ข่าวการทำลายหุบเขาพิษแพร่ไปทั่วแคว้นในเวลาต่อมา ศิษย์หญิงทั้ง 12 ได้แต่เศร้าโศกกับการจากไปของอาจารย์พวกนาง พวกนางต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศทางเพื่อไม่ให้มีคนตามหาพบตามคำสั่งเสียของอาจารย์ อีกทั้งยังหาชายชาวบ้านแต่งงานตามคำสั่งด้วย สามีของพวกนางต่างดีกับพวกนางไม่น้อย ทำให้พวกนางนั้นมีความสุขไปจนถึงบั้นปลายชีวิต ส่วนวิชาพิษนั้น พวกนางต่างเขียนตำราเอาไว้ให้ลูกสาวของตนเท่านั้น
แคว้นหยางในอีก 100 ปีต่อมา
วิญญาณของโจวเมี่ยวเมี่ยวที่ล่องลอยอยู่อย่างไม่รู้ว่าเมื่อไหร่การล่องลอยนี้จะสิ้นสุดลงเสียที นางคิดว่านางจะต้องตกนรกแต่แรกแล้ว พอนางได้สติหลังสิ้นใจไปในครั้งนั้น วิญญาณของนางกลับอยู่ในห้วงเวลาใดก็ไม่อาจทราบและล่องลอยอยู่เช่นนี้มานานจนนางไม่อาจนับเวลาได้ กระทั่งสติของนางจู่ ๆ ก็ดับวูบลงอีกครั้ง
ซินเมี่ยว บุตรอนุของจวนเสนาบดีกรมโยธา นางถูกบังคับให้แต่งงานเข้าจวนอู๋อ๋องเพื่อแก้เคล็ด เนื่องจากอู๋อ๋องที่เคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นได้รับพิษปริศนาที่ไม่มีหมอหลวงคนใดรักษาได้ พระองค์ทำได้เพียงใช้พลังลมปราณอันสูงส่งกดดันพิษให้ไปรวมอยู่ที่ขาทั้งสองข้างแทนการที่จะปล่อยให้พิษแพร่กระจายไปทั่วร่างจนตกตายไปนานถึงสองปีแล้ว
ฮ่องเต้ที่รักบุตรชายฮองเฮามากเจ็บปวดใจและส่งคนออกตามหาหมอเทวดาแต่ก็ไม่พบเสียที พระองค์จึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาในวันประชุมเสนาบดีในวันหนึ่ง
“พวกเจ้ามีวิธีใดที่พอจะช่วยอู๋อ๋องได้บ้าง ตอนนี้เรายังหาตัวหมอเทวดาไม่พบ”
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมเคยได้ยินว่าหากแต่งงานแก้เคล็ดอาจจะพอยืดระยะเวลาไปได้อีกสักหลายปีพะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมพิธีการกล่าว
“เช่นนั้นเราจะให้ใครแต่งกับอู๋อ๋องเล่า ในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว”
เหล่าเสนาบดีและขุนนางต่างหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แน่นอนว่าพวกเขาไม่อยากให้บุตรีในจวนไปแต่งกับคนพิการที่ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน แต่จู่ ๆ เสนาบดีกรมโยธาซินเซิงกลับก้าวออกมาพร้อมกับกราบทูลรายงาน
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีบุตรีอนุคนหนึ่งชื่อซินเมี่ยว แต่ฐานะนางต้อยต่ำ”
“นั่นไม่เป็นไร ขอเพียงนางเต็มใจแต่งเข้าจวนอู๋อ๋องเราก็พอใจแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่สามารถเลือกพระชายาที่ตนพึงใจได้ด้วยตนเอง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หลังจบการประชุม กระหม่อมจะเตรียมการเรื่องสินเดิมให้นางโดยเร็วพะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินถอยกลับเข้าไปยืนที่เดิม
“ดี ดี ขันทีอ้าย หลังจบการประชุมเจ้าจงไปประกาศราชโองการที่จวนเสนาบดีซินด้วยตัวเองเสีย วันนี้จบการประชุมเพียงเท่านี้ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำงานเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลาพะย่ะค่ะ”
เสนาบดีและขุนนางทั้งหมดกล่าวส่งเสด็จฮ่องเต้พร้อมกัน พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเสนาบดีซินจะกล้าให้บุตรีอนุแต่งเข้าจวนอู๋อ๋อง ถึงแม้ว่าอำนาจของอู๋อ๋องมีไม่น้อยก็ตามที แต่ตอนนี้เขาเป็นคนพิการ ไม่สามารถทำงานใหญ่ใดให้แคว้นได้ ได้แต่อยู่ในจวนอ๋องไปวัน ๆ อย่างไร้เป้าหมาย
“นี่ เสนาบดีซิน เหตุใดท่านจึงต้องให้บุตรีเข้าไปทนทุกข์อยู่ที่จวนอ๋องเล่า” เสนาบดีกรมอาญาที่สนิทกันรีบเอ่ยถามอย่างสงสัยใจ
“เฮ้อ อย่างไรนางก็เป็นเพียงบุตรอนุของข้า การจะหาสามีดี ๆ ให้นางคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยนางแต่งเข้าไปในจวนอ๋องก็ยังดีกว่าไปแต่งกับบัณฑิตยากจนที่นางชอบนั่นล่ะนะ” เสนาบดีซินกล่าวพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หืม? ในเมื่อบุตรีของท่านมีคนรักแล้ว เหตุใดจะต้องพรากพวกเขาจากกันด้วยเล่า”
“ท่านไม่รู้อะไร ข้าให้คนไปสืบมาแล้ว บัณฑิตผู้นั้นคิดจะใช้นางมาเป็นข้อต่อรองเพื่อให้ข้าช่วยเหลือเรื่องหน้าที่การงาน ข้ามีหรือจะรู้ไม่เท่าทันเรื่องเช่นนี้”
“อ้อ ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แล้วท่านไม่กลัวว่านางจะโกรธท่านหรือไร”
“ฮึ! นางเป็นเพียงบุตรีอนุ จะมีความสามารถอันใดกันเล่า โกรธข้าแล้วอย่างไร แค่นางได้เข้าจวนอ๋องก็นับเป็นบุญวาสนาของนางแล้ว”
เสนาบดีทั้งสองคุยไปเดินไปจนกระทั่งแยกกันที่หน้าประตูวังหลวง เสนาบดีซินรีบขึ้นรถม้ากลับจวนเพื่อไปแจ้งข่าวให้กับอนุของเขาและยังต้องให้ฮูหยินเอกเตรียมสินเดิมเพิ่มให้นางสักเล็กน้อยไม่ให้เสียหน้าจวนเสนาบดีของเขา
“ท่านพี่ เหตุใดต้องให้สินเดิมนางเพิ่มด้วยเล่าเจ้าคะ แม่ของนางเป็นเพียงสาวใช้”
“เพ้ย! นี่นางได้แต่งเข้าจวนอ๋องนะ เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไว้ที่ใดหากสินเดิมไม่มี”
“ข้าไม่จัด! ท่านให้พ่อบ้านของท่านจัดการให้นางเองก็แล้วกัน แค่แต่งกับอ๋องพิการเพื่อแก้เคล็ดจะอะไรนักหนา” ฮูหยินใหญ่ผู้เอาแต่ใจไม่ยอมทำตามสามีสั่งง่าย ๆ
“ได้! พ่อบ้าน! ไปจัดเตรียมสินเดิมให้คุณหนูสามอย่าให้น้อยหน้าบุตรีคนอื่น จำไว้ว่านางแต่งเข้าจวนอ๋อง หากข้าเสียหน้าขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะลงโทษเจ้า”
“ขอรับ นายท่าน บ่าวจะไปจัดการตามที่ท่านต้องการ” พ่อบ้านค้อมศรีษะก่อนจะจากไปเปิดคลังของจวนเพื่อเลือกสินเดิมให้กับซินเมี่ยว
ปัง!!!
“ท่านจะทำเกินไปแล้วนะท่านพี่! เหตุใดจะต้องให้สินเดิมนางเทียบเท่ากับบุตรีของข้าด้วยเล่า” ฮูหยินเอกขึ้นเสียงใส่สามี
“นี่มันเป็นเรื่องของข้า! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมจัดการ ข้าก็ต้องจัดการเอง เจ้าไปบอกบ่าวให้เรียกทุกคนมารวมกันที่นี่เสีย อีกไม่นานราชโองการจะมาถึงแล้ว”
ฮูหยินเอกได้แต่ฮึดฮัดออกคำสั่งกับสาวใช้คนสนิทให้ไปแจ้งข่าวคนในเรือนอื่น ๆ ให้ทราบโดยทั่วกัน นางยังคงนั่งทำหน้าตาบึ้งตึงใส่เสนาบดีซินด้วยความไม่พอใจที่เห็นสามีลำเอียงให้สินเดิมบุตรีอนุเช่นนี้
เสนาบดีซินไม่สนใจฮูหยินเอกที่ทำตัวเช่นนี้ หลายปีมานี้เขาเคยชินกับความเอาแต่ใจและอารมณ์แปรปรวนของนางแล้ว ปกติซินเซิงชอบไปพักผ่อนที่เรือนฮูหยินรองกับเหล่าอนุมากกว่าที่จะมายังเรือนของฮูหยินเอกผู้นี้
หลังจากผ่านไปสองเค่อ ในห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มารอรับราชโองการแล้ว เสนาบดีซินออกคำสั่งให้ซินเมี่ยวมาคุยกับเขา
“ซินเมี่ยว หลังเจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องแล้วจะต้องทำตัวให้ดีรู้หรือไม่ ข้าหาสามีที่ดีที่สุดให้เจ้าได้เพียงเท่านี้ ส่วนบัณฑิตนั่นเจ้าก็เลิกติดต่อกับเขาเสีย เขาไม่ใช่คนดี”
“ฮือ… เหตุใดท่านพ่อจึงทำกับข้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อก็รู้ว่าข้ากับพี่กู่คบกันมานานมากแล้ว ขอเพียงเขาเข้าสอบอีกครั้งแล้วผ่าน เขาก็จะมาสู่ขอข้า ฮึก..”
“ฮึ! เรื่องนั้นเจ้าเลิกหวังไปเลย ข้ามีหรือจะไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ที่เขามาคบหากับเจ้าก็เพียงเพื่อให้ข้าสนับสนุนเขาในการสอบที่จะถึงนี้เท่านั้น เจ้าคิดว่าพ่อโง่เหมือนเจ้าหรือไรกัน ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าเพียงเตรียมตัวแต่งเข้าจวนอ๋องในวันพรุ่งนี้พอ”
“ฮือ… ท่านพ่อ ข้าไม่อยากแต่งงานกับท่านอ๋องพิการ”
ปัง!!!
“เจ้าอย่าพูดถึงท่านอ๋องเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอู๋อ๋องได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากแค่ไหน ไม่เช่นนั้นข้าจะกล้าส่งเจ้าเข้าไปในจวนอู๋อ๋องได้อย่างไร หาสิ้นอู๋อ๋องเมื่อไหร่ เจ้าก็ได้ครอบครองทุกอย่างในจวนอ๋อง นี่ยังไม่ดีอีกหรือ!”
ซินเมี่ยวได้แต่ร้องไห้เสียใจที่ท่านพ่อของนางทำกับนางเช่นนี้ ส่วนแม่ของนางก็ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นมาแต่ไหนแต่ไร ชีวิตในจวนนี้ของนางกับแม่ใช่ว่าจะดีอะไรนัก พวกนางไม่ต่างจากบ่าวไพร่ในเรือนเลยแม้แต่น้อย แถมยังถูกบรรดาฮูหยินและอนุที่มีเงินทองคอยทำร้ายมาตลอด ทั้งที่นางคิดว่าอีกไม่นานจะได้แต่งงานกับคนที่รักแล้วออกจากจวนแห่งนี้ไปพร้อมท่านแม่ แต่ตอนนี้นางไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีกต่อไปแล้ว นางไม่มีหน้าไปบอกพี่กู่ของนางเรื่องนี้
เมื่อขันทีอ้ายมาถึงจวนเสนาบดี เขาประกาศราชโองการอย่างไม่รีรอและยังแสดงความยินดีกับเสนาบดีซินก่อนจากไปแจ้งที่จวนอู๋อ๋องด้วย
ขบวนของไท่จื่อมาถึงหน้าพระราชวังในเวลาต่อมา ก่อนที่พระองค์จะอุ้มไท่จื่อน้อยและจับมือไท่จื่อเฟยเดินเข้างานไปพร้อมขันที นางกำนัลอีกสี่คนที่มาคอยรับใช้ไท่จื่อน้อยติดตามเข้าไปด้วยระหว่างทางเดินไปยังที่นั่งด้านหน้า ขุนนางและครอบครัวต่างทำความเคารพไท่จื่อและไท่จื่อเฟยเสียงดังไปทั่วงานเลี้ยง ถึงแม้บุตรีขุนนางจะยังมีความคิดอยากเข้าจวนไท่จื่ออยู่หลายคน แต่พวกนางเองก็ไม่กล้าแสดงออกมากไปนัก ทุกคนต่างรู้ดีว่าในสายพระเนตรของไท่จื่อนั้นมีเพียงไท่จื่อเฟย พวกนางจึงต้องเก็บงำความคิดไม่ดีเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกนางคงลากครอบครัวลงน้ำไปด้วยเป็นแน่ ใครไม่รู้บ้างว่าฝ่าบาทรักไท่จื่อมากเพียงใด“พวกท่านตามสบายเถอะ งานเลี้ยงครั้งนี้เสด็จพ่อเพียงแค่อยากร่วมสนุกกับทุกคนเท่านั้น พวกท่านอย่าได้กังวลเกินไป” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ/เพคะ” ทุกคนรีบกล่าวพร้อมกัน“น้องหญิง เจ้ารีบไปนั่งพักก่อนเถอะ ประเดี๋ยว
สามเดือนต่อมาอาการป่วยหนักของชาวเมืองตงหยางที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นผู้ที่เคยป่วยมีสุขภาพดีไม่ต่างจากคนทั่วไปแล้ว ถึงแม้อาการจะไม่หายขาดแต่ก็ทำให้พวกเขาอ้วนท้วนมากขึ้นและอาการไอไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ส่วนการพัฒนาเมืองหลังจากนี้นั้น จื้อไฉ่เจ้าเมืองตงหยางก็ถวายแผนงานให้ไท่จื่อรับทราบและเริ่มปฏิบัติมาได้เดือนกว่าแล้วหยางชิงหลงเห็นว่าเมืองตงหยางในตอนนี้สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข พระองค์จึงกำหนดวันเดินทางไปยังเมืองอื่นเพื่อดูแลสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรต่อไป แน่นอนว่าซินเมี่ยวและไท่จื่อน้อยก็จะติดตามพระองค์ไปด้วยเช่นกัน พวกเขาสามพ่อแม่ลูกไม่มีทางที่จะแยกกันเดินทางจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้นหนึ่งปีต่อมาขบวนเดินทางของไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยและไท่จื่อน้อยกลับถึงเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่พร้อมความสำเร็จในการช่วยเหลือราษฎรตามเมืองต่าง ๆ ชื่อเสียงของทั้งสองพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้น จากพระเมตตาที่มีให้แก่ราษฎร
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมอหลวงออกตามหาสมุนไพรที่จำเป็นพร้อมทหารตามภูเขาใกล้เคียงเมืองตงหยางแทบจะวันเว้นวัน ไท่จื่อยังส่งทหารส่วนหนึ่งไปตามหายังภูเขาห่างออกไป กว่าที่พวกเขาจะพบสมุนไพรที่จำเป็นก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน ส่วนอาการของผู้ป่วยที่มาทดลองรักษาทั้ง 10 คนนั้น หลังจากฝังเข็มเพื่อไล่พิษจากปอดรอยาสมุนไพรอยู่ก็มีอาการดีขึ้น พวกเขาไม่ไอบ่อยเท่าที่เคยเป็นและนอนหลับสนิทมากขึ้นจึงทำให้ระบบภายในร่างกายที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนเนื่องจากอาการไอนั้นเริ่มกลับมาทำงานได้ดีขึ้นมากซินเมี่ยวที่เลี้ยงลูกในกระโจมมาตลอดหนึ่งเดือน ตอนนี้นางสามารถออกนอกกระโจมได้แล้ว นางจึงเริ่มไปตรวจสอบดูสมุนไพรที่หมอหลวงและทหารไปช่วยกันหามาว่าถูกชนิดหรือไม่ จากนั้นจึงปรุงยาให้ผู้ป่วยลองกินดูในแต่ละวันซินเมี่ยวจะตรวจชีพจรเพื่อติดตามผลว่าปอดของผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่ายาทั้งสามที่นางคิดค้นขึ้นช่วยบรรเทาอาการและเสริมความแข็งแกร่งให้ปอดที่เสียหายได้ ซินเมี่ยวจึงสั่งให้ทหารออกไปตามหาสมุนไพรมาเพิ่มเพื่อที่จะได้ให้หมอหลวงเข้าไปรักษาผู้ป่
สายวันต่อมา หยางชิงหลงได้รับแจ้งจากทหารว่าเจ้าเมืองตงหยางกับฮูหยินขอเข้าเฝ้า พระองค์ที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยให้หลับหลังดื่มนมอยู่พยักหน้าอนุญาต ให้พวกเขาเข้ามาพบได้ อย่างไรวันนี้พระองค์ก็ยังไม่อยากเข้าเมืองไปสอบถามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาของราษฎรในช่วงที่บุตรชายเพิ่งคลอดสักเท่าไหร่นัก“ถวายบังคมไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยพะย่ะค่ะ/เพคะ” จื้อไฉ่กับฮูหยินค้อมกายคำนับทั้งสองพระองค์ที่นั่งรออยู่พร้อมไท่จื่อน้อยในอ้อมแขนไท่จื่ออย่างนอบน้อม“พวกท่านตามสบายเถิด เชิญนั่งก่อน” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“กระหม่อมนำของรับขวัญไท่จื่อน้อยมามอบให้พะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีกับไท่จื่อและไท่จื่อเฟยด้วยพะย่ะค่ะ” จื้อไฉ่ยื่นกล่องของขวัญให้ซุนเหยาที่อยู่ในกระโจมเพื่อนำไปมอบให้ไท่จื่อเฟยดูแทนไท่จื่อที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยอยู่“ขอบใจพวกเจ้ามาก เรื่องเมืองตงหยางที่มีปัญหาสุขภาพ เราให้หมอหลวงช่วยกันหาวิธีรักษาอยู่ ท่านเจ้าเมืองพาราษฎรที่ป่วยหนั
รุ่งเช้าวันต่อมา เหล่าหมอหลวงมาขอพบไท่จื่อเฟยเพื่อพูดคุยเรื่องขั้นตอนการรักษาชาวเมืองอย่างเคร่งเครียด จนกระทั่งเที่ยงวัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทานอาหารและปล่อยให้ซินเมี่ยวกินข้าวกับหยางชิงหลงในกระโจม“น้องหญิงอย่าหักโหมงานมากนะ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะคลอดแล้ว พี่ไม่อยากให้เจ้าเครียดเกินไปนัก” หยางชิงหลงตรัสระหว่างคีบอาหารให้ซินเมี่ยว“ทราบแล้วเพคะ เสด็จพี่อย่ากังวลเลย น้องรู้ดีว่าต้องพักผ่อนให้มากเพคะ”หลังอาหารเที่ยง หยางชิงหลงเดินไปยังกระโจมของเหล่าหมอหลวงเพื่อสอบถามถึงขั้นตอนการรักษาต่อ พระองค์จะได้สั่งให้องครักษ์เข้าไปแจ้งเจ้าเมืองให้เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม เพราะในขบวนของพระองค์ถึงจะมีสมุนไพรอยู่บ้าง แต่ก็ถูกใช้ไปมากแล้วก่อนหน้านี้ หากต้องไปหาซื้อยังเมืองอื่นก็คงต้องใช้เวลาเดินทางอีกมากซินเมี่ยวนั่งอ่านตำรารอให้อาหารย่อยเกือบครึ่งชั่วยาม ก่อนที่นางจะนอนพักผ่อนรอทานอาหารเย็นและออกไปเดินเล่นกับหยางชิงหลงเหมือนทุกวัน
สองวันต่อมา ต้วนฟางเหยาส่งรายงานสรุปปัญหาออกมาเป็นข้อ ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เขาคิดขึ้นมา หยางชิงหลงและซินเมี่ยวนั่งอ่านรายงานอย่างละเอียดก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นับว่าต้วนฟางเหยาทำงานได้ดีสมกับที่ฝ่าบาทส่งมาช่วยเหลือราษฎรจริง ๆ“วิธีการแก้ไขปัญหาของเจ้าเหมาะสมแล้ว เราอนุญาตให้ดำเนินการได้ ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องการก็สามารถเบิกได้กับองครักษ์ซุนเหยา” ไท่จื่อตรัส“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำเรื่องเบิกกับท่านซุนเหยาตามรับสั่ง”“เจ้าเมืองต้วน ที่ค่ายทหารนอกเมืองของเรามีต้นอ่อนสมุนไพรรักษาบาดแผล ท่านลองดูว่ามีหมู่บ้านใดที่เหมาะสมจะปลูกเป็นอาชีพและส่งออกไปยังเมืองอื่นด้วยก็แล้วกันนะ เราอยากให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นนอกจากการทำเกษตร”“พะย่ะค่ะไท่จื่อเฟย เรื่องนี้กระหม่อมจะปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านและมารายงานให้พระองค์ทราบอีกครั้ง”ทั้งสองพระองค์ต่างพยักหน้าอย่างพอใจกับการทำงาน