโดยเร็วเท่านั้น!”
“ขอรับ ๆ” หมอได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจและเริ่มฝังเข็ม
โจวเมี่ยวเมี่ยวที่รับรู้ถึงความทรงจำของซินเมี่ยว รวมถึงคำพูดของเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินก่อนนางจะตายในชาติก่อนก็เข้าใจทันทีว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในร่างใหม่เสียแล้ว ถึงแม้หัวของนางจะยังปวดตุบ ๆ จากบาดแผลอยู่ แต่นางก็รีบลืมตาขึ้นมาเพื่อไม่ให้หมอมีโอกาสฝังเข็มจนร่างกายนี้มีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก ซินเมี่ยวคนใหม่ได้แต่ให้สัญญากับตนเองว่านางจะต้องทำความดีในชาตินี้ให้มากที่สุด เริ่มต้นด้วยการแต่งงานกับท่านอ๋องพิการผู้นี้
“โอ๊ะ! นางฟื้นแล้วขอรับ ไม่ต้องฝังเข็มแล้ว” หมอกล่าวอย่างดีใจ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเมี่ยวเอ๋อ? เหตุใดจึงต้องคิดสั้นเช่นนี้ พ่อบอกแล้วอย่างไรว่าทั้งหมดนั้นพ่อทำเพื่อเจ้า พ่อไม่อยากให้เจ้าถูกกู่อันนั่นหลอกอีกต่อไป”
“อ่า… ท่านพ่อ..เป็นข้าที่โง่เขลาเองเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าขอกินข้าวกินยาแก้ปวดหัวก่อนได้ไหมเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นหากขบวนรับเจ้าสาวมาถึงแล้วจะไม่ทัน”
“โอ้ ได้สิ ๆ พ่อลืมไป พวกเจ้า! เร็วเข้า! รีบไปนำอาหารกับต้มยาให้คุณหนู”
กลางดึกคืนนั้น กลุ่มโจรมากกว่าห้าร้อยคนล้อมรอบพื้นที่ตั้งกระโจมเอาไว้อย่างแน่นหนา พวกเขาเฝ้ามองดูก่อนหน้านี้มาตลอดจนรู้ว่ายากที่จะเข้าไปจับกุมตัวผู้นำขบวนเอาไว้ได้ เนื่องจากกระโจมนั้นอยู่ตรงกลาง ยากต่อการจู่โจม พวกเขาจึงคิดที่จะปล้นเสบียงและเงินทองที่อยู่ชั้นนอกแทน“พวกเจ้าเตรียมจัดการทหารเฝ้าเวรพวกนั้นก่อน เราค่อยบุกเข้าไปทีละชั้น”“ท่านหัวหน้าแน่ใจหรือขอรับ ข้ากลัวว่าพวกมันจะมีแผนการดักซุ่มรอเราอยู่”“เพ้ย! เจ้าเชื่อข้าเถอะน่า ป่านนี้พวกมันที่เหนื่อยจากการเดินทางคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกันไปนานแล้ว ขบวนใหญ่ขนาดนี้ข้าก็เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก พวกมันไม่น่าจะระมัดระวังมากนักหรอก” หัวหน้าโจรกล่าวอย่างไม่กลัวแม้แต่น้อย อย่างไรเขาก็ดักปล้นพ่อค้ารวมทั้งยังรับคำสั่งฆ่าจากเจ้าเมืองเสวียนมาตลอดหลายปี ถึงแม้จะถูกจับได้ อย่างไรเจ้าเมืองเสวียนก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเขาแน่“ไป!” หัวหน้าโจรสั่งลูกน้องเสียงดังไปทั่วบริเวณ
ขบวนเดินทางของไท่จื่อไม่ได้เร่งรีบไปยังเมืองเสวียนมากนัก พระองค์ยังส่งทหารนำรายงานเกี่ยวกับเมืองจ้วงจีกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อถวายฝ่าบาท ส่วนการเดินทางครั้งนี้มีการหยุดพักบ่อยขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนท้องของซินเมี่ยวที่กำลังโตขึ้นทุกวันและเข้าสู่เดือนที่หกของการตั้งครรภ์“เสด็จพี่ไม่ต้องพักบ่อยขนาดนี้ก็ได้เพคะ เรายังต้องเดินทางไปอีกหลายเมืองเพื่อช่วยเหลือราษฎรนะเพคะ” ซินเมี่ยวอดจะบ่นพระสวามีไม่ได้“นั่นจะได้อย่างไร หมอหลวงก็บอกอยู่ว่าไม่ให้เดินทางต่อเนื่องมากนัก ไม่เช่นนั้นเจ้าที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในรถม้าจนขยับเขยื้อนลำบากจะไม่สบายเอาได้”“เสด็จพี่ลืมไปหรือเปล่าเพคะว่าน้องก็มีพลังปราณ เรื่องแค่นี้ไม่กระทบร่างกายของน้องหรอกเพคะ พวกเรารีบเดินทางจะดีกว่า พักแค่ก่อนค่ำเหมือนเคยก็ได้แล้ว”“เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่สบายตัวต้องรีบบอกพี่เข้าใจหรือไม่”“หม่อมฉันเข
ยามเว่ย ไท่จื่อก็สั่งให้ออกเดินทางโดยที่ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านทำล้อลากสำหรับกรงขังเสือเพื่อลากกลับไปยังเมืองจ้วงจี เสือทั้งหมดเมื่อฟื้นตื่นคราแรกต่างตกใจจนร้องขู่เสียงดัง ซินเมี่ยวที่ไม่ได้หวาดกลัวพวกมันจึงเดินเข้าไปใช้พลังปราณกดข่มพวกมันและคุยกับพวกมันดี ๆ เพื่อปลอบโยน จนไม่นานนักหลังจากนางส่งเนื้อย่างที่ชาวบ้านทำเอาไว้ให้พวกมันทั้งครอบครัวกินจนอิ่มหนำ เสือทั้งหมดที่อยู่ในกรงต่างก็เชื่องเชื่อลงไม่น้อย พวกมันพากันนอนหมอบปล่อยให้องครักษ์ขี่ม้าลากพวกมันติดตามไปอย่างเงียบ ๆองครักษ์สี่นายเมื่อกลับถึงเมืองจ้วงจี พวกเขาแยกทางกับรถม้าของไท่จื่อเพื่อนำเสือกลับไปยังค่ายทหารตามคำสั่ง พวกเขายังได้รับคำสั่งให้พาพ่อครัวหลวงกับช่างฝีมือที่ติดตามขบวนมาด้วยกลับไปยังจวนไท่จื่อภายในเมือง เพราะหยางชิงหลงอยากให้ช่างฝีมือไปสอนการผลิตสิ่งของจากไม้ไผ่ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน ระหว่างที่ต้องรอผลการปรับปรุงดินว่าดินแบบใดเหมาะที่จะเพาะปลูกซุนเหยาที่ขับรถม้าให้ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยกลับไปยังจวนก็รับคำสั่งไท่จื่อเฟยให้ออกไปซื้อของส
ในป่าอีกด้านหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อย ไท่จื่อเห็นว่ามีหมูป่ากับกวางป่าจำนวนมาก พระองค์จึงให้องครักษ์ล่าหมูป่าไปให้ผู้ใหญ่บ้านสักตัวสองตัว ส่วนซินเมี่ยวเองก็ใช้อาวุธลับล่ากวางป่าตัวหนึ่งเช่นกันหลังจากล่าสัตว์ได้มากถึงสามตัวแล้ว ทุกคนจึงลงจากเขาไปพร้อมกับสัตว์ทั้งสามตัวที่องครักษ์ช่วยกันหามลงจากภูเขาพร้อมรอยยิ้มเมื่อไปถึงบ้านผู้ใหญ่บ้าน องครักษ์มอบสัตว์ทั้งสามตัวให้กับเขาเพื่อแจกจ่ายชาวบ้านนำไปทำอาหารกินกัน ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยนั่งดื่มชาสนทนาเรื่องที่พบบนภูเขาที่สงสัยกับผู้ใหญ่บ้านที่เรียกชาวบ้านมาจัดการสัตว์ทั้งสามตัว“เหตุใดจึงไม่มีชาวบ้านขึ้นเขาไปเก็บหน่อไม้มาทำอาหารหรือผู้ใหญ่บ้าน”“พวกเราไม่กล้าขึ้นไปถึงที่นั่นเพราะหวาดกลัวสัตว์ป่า เคยมีชาวบ้านขึ้นไปถึงแล้วบาดเจ็บกลับมาเพราะมีเสืออยู่บนภูเขาพะย่ะค่ะ”“อืม เช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะขึ้นเขาไปจัดการเสือให้พวกเจ้า หลังจากนี้จะได้ขึ้นเขา
ไท่จื่อเลือกเรือนสามประสานแห่งหนึ่งไม่ไกลจากจวนเจ้าเมือง ถึงราคาจะดูสูงไปสักหน่อยแต่ก็นับว่าเหมาะสมสำหรับตำแหน่งของพระองค์ในขณะนี้ ซินเมี่ยวเองก็พอใจเช่นกัน นางคิดว่ากว่าจะจัดการเรื่องที่เมืองนี้เสร็จน่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน การมีจวนเป็นของตนเองนับว่าสะดวกมากกว่าจริง ๆซินเมี่ยวจ่ายเงินค่าจวนไป 1,200 ตำลึง โดยไม่ได้คิดมากอันใด ในเมื่อจวนนี้ใกล้กับจวนเจ้าเมือง เรื่องการรักษาความปลอดภัยจึงไม่ต้องกังวลมากนัก“เรากลับจวนก่อน เจ้าเตรียมข้อมูลและเรื่องเดินทางไปยังพื้นที่พรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกัน”“พะย่ะค่ะไท่จื่อ กระหม่อมจะส่งคนไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปพบพระองค์ที่จวนพะย่ะค่ะ”ไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยเดินทางกลับไปยังจวนใหม่ของพวกพระองค์ โดยมีซุนเหยานำทางไป องครักษ์บางส่วนได้รับเงินให้ไปซื้ออาหารสดมาให้ไท่จื่อเฟยทำอาหารเช่นเคย ส่วนสิ่งของในจวนนั้นไม่มีสิ่งใดจะต้องซื้อเพิ่ม เพราะเจ้าเมืองบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าเครื่องเรือ
ขบวนของอู๋อ๋องหยุดพักตั้งค่ายที่นอกเมืองจ้วงจีห่างจากประตูเมือง 30 ลี้เพื่อไม่ให้ชาวเมืองแตกตื่น ซินเมี่ยวที่ท้องโตขึ้นทุกวันก็นอนบ่อยมากขึ้น อู๋อ๋องถึงแม้จะสงสารพระชายาแต่ก็ไม่อาจห้ามนางไม่ให้ติดตามมาด้วยได้ฉางกงกงที่ตอนนี้เข้าไปพักในจวนเจ้าเมืองได้สองวันยังไม่ทราบข่าวการมาถึงของอู๋อ๋อง แต่เขาก็สั่งให้องครักษ์ไปเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตูเมืองเพื่อจะได้อ่านราชโองการให้เจ้าเมืองและชาวเมืองได้รับทราบโชคดีที่เจ้าเมืองจ้วงจีไม่ใช่ขุนนางเลว ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวเมืองไม่ได้ยากจนมากนัก มีเพียงพวกเกียจคร้านที่ไม่ทำงานทำการเท่านั้นที่คอยลักเล็กขโมยน้อยหรือไม่ก็ไปก่อกวนคนในครอบครัวจนเกิดการฟ้องร้องหลายครั้งรุ่งเช้าวันต่อมา อู๋อ๋องพาซินเมี่ยวกับองครักษ์ 10 คน เดินทางเข้าไปยังเมืองจ้วงจีเหมือนที่ทำกับทุกเมืองก่อนหน้านี้เพื่อตรวจสอบความเป็นอยู่ของราษฎร พระองค์มองด้านข้างทางก็พบว่าชาวเมืองสีหน้ามีความสุข ไม่เหมือนเมืองอื่น ๆฉางกงกงที่ได้รับรายงานว่าเห็นขบวนพ่อค้าคล