โจวเมี่ยวเมี่ยวที่ไม่ได้ปรุงยาพิษมานานมากแล้วไม่รู้เรื่องในหุบเขาเลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ศิษย์สายตรงของนางที่ทราบเรื่องจากศิษย์รับใช้กลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างยุ่งยากใจ หากสมุนไพรพิษถูกนำไปใช้มากเกินไป ความปลอดภัยภายในหุบเขาก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย
“เจ้าคิดว่าเราควรบอกเรื่องนี้กับท่านอาจารย์หรือไม่?” ลี่ฮวาถามเพื่อน ๆ
“ข้าว่าเรารอดูเหตุการณ์อีกสักพักดีไหม?” จิงฟางกล่าว
“แล้วถ้ารอต่อไปจนสมุนไพรพิษในหุบเขาไม่สามารถเกิดทันเช่นนี้ ความปลอดภัยของคนในหุบเขาจะเป็นอย่างไรเล่า” เป่าจู้เอ่ยอย่างหนักใจ
“เฮ้อ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้กันนะ ทั้งที่พวกเราก็กำชับให้ใช้สมุนไพรแค่ที่จำเป็นสำหรับปรุงยาเท่านั้น” ชุนหยานกล่าว
“เกิดเป็นคนย่อมต้องมีความโลภ พวกเจ้าอย่าคิดว่าทุกคนจะคิดเหมือนพวกเราสิ เพื่อเงินแค่เล็กน้อยจากยาพิษ พวกเขาจึงได้ทำเช่นนี้” ซูฉินกล่าว
“หรือเราจะไล่พวกเขาลงจากเขาไปเลยดี?” หยูเฟินให้ความเห็นบ้าง
“นั่นคงยากที่จะทำ ในเมื่อพวกเรารับพวกเขามาด้วยตนเองแล้ว มีหรือคนเหล่านั้นจะยอมลงเขาไปโดยไม่ได้สิ่งใดกลับไปบ้างน่ะ” ลี่ฮวากล่าว
“มานึกเสียใจตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปสินะ ในเมื่อเรื่องนี้พวกเราเป็นคนก่อ เราก็ต้องช่วยกันแก้ไขเอง จะให้อาจารย์ลำบากไม่ได้” ฉิวจู้ออกความเห็นบ้าง
“หากบอกพวกเขาดี ๆ ไม่ได้ ข้าจะฆ่าพวกเขาเสีย” ซูฉินกล่าวอย่างเย็นชา
ศิษย์ทั้ง 12 ต่างตกลงกันในที่สุดว่าจะเตือนพวกเขาด้วยวาจาก่อน หากว่าพวกเขาไม่ทำตามข้อกำหนดแล้วก็ทำได้แค่ฆ่าไก่ให้ลิงดูเท่านั้น พวกนางเชื่อว่าหากเห็นว่าพวกนางเอาจริง คนที่เหลือคงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งอีก
หลังจากพวกนางให้ศิษย์รับใช้ไปแจ้งคำสั่งแล้ว แต่กลับพบว่ายังมีคนฝ่าฝืนอยู่จริง ๆ พวกนางก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าคนพวกนั้นและยึดยาพิษทั้งหมดกลับมา ทำให้คนที่เหลืออยู่ในสำนักต่างไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งอีกต่อไป แต่ถึงแม้จะหยุดการเก็บสมุนไพรที่มากเกินไปได้ก็ตาม สมุนไพรในหุบเขาพิษที่เสียไปนั้นก็มีจำนวนมากเกินกว่าที่จะปกป้องทางขึ้นลงหุบเขาได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ภายนอกหุบเขาที่ผู้คนต่างระดมกำลังช่วยกันตามหาต้นตอคนขายยาพิษได้รับเบาะแสเรื่องนี้กันบ้างแล้ว หลังจากต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งปีเพื่อตามหาเบาะแสพวกนี้ พวกเขาส่งคนแอบติดตามจนทราบว่าพ่อค้าคนกลางไปได้ยาพิษมาจากใคร พวกเขาจับคนขายมาสอบสวนอย่างหนัก มีหลายคนที่ยอมตายไม่ยอมบอกที่มาเพราะพวกเขายังสำนึกในบุญคุณของอาจารย์อยู่ แต่กลับมีศิษย์นอกบางคนที่ทนการทรมานไม่ไหวแล้วบอกที่อยู่ของหุบเขาพิษออกไป
เมื่อทราบที่อยู่ของหุบเขาพิษแล้ว เหล่าเจ้าสำนักและจอมยุทธ์จำนวนมากที่ลำบากหาที่มาของพิษต่างไปรวมตัวกันที่สำนักเส้าหลินเพื่อวางแผนทำลายหุบเขานี้เสียในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นคงมีคนต้องตกตายเพราะพิษร้ายเหล่านี้ไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่ พวกเขารู้ดีว่าคนที่ถูกพิษบางคนก็สมควรตาย แต่การมีพิษร้ายมากมายกระจายไปทั่วแคว้นนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า คนดี ๆ ถูกฆ่าด้วยพิษจากศัตรูไปก็มากเช่นกัน ดังนั้นการรวมตัวในครั้งนี้เพื่อกำจัดสำนักพิษจึงเกิดขึ้น
“ท่านเจ้าอาวาสคิดว่าเราควรเดินทางไปยังหุบเขาพิษเมื่อใดดีขอรับ” เจ้าสำนักกระบี่แห่งหนึ่งในแคว้นถามขึ้นเป็นคนแรก
“รอให้รวบรวมคนได้มากกว่านี้เสียก่อนดีหรือไม่? พวกเรายังไม่รู้เลยว่าที่นั่นจะมีคนมากน้อยเพียงใด อีกอย่างพิษพวกนี้ช่างร้ายกาจนัก หากมีคนถูกพิษเข้าคงไม่รอดกลับมากันเป็นแน่” เจ้าอาวาสกล่าว
“ที่ท่านพูดก็ถูกนะขอรับ แต่ข้าคิดว่าเราหายาแก้พิษกันก่อนดีหรือไม่? ข้าได้ยินว่ามีคนขายยาถอนพิษเหล่านี้อยู่ด้วยขอรับ หากเราได้มาก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะต้องตาย”
“เจ้าสำนักหยางพูดถูก เราคงต้องรวบรวมยาแก้พิษมาให้ได้มากที่สุดเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครล้มตายจากพิษเหล่านี้อีก” เจ้าสำนักเฟยเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นก็เอาตามที่พวกท่านว่า ให้ศิษย์ของแต่ละสำนักออกตามหาคนขายยาแก้พิษให้ได้มากที่สุดเสียก่อนเราค่อยออกเดินทาง” เจ้าอาวาสกล่าว
เหล่าเจ้าสำนักต่างรับคำเจ้าอาวาสโดยพร้อมเพรียงกันเสียงดัง พวกเขานำเงินที่มีอยู่มอบให้ศิษย์สำนักของตนกระจายตัวไปซื้อยาแก้พิษมาในทันที ส่วนพวกเขานั้นจะยังพักอยู่ที่วัดเส้าหลินเพื่อรอออกเดินทางไปยังหุบเขาพิษพร้อมกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหลังจากได้ยาแก้พิษ
ด้านหุบเขาพิษพอได้ข่าวว่ามีคนกว้านซื้อยาแก้พิษไปจำนวนมากก็ต่างแปลกใจไม่น้อย เหล่าศิษย์สายตรงของโจวเมี่ยวเมี่ยวปรึกษาหารือกันก่อนจะเร่งผลิตยาแก้พิษออกไปขายในตลาดเพราะคิดว่าน่าจะมีคนในสำนักก่อเรื่อง พวกนางจึงอยากทำยาแก้พิษออกไปไถ่โทษ แต่กว่าที่พวกนางจะรู้ว่ายาแก้พิษเหล่านั้นถูกนำมาใช้เพื่อฆ่าศิษย์ของพวกนาง เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว
ศิษย์ในหุบเขาที่ได้รับคำสั่งให้เร่งผลิตยาแก้พิษต่างช่วยกันทำอย่างขะมักเขม้นเช่นกัน พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดเหล่าอาจารย์จึงได้เร่งรีบให้ผลิตยาแก้พิษออกไปขายเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของอาจารย์ พวกเขาก็ไม่กล้าขัด
สำนักฝ่ายธรรมะที่รวมตัวกันอยู่ที่วัดเส้าหลินได้รับข่าวในอีกสามวันต่อมาว่ามีคนนำยาแก้พิษจำนวนมากออกมาขายก็เปลี่ยนวันเวลาเดินทางไปยังหุบเขาพิษอีกครั้ง พวกเขาจะรอจนกว่าจะกว้านซื้อยาแก้พิษมาได้ทั้งหมดเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายาแก้พิษพวกนี้จะใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดี
กว่าที่พวกเขาจะเตรียมยาทั้งหมดเสร็จสิ้นสำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมปราบปรามคนจากหุบเขาพิษก็ใช้เวลากว่าครึ่งเดือนเลยทีเดียว จำนวนคนที่อาสาไปรบในครั้งนี้มีมากกว่าหนึ่งพันคน ทุกคนต่างได้รับการแจกจ่ายยาแก้พิษหลากหลายชนิดเอาไว้ป้องกันตัวก่อนออกเดินทางจากวัดเส้าหลิน
คนของวัดเส้าหลินนั้นเดินทางไปเพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น พวกเขาต่างมีฝีมือเทียบเท่ากับเจ้าสำนักอื่น ๆ และรองเจ้าสำนักเท่านั้น วัดเส้าหลินจึงไม่จำเป็นจะต้องนำคนไปมากมายนัก ยิ่งกับเจ้าสำนักที่มีฝีมือนับว่าเก่งกาจที่สุดในยุทธภพ พวกเขามั่นใจว่าการไปปราบปรามคนจากหุบเขาพิษจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาดอย่างแน่นอน
ศิษย์ทั้ง 12 ของโจวเมี่ยวเมี่ยวต่างดีใจที่ยาถอนพิษที่พวกนางสั่งศิษย์เร่งผลิตออกมาทำเงินได้จำนวนมาก พวกนางรายงานเรื่องนี้ต่อโจวเมี่ยวเมี่ยวและซื้อเสบียงอาหารมาไว้ที่หุบเขามากมายเพียงพอสำหรับหนึ่งปีเลยทีเดียว
“เหตุใดพวกเจ้าจึงได้ซื้อเสบียงมาไว้มากมายนักเล่า”
“พวกเราเห็นว่าการให้คนลงเขาบ่อย ๆ จะเกิดอันตรายได้เจ้าค่ะ จึงให้ศิษย์นอกไปซื้อมาเก็บเอาไว้ให้เพียงพอแทน” เยว่เอ๋อกล่าว
“ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ช่างเถิด อย่าลืมทำห้องเก็บเอาไว้ให้ดีเล่า”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
ศิษย์อาจารย์ต่างพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่กว่าที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันไปฝึกฝนวิชาต่อตามที่โจวเมี่ยวเมี่ยวให้คำแนะนำ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
กลุ่มของจอมยุทธ์ทั่วแคว้นพันกว่าคนมาถึงตีนหุบเขาพิษแล้ว พวกเขาพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์ที่สุดก่อนหนึ่งวัน คนของหุบเขาพิษที่คิดจะลงเขาไปขายยาเห็นคนจำนวนมากอยู่ก็รีบขึ้นไปแจ้งข่าวบนเขาทันที
“ท่านอาจารย์ แย่แล้วขอรับ ที่ตีนเขามีคนกว่าพันคนพักอยู่ขอรับ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม แต่ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะมาดีขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งรีบวิ่งไปรายงานซิ่วหลาน
“หืม? เหตุใดจึงมีคนมามากมายนักเล่า เจ้ารีบส่งคนไปแจ้งอาจารย์คนอื่น ๆ และส่งคนไปเฝ้าดูสถานการณ์ที่ตีนเขาก่อน ข้าจะรีบไปรายงานท่านเจ้าสำนัก”
“ขอรับท่านอาจารย์”
ขบวนของไท่จื่อมาถึงหน้าพระราชวังในเวลาต่อมา ก่อนที่พระองค์จะอุ้มไท่จื่อน้อยและจับมือไท่จื่อเฟยเดินเข้างานไปพร้อมขันที นางกำนัลอีกสี่คนที่มาคอยรับใช้ไท่จื่อน้อยติดตามเข้าไปด้วยระหว่างทางเดินไปยังที่นั่งด้านหน้า ขุนนางและครอบครัวต่างทำความเคารพไท่จื่อและไท่จื่อเฟยเสียงดังไปทั่วงานเลี้ยง ถึงแม้บุตรีขุนนางจะยังมีความคิดอยากเข้าจวนไท่จื่ออยู่หลายคน แต่พวกนางเองก็ไม่กล้าแสดงออกมากไปนัก ทุกคนต่างรู้ดีว่าในสายพระเนตรของไท่จื่อนั้นมีเพียงไท่จื่อเฟย พวกนางจึงต้องเก็บงำความคิดไม่ดีเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกนางคงลากครอบครัวลงน้ำไปด้วยเป็นแน่ ใครไม่รู้บ้างว่าฝ่าบาทรักไท่จื่อมากเพียงใด“พวกท่านตามสบายเถอะ งานเลี้ยงครั้งนี้เสด็จพ่อเพียงแค่อยากร่วมสนุกกับทุกคนเท่านั้น พวกท่านอย่าได้กังวลเกินไป” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ/เพคะ” ทุกคนรีบกล่าวพร้อมกัน“น้องหญิง เจ้ารีบไปนั่งพักก่อนเถอะ ประเดี๋ยว
สามเดือนต่อมาอาการป่วยหนักของชาวเมืองตงหยางที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นผู้ที่เคยป่วยมีสุขภาพดีไม่ต่างจากคนทั่วไปแล้ว ถึงแม้อาการจะไม่หายขาดแต่ก็ทำให้พวกเขาอ้วนท้วนมากขึ้นและอาการไอไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ส่วนการพัฒนาเมืองหลังจากนี้นั้น จื้อไฉ่เจ้าเมืองตงหยางก็ถวายแผนงานให้ไท่จื่อรับทราบและเริ่มปฏิบัติมาได้เดือนกว่าแล้วหยางชิงหลงเห็นว่าเมืองตงหยางในตอนนี้สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข พระองค์จึงกำหนดวันเดินทางไปยังเมืองอื่นเพื่อดูแลสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรต่อไป แน่นอนว่าซินเมี่ยวและไท่จื่อน้อยก็จะติดตามพระองค์ไปด้วยเช่นกัน พวกเขาสามพ่อแม่ลูกไม่มีทางที่จะแยกกันเดินทางจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้นหนึ่งปีต่อมาขบวนเดินทางของไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยและไท่จื่อน้อยกลับถึงเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่พร้อมความสำเร็จในการช่วยเหลือราษฎรตามเมืองต่าง ๆ ชื่อเสียงของทั้งสองพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้น จากพระเมตตาที่มีให้แก่ราษฎร
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมอหลวงออกตามหาสมุนไพรที่จำเป็นพร้อมทหารตามภูเขาใกล้เคียงเมืองตงหยางแทบจะวันเว้นวัน ไท่จื่อยังส่งทหารส่วนหนึ่งไปตามหายังภูเขาห่างออกไป กว่าที่พวกเขาจะพบสมุนไพรที่จำเป็นก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน ส่วนอาการของผู้ป่วยที่มาทดลองรักษาทั้ง 10 คนนั้น หลังจากฝังเข็มเพื่อไล่พิษจากปอดรอยาสมุนไพรอยู่ก็มีอาการดีขึ้น พวกเขาไม่ไอบ่อยเท่าที่เคยเป็นและนอนหลับสนิทมากขึ้นจึงทำให้ระบบภายในร่างกายที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนเนื่องจากอาการไอนั้นเริ่มกลับมาทำงานได้ดีขึ้นมากซินเมี่ยวที่เลี้ยงลูกในกระโจมมาตลอดหนึ่งเดือน ตอนนี้นางสามารถออกนอกกระโจมได้แล้ว นางจึงเริ่มไปตรวจสอบดูสมุนไพรที่หมอหลวงและทหารไปช่วยกันหามาว่าถูกชนิดหรือไม่ จากนั้นจึงปรุงยาให้ผู้ป่วยลองกินดูในแต่ละวันซินเมี่ยวจะตรวจชีพจรเพื่อติดตามผลว่าปอดของผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่ายาทั้งสามที่นางคิดค้นขึ้นช่วยบรรเทาอาการและเสริมความแข็งแกร่งให้ปอดที่เสียหายได้ ซินเมี่ยวจึงสั่งให้ทหารออกไปตามหาสมุนไพรมาเพิ่มเพื่อที่จะได้ให้หมอหลวงเข้าไปรักษาผู้ป่
สายวันต่อมา หยางชิงหลงได้รับแจ้งจากทหารว่าเจ้าเมืองตงหยางกับฮูหยินขอเข้าเฝ้า พระองค์ที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยให้หลับหลังดื่มนมอยู่พยักหน้าอนุญาต ให้พวกเขาเข้ามาพบได้ อย่างไรวันนี้พระองค์ก็ยังไม่อยากเข้าเมืองไปสอบถามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาของราษฎรในช่วงที่บุตรชายเพิ่งคลอดสักเท่าไหร่นัก“ถวายบังคมไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยพะย่ะค่ะ/เพคะ” จื้อไฉ่กับฮูหยินค้อมกายคำนับทั้งสองพระองค์ที่นั่งรออยู่พร้อมไท่จื่อน้อยในอ้อมแขนไท่จื่ออย่างนอบน้อม“พวกท่านตามสบายเถิด เชิญนั่งก่อน” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“กระหม่อมนำของรับขวัญไท่จื่อน้อยมามอบให้พะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีกับไท่จื่อและไท่จื่อเฟยด้วยพะย่ะค่ะ” จื้อไฉ่ยื่นกล่องของขวัญให้ซุนเหยาที่อยู่ในกระโจมเพื่อนำไปมอบให้ไท่จื่อเฟยดูแทนไท่จื่อที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยอยู่“ขอบใจพวกเจ้ามาก เรื่องเมืองตงหยางที่มีปัญหาสุขภาพ เราให้หมอหลวงช่วยกันหาวิธีรักษาอยู่ ท่านเจ้าเมืองพาราษฎรที่ป่วยหนั
รุ่งเช้าวันต่อมา เหล่าหมอหลวงมาขอพบไท่จื่อเฟยเพื่อพูดคุยเรื่องขั้นตอนการรักษาชาวเมืองอย่างเคร่งเครียด จนกระทั่งเที่ยงวัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทานอาหารและปล่อยให้ซินเมี่ยวกินข้าวกับหยางชิงหลงในกระโจม“น้องหญิงอย่าหักโหมงานมากนะ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะคลอดแล้ว พี่ไม่อยากให้เจ้าเครียดเกินไปนัก” หยางชิงหลงตรัสระหว่างคีบอาหารให้ซินเมี่ยว“ทราบแล้วเพคะ เสด็จพี่อย่ากังวลเลย น้องรู้ดีว่าต้องพักผ่อนให้มากเพคะ”หลังอาหารเที่ยง หยางชิงหลงเดินไปยังกระโจมของเหล่าหมอหลวงเพื่อสอบถามถึงขั้นตอนการรักษาต่อ พระองค์จะได้สั่งให้องครักษ์เข้าไปแจ้งเจ้าเมืองให้เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม เพราะในขบวนของพระองค์ถึงจะมีสมุนไพรอยู่บ้าง แต่ก็ถูกใช้ไปมากแล้วก่อนหน้านี้ หากต้องไปหาซื้อยังเมืองอื่นก็คงต้องใช้เวลาเดินทางอีกมากซินเมี่ยวนั่งอ่านตำรารอให้อาหารย่อยเกือบครึ่งชั่วยาม ก่อนที่นางจะนอนพักผ่อนรอทานอาหารเย็นและออกไปเดินเล่นกับหยางชิงหลงเหมือนทุกวัน
สองวันต่อมา ต้วนฟางเหยาส่งรายงานสรุปปัญหาออกมาเป็นข้อ ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เขาคิดขึ้นมา หยางชิงหลงและซินเมี่ยวนั่งอ่านรายงานอย่างละเอียดก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นับว่าต้วนฟางเหยาทำงานได้ดีสมกับที่ฝ่าบาทส่งมาช่วยเหลือราษฎรจริง ๆ“วิธีการแก้ไขปัญหาของเจ้าเหมาะสมแล้ว เราอนุญาตให้ดำเนินการได้ ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องการก็สามารถเบิกได้กับองครักษ์ซุนเหยา” ไท่จื่อตรัส“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำเรื่องเบิกกับท่านซุนเหยาตามรับสั่ง”“เจ้าเมืองต้วน ที่ค่ายทหารนอกเมืองของเรามีต้นอ่อนสมุนไพรรักษาบาดแผล ท่านลองดูว่ามีหมู่บ้านใดที่เหมาะสมจะปลูกเป็นอาชีพและส่งออกไปยังเมืองอื่นด้วยก็แล้วกันนะ เราอยากให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นนอกจากการทำเกษตร”“พะย่ะค่ะไท่จื่อเฟย เรื่องนี้กระหม่อมจะปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านและมารายงานให้พระองค์ทราบอีกครั้ง”ทั้งสองพระองค์ต่างพยักหน้าอย่างพอใจกับการทำงาน