ทั้งสองแยกย้ายกันไปแจ้งข่าวอย่างรวดเร็ว ซิ่วหลานใช้วิชาตัวเบารีบไปยังกระท่อมด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของโจวเมี่ยวเมี่ยว
“ท่านอาจารย์!!”
“หืม? เจ้าเป็นอันใด เหตุใดจึงได้เสียงดังเช่นนี้เล่า”
“แย่แล้วเจ้าค่ะ! ที่ตีนเขาตอนนี้มีจอมยุทธ์มากกว่าพันคนมาพักอยู่ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพราะเหตุใดเจ้าค่ะ”
“เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน ส่งคนไปวางยาพิษที่ทางขึ้นหุบเขาเสีย หากพวกเขาคิดร้ายกับพวกเราจริง ๆ พวกเขาจะต้องขึ้นเขามาแน่ ตอนนี้เจ้ารีบสั่งคนไปป้องกันไว้”
“เจ้าค่ะอาจารย์ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ซิ่วหลานรีบคำนับอาจารย์และจากไป
โจวเมี่ยวเมี่ยวนั่งจิบชาคิดว่าเหตุใดจึงมีจอมยุทธ์มากมายมาที่นี่ แถมพวกเขายังไม่คิดจะปิดบังการมาแม้แต่น้อย โจวเมี่ยวเมี่ยวไม่อยากให้ศิษย์ของนางล้มตายหลังจากที่นางสั่งสอนมาอย่างยากลำบาก การส่งคนไปวางยาพิษตามทางเป็นแค่แผนการป้องกันเท่านั้น หากนางต้องการให้ศิษย์ของนางปลอดภัย นางจะต้องส่งพวกเขาหลบออกจากหุบเขาพิษแห่งนี้โดยเร็ว ส่วนนางนั้นไม่ต้องการจากลูกชายนางไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะอยู่กับลูกของนางที่นี่
บนหุบเขาพิษตอนนี้ผู้คนต่างวุ่นวายไปหมด คำสั่งให้วางยาพิษตามทางขึ้นหุบเขาแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์ของโจวเมี่ยวเมี่ยวทั้ง 12 หลังสั่งการแล้วก็มารวมตัวกันที่กระท่อมของโจวเมี่ยวเมี่ยวในช่วงค่ำ
“อาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ” หยูเฟินถามอย่างกังวล
“ข้าอยากให้พวกเจ้าหลบหนีไปทางหลังเขาเสีย เจ้าคงจำได้ว่าภูเขาอีกลูกไม่ห่างจากที่นี่อุดมสมบูรณ์นัก ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องตกตายอยู่ที่นี่กับข้า” โจวเมี่ยวเมี่ยวยิ้มอย่างอาทรให้ศิษย์ทั้งหมด
“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านอาจารย์ หากจะไปเราต้องไปด้วยกันเจ้าค่ะ” เป่าจู้รีบค้าน
“ข้าก็ไม่ไปเจ้าค่ะ หากอาจารย์จะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ด้วย” จิงฟางกล่าว
“พวกเจ้าอย่าได้ดื้อดึง ข้าสั่งสอนพวกเจ้ามาหลายปี เห็นพวกเจ้าเหมือนดั่งบุตรหลาน ใยข้าจะไม่อยากปกป้องพวกเจ้าเล่า”
“ฮึก… อาจารย์… ข้าไม่อยากไปจากท่าน” ฉิวจู้กล่าวไปร้องไห้ไป
“ฮือ… ข้าก็ไม่อยากไป” หยูเฟินกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวจึงร้องไห้อีกคน
“เฮ้อ พวกเจ้าอย่าร้อง นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของข้า จงเก็บข้าวของแล้วรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดเสีย ส่วนศิษย์นอกพวกนั้นอย่าได้ใส่ใจ พวกเขาก่อเรื่องจนพวกเราถูกคนภายนอกเห็นว่าเป็นสำนักมารไปแล้ว ข้าไม่อยากให้พวกเขาใช้วิชาที่พวกเจ้าสั่งสอนทำร้ายคนอีกต่อไป รีบไปซะ!” โจวเมี่ยวเมี่ยวส่งสายตานิ่งเรียบมองกวาดไปยังศิษย์ที่นางรักตรงหน้า
ศิษย์ทั้งหมดต่างหลั่งน้ำตาอย่างเศร้าโศก เป็นพวกนางที่อยากช่วยเหลือคนพวกนั้นจนทำร้ายอาจารย์เข้าในวันนี้ ทั้งที่ไม่อยากจากไป แต่นี่เป็นคำสั่งของอาจารย์ผู้เปรียบเสมือนแม่ของพวกนาง
“ฮึก… ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งอาจารย์ พวกเราจะทำตามเจ้าค่ะ ข้าขออภัยที่ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณของท่านได้อีกต่อไป” ซูจินสะอึกสะอื้นกล่าวทั้งน้ำตา
“เอาล่ะ ๆ ข้าเข้าใจพวกเจ้าดี หลังไปจากที่นี่ จงอย่าคิดรับศิษย์อีก พวกเจ้าจงหาสามีและมีครอบครัวไปเสีย ส่วนเรื่องการถ่ายทอดวิชาให้บุตรหลานพวกเจ้าในอนาคตนั้น ข้าไม่ห้ามหากพวกเจ้าต้องการ แต่จงจำไว้ว่าอย่าได้ใช้ยาพิษทำร้ายคนดีเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งที่ข้าอยากขอร้องพวกเจ้า พวกเจ้ารับปากข้าได้หรือไม่?”
“พวกเรารับปากเจ้าค่ะ” ทั้งหมดรีบรับคำทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มกราบลาโจวเมี่ยวเมี่ยว
“พวกเจ้ารีบไปเถิด อย่าได้ชักช้าและอย่าให้ใครพบเห็นเล่า”
“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์รักษาตัวด้วย”
โจวเมี่ยวเมี่ยวมองส่งศิษย์ทั้งหมดของนางด้วยแววตาชื่นชม นางรู้ดีว่าเด็กเหล่านี้จะไม่กล้าขัดคำสั่งเสียสุดท้ายของนางเป็นแน่ ส่วนศิษย์นอกพวกนั้นนางไม่เคยสนใจความเป็นความตายของพวกเขามาแต่แรกแล้ว
“อาหลาง อีกไม่นานแม่ก็จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้วนะ คืนนี้แม่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่จนกว่าจะเช้า ดีหรือไม่?” โจวเมี่ยวเมี่ยวหันไปทางหลุมศพบุตรชาย
ศิษย์สายตรงของโจวเมี่ยวเมี่ยวเก็บสิ่งของจำเป็นในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่พวกนางจะใช้วิชาตัวเบาลอบออกไปจากที่พักด้านหลังเขาที่อาจารย์เคยพาไปทันที พวกนางไม่คิดจะเสียเวลาตามคำสั่งของอาจารย์ และสัญญาว่าจะหาสามีที่ดีในอนาคต
รุ่งสางวันต่อมา
เหล่าจอมยุทธ์ที่มาต่างกินยาถอนพิษก่อนจะเดินทางตามหลังเจ้าสำนักต่างๆ ขึ้นไปยังหุบเขาพิษ พวกเขาไม่รู้หรอกว่ายาพวกนี้จะช่วยชีวิตพวกเขาได้มากเพียงใด ขอแค่พวกเขาสามารถกำจัดคนบนเขาได้สักคนหนึ่งก็นับว่าช่วยเหลือชาวบ้านที่ต้องตายจากพิษร้ายเหล่านี้ได้ก็พอแล้ว
“ท่านเจ้าอาวาส เราไม่ล้อมหุบเขานี้เอาไว้หรือขอรับ” เจ้าสำนักคนหนึ่งเอ่ย
“อามิตตาพุทธ ข้ากลัวว่าหากล้อมเอาไว้ทั้งหมด ไม่รู้พวกท่านจะถูกพิษกันหรือไม่”
“เรื่องนั้นข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะขอรับ ในเมื่อพวกเรากินยาแก้พิษมาก่อน”
“เช่นนั้นพวกท่านก็สั่งการเถิด ข้าต้องการเพียงกำจัดต้นตอของผู้สร้างพิษร้ายเหล่านี้เท่านั้น หลังจากกำจัดคนเสร็จสิ้น เรายังต้องเผาทำลายสมุนไพรพิษเหล่านี้ด้วย”
“ขอรับท่านเจ้าอาวาส” เหล่าเจ้าสำนักต่างส่งคำสั่งออกไปยังคนของตน
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งหมดทราบถึงคำสั่งนี้แล้วจึงแยกย้ายกันออกไปล้อมรอบหุบเขาพิษเอาไว้และเดินทางขึ้นเขาตามทิศทางที่ตนเองล้อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางขึ้นเขามีจอมยุทธ์บางคนที่ยาแก้พิษนั้นไม่เป็นผล จำต้องรีบลงจากเขาก่อนเพื่อไม่ให้เป็นภาระคนอื่นเกือบหนึ่งร้อยคน แต่จำนวนคนที่ยังคงเดินทางขึ้นไปนั้นก็ยังมีนับพันคนเช่นเดิม พวกเขาเร่งใช้วิชาตัวเบาเพื่อให้ถึงยอดเขาที่คิดว่าน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
ทางด้านเหล่าเจ้าสำนักที่ขึ้นไปถึงก่อนไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกเขาเห็นศิษย์บนเขาก็ฆ่าอย่างไม่ละเว้น เสียงการต่อสู้และเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นทั่วหุบเขา โจวเมี่ยวเมี่ยวได้แต่หลับตาลงอย่างปลดปลง นางไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะไม่ถามไถ่สักคำก็ลงมือ โจวเมี่ยวเมี่ยวได้แต่ขอโทษศิษย์นอกที่ตายไปทั้งหมด
เสียงการต่อสู้ยังคงดังมาเป็นระยะ เพราะศิษย์นอกที่อยู่บนเขานี้มีหลายคนที่เรียนวิชากับศิษย์ของนางมาหลายปีแล้วไม่ยอมลงเขา พวกเขาจึงมีฝีมือไม่น้อย รวมถึงพิษที่ใช้ก็รุนแรงกว่าศิษย์ทั่วไปที่เพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่
“อ๊าก!!! อาจารย์ช่วยด้วย!” เสียงร่ำร้องเรียกหาอาจารย์ของศิษย์นอกดังไปทั่วบริเวณ
“อั่ก!! อาจารย์…” ศิษย์นอกคนหนึ่งถูกดาบแทงเข้าร่างอย่างน่าสงสาร
“พวกเจ้า!! หยุดมือเดี๋ยวนี้!!!”
พรึ่บ! ฟู่ม!!! อ๊าก!!!
ด้วยพลังปราณพิษของโจวเมี่ยวเมี่ยว ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากตายลงภายในพริบตาเดียว จอมยุทธ์หลายคนเห็นฝีมือผู้มาซึ่งมีผมสีม่วง ตาสีม่วงแปลกตาตรงหน้าก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือสูงส่งที่สุดในหุบเขาแห่งนี้ พวกเขารีบถอยกรูดไปด้านหลังเหล่าเจ้าสำนักฝีมือดีในทันใด
“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนบนหุบเขาของข้า!” โจวเมี่ยวเมี่ยวมองกราดไปยังผู้คนจำนวนมากตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
ทั้งสองแยกย้ายกันไปแจ้งข่าวอย่างรวดเร็ว ซิ่วหลานใช้วิชาตัวเบารีบไปยังกระท่อมด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของโจวเมี่ยวเมี่ยว“ท่านอาจารย์!!”“หืม? เจ้าเป็นอันใด เหตุใดจึงได้เสียงดังเช่นนี้เล่า”“แย่แล้วเจ้าค่ะ! ที่ตีนเขาตอนนี้มีจอมยุทธ์มากกว่าพันคนมาพักอยู่ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพราะเหตุใดเจ้าค่ะ”“เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน ส่งคนไปวางยาพิษที่ทางขึ้นหุบเขาเสีย หากพวกเขาคิดร้ายกับพวกเราจริง ๆ พวกเขาจะต้องขึ้นเขามาแน่ ตอนนี้เจ้ารีบสั่งคนไปป้องกันไว้”“เจ้าค่ะอาจารย์ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ซิ่วหลานรีบคำนับอาจารย์และจากไปโจวเมี่ยวเมี่ยวนั่งจิบชาคิดว่าเหตุใดจึงมีจอมยุทธ์มากมายมาที่นี่ แถมพวกเขายังไม่คิดจะปิดบังการมาแม้แต่น้อย โจวเมี่ยวเมี่ยวไม่อยากให้ศิษย์ของนางล้มตายหลังจากที่นางสั่งสอนมาอย่างยากลำบาก การส่งคนไปวางยาพิษตามทางเป็นแค่แผนการป้องกันเท่านั้น ห
โจวเมี่ยวเมี่ยวที่ไม่ได้ปรุงยาพิษมานานมากแล้วไม่รู้เรื่องในหุบเขาเลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ศิษย์สายตรงของนางที่ทราบเรื่องจากศิษย์รับใช้กลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างยุ่งยากใจ หากสมุนไพรพิษถูกนำไปใช้มากเกินไป ความปลอดภัยภายในหุบเขาก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย“เจ้าคิดว่าเราควรบอกเรื่องนี้กับท่านอาจารย์หรือไม่?” ลี่ฮวาถามเพื่อน ๆ“ข้าว่าเรารอดูเหตุการณ์อีกสักพักดีไหม?” จิงฟางกล่าว“แล้วถ้ารอต่อไปจนสมุนไพรพิษในหุบเขาไม่สามารถเกิดทันเช่นนี้ ความปลอดภัยของคนในหุบเขาจะเป็นอย่างไรเล่า” เป่าจู้เอ่ยอย่างหนักใจ“เฮ้อ เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้กันนะ ทั้งที่พวกเราก็กำชับให้ใช้สมุนไพรแค่ที่จำเป็นสำหรับปรุงยาเท่านั้น” ชุนหยานกล่าว“เกิดเป็นคนย่อมต้องมีความโลภ พวกเจ้าอย่าคิดว่าทุกคนจะคิดเหมือนพวกเราสิ เพื่อเงินแค่เล็กน้อยจากยาพิษ พวกเขาจึงได้ทำเช่นนี้” ซูฉินกล่าว&
หนึ่งเดือนต่อมาเหล่าศิษย์ของโจวเมี่ยวเมี่ยวกลับมาพร้อมผู้คนมากมายจนนางตกใจ นางไม่คิดว่าศิษย์ของนางจะนำคนมามากมายเช่นนี้“ท่านอาจารย์ คนเหล่านี้ต้องการเรียนวิชากับพวกเราเจ้าค่ะ เราเห็นว่าพวกเขามีความแค้นและอยู่อย่างยากลำบาก จึงได้พามาสอนสักเล็กน้อยก่อนจะปล่อยพวกเขาจากไปในภายหลัง ไม่ทราบท่านอาจารย์คิดเห็นอย่างไร” ซิ่วหลานเอ่ยถาม“เฮ้อ ในเมื่อพวกเจ้าพามาแล้วก็จัดการกันเอาเองเถิด ข้าอนุญาต”“ขอบพระคุณท่านอาจารย์” ศิษย์ทั้งหมดต่างกล่าวเสียงดังอย่างดีใจโจวเมี่ยวเมี่ยวปล่อยให้พวกนางจัดการคนทั้งหมด ส่วนตัวของนางนั้นเพียงแค่รับเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นที่ลูกศิษย์กตัญญูของนางนำมามอบให้ไปเก็บไว้ในกระท่อมเท่านั้น ความจริงนางอยากอยู่อย่างสงบกับร่างบุตรชาย แต่ในเมื่อศิษย์ของนางต้องการช่วยเหลือคนเหล่านั้น นางเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งภายนอกหุบเขาพิษ ข่าวการตายขอ
หลังจากวางยาครบเจ็ดวัน เหล่าหมอที่ยังคงมาทำการรักษาคนในตระกูลฉินต้องตกใจเมื่อมีคนเริ่มตายไปทีละคนด้วยอาการเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด พวกเขาตรวจร่างที่เพิ่งตายไปก็ไม่พบว่ามีพิษใดอยู่ในร่างแม้แต่น้อย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับหมออย่างพวกเขาที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนตระกูลฉินที่กำลังตายไปทีละคนๆ อย่างทรมานได้เลยข่าวนี้ถูกแพร่ออกไปโดยผู้ช่วยหมอที่มารักษาคนตระกูลฉินในเวลาไม่นานและฮ่องเต้ก็ได้รับรายงานเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงหวาดกลัวมากว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงส่งองครักษ์และหมอหลวงไปตรวจศพคนตระกูลฉินเพื่อความแน่ใจว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไรกันแน่หมอหลวงหลายคนต่างตรวจศพ น้ำและอาหารที่คนในตระกูลฉินกินเข้าไปก็ไม่พบว่ามีพิษแต่อย่างใด ด้วยความจนใจ หมอหลวงได้แต่กลับไปรายงานฮ่องเต้ตามที่พวกเขาตรวจสอบได้ปัง!!!“พวกเจ้าช่างไร้สามารถนัก! หากไม่รู้สาเหตุการตายของคนทั้งตระกูลฉินแบบนี้ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสักวันในวังจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้น่ะ!”“ขอฝ่าบาทได้โปรดระงับอารมณ์พะย่ะค่ะ พวกเราตรวจสอบทุกอย่างแล้วจริง ๆ หากมีการวางยาพิษตามการสันนิษฐานของพวกกระหม่อม นี่ก็นับว่าเป็นพิษที่พิสดารมากพะย่ะค่ะ ตั้งแต่
ห้าปีต่อมาโจวเมี่ยวเมี่ยวที่ฝึกฝนปราณพิษจนมั่นใจแล้วว่าตนเองสามารถฆ่าล้างตระกูลฉินที่เคยทำร้ายนางกับลูกก็เตรียมพิษติดตัวไว้ไม่น้อย ก่อนที่นางจะออกจากหุบเขาพิษ นางไปนั่งที่หน้าหลุมศพลูกชายพร้อมบอกกล่าวกับเขา“อาหลาง ครั้งนี้แม่จะกลับไปแก้แค้นให้เจ้า รอแม่สักพักนะลูก อีกไม่นาน แม่จะกลับมาอยู่ที่นี่กับเจ้า”โจวเมี่ยวเมี่ยวลูบที่ป้ายชื่อหน้าหลุมศพอย่างรักใคร่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้แค้น ถึงแม้นางจะเป็นเพียงผู้หญิงตัวคนเดียว แต่ความมั่นใจในพลังของนางนั้นมีเต็มเปี่ยม การเดินทางครั้งนี้นางจะทำให้พวกมันจดจำไปจนตายว่าการอยู่ไม่สู้ตายเป็นอย่างไรณ จวนตระกูลฉินห้าปีที่ผ่านมาหยินซินหลินตั้งครรภ์ถึงสองครั้งโดยมีลูกชายกับลูกสาวให้แก่ฉินเหยากวง ทำให้ตำแหน่งฮูหยินเอกของนางมั่นคงขึ้น ส่วนฮูหยินรองอย่างเหอเจียวที่ตอนนี้ร่างกายกลับมาแข็งแรงก็ไม่สนใจว่านางจะมีบุตรได้หรือไม่ นางยังคงปรนนิบัติฉินเหยากวงจนเขากลับมาหลงใหลนางอีกครั้ง ถึงแม้หลายปีที่ผ่านมานี้จะมีหญิงสาวหลายคนถูกรับมาเป็นอนุในจวนก็ตามทีตั้งแต่หยินซินหลินมีบุตร นางก็ไม่สนใจว่าในเรือนหลังจะมีการต่อสู้กันเพื่อความโปรดปรานจากฉิ
โจวเมี่ยวเมี่ยวเคยเรียนรู้เรื่องสมุนไพรกับท่านพ่อก่อนแต่งงาน ทำให้นางสามารถรักษาคนและฆ่าคนได้ไม่ยาก อีกทั้งความจริงนางได้ฝึกฝนพลังปราณมาตั้งแต่ยังเด็กกับท่านพ่อ เพียงแต่หลังแต่งงานนางไม่ได้ทำการฝึกฝนต่อ จึงทำให้นางไม่มีพลังมากพอที่จะแก้แค้นแทนลูกชายได้ในตอนนั้นในหุบเขาพิษนี้มีสมุนไพรพิษเป็นจำนวนมาก โจวเมี่ยวเมี่ยวต้องอาบยาพิษทุกวันเพื่อให้ร่างกายทนทานต่อพิษและสามารถปล่อยปราณพิษออกมาได้ นี่เป็นสิ่งที่นางคิดค้นขึ้นมาด้วยตนเอง นางยอมใช้ตัวเองทดลองยาพิษต่าง ๆ โดยไม่กลัวว่าตนเองจะตกตายไปแม้แต่น้อย เพราะความแค้นที่นางมีนั้นใหญ่หลวงนัก ลูกชายคนเดียวของนางที่รักนางที่สุดตายไปแล้ว นางไม่มีหน้าจะกลับไปหาครอบครัวที่ต่างเมือง ชีวิตนางต้องการแค่ทำให้คนในตระกูลฉินตายไปอยู่ในปรโลกเพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณของลูกชายนางเท่านั้นหุบเขาพิษแห่งนี้ไม่มีคนกล้าเข้ามาแต่ไหนแต่ไร ด้วยรู้ดีว่าเพียงก้าวเท้าเข้ามาเพียงชายขอบก็จะมีสมุนไพรพิษทำให้บาดเจ็บล้มตายได้โดยง่าย แต่สำหรับโจวเมี่ยวเมี่ยวที่รู้จักสมุนไพรทั้งหลายดีไม่นับเป็นอะไร นางสามารถเข้ามาอยู่อาศัยในหุบเขานี้อย่างสงบได้ไม่ยาก การทดสอบพิษของนางยังมีความก้าวหน
โจวเมี่ยวเมี่ยวที่เคยอยู่ในครอบครัวหมอ แต่งงานกับบัณฑิตยากจนคนหนึ่งเพราะคิดว่าเขารักนางจริง ๆ ทั้งที่พ่อแม่ของนางไม่เห็นด้วย นางช่วยเหลือสามีและครอบครัวจนเขามีตำแหน่งใหญ่โตในเวลาเพียง 7 ปีหลังจากแต่งงานโจวเมี่ยวเมี่ยวมีลูกชายหนึ่งคนให้กับฉินเหยากวงสามี แต่พอเขาได้เป็นขุนนางขั้น 5 เขากลับพาบุตรีเสนาบดีหยินกลับจวนอย่างยิ่งใหญ่ และให้หยินซินหลินเป็นภรรยาเอก ทั้งที่นางกับลูกยังคงอยู่ฉินหลางที่ยังเด็กไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ที่จวนจึงมีคนมากมายได้แต่หันไปถามท่านแม่อย่างไร้เดียงสา“ท่านแม่ขอรับ วันนี้บ้านเรามีงานอะไรหรือ? เหตุใดเราไม่ได้เข้าร่วมด้วยเล่า”“ฮึก… งานแต่งงานของพ่อเจ้าน่ะ เราไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมหรอกลูก ไปที่เรือนกันก่อนเถอะ แม่จะสอนเจ้าอ่านหนังสือ”“ขอรับ ท่านแม่ ท่านแม่อย่าร้องไห้เลย ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง”โจวเมี่ยวเมี่ยวลูบหัวบุตรชายแล้วปาดน้ำตาออกไม่ให้ลูกชายเป็นห่วง นางยังคิดว่าสามีจะรักนางกับลูกไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้เขาจะแต่งงานใหม่แล้วก็ตามตั้งแต่หยินซินหลินกับคนของนางเข้ามาอยู่ในจวน โจวเมี่ยวเมี่ยวถูกบังคับให้ทำงานไม่ต่างจากบ่าวไพร่ในเรือนเลยแม้แต่น้อยจนไม่มีเวลาดูแลบ