ทั้งสองแยกย้ายกันไปแจ้งข่าวอย่างรวดเร็ว ซิ่วหลานใช้วิชาตัวเบารีบไปยังกระท่อมด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของโจวเมี่ยวเมี่ยว
“ท่านอาจารย์!!”
“หืม? เจ้าเป็นอันใด เหตุใดจึงได้เสียงดังเช่นนี้เล่า”
“แย่แล้วเจ้าค่ะ! ที่ตีนเขาตอนนี้มีจอมยุทธ์มากกว่าพันคนมาพักอยู่ ข้าไม่รู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพราะเหตุใดเจ้าค่ะ”
“เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน ส่งคนไปวางยาพิษที่ทางขึ้นหุบเขาเสีย หากพวกเขาคิดร้ายกับพวกเราจริง ๆ พวกเขาจะต้องขึ้นเขามาแน่ ตอนนี้เจ้ารีบสั่งคนไปป้องกันไว้”
“เจ้าค่ะอาจารย์ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ซิ่วหลานรีบคำนับอาจารย์และจากไป
โจวเมี่ยวเมี่ยวนั่งจิบชาคิดว่าเหตุใดจึงมีจอมยุทธ์มากมายมาที่นี่ แถมพวกเขายังไม่คิดจะปิดบังการมาแม้แต่น้อย โจวเมี่ยวเมี่ยวไม่อยากให้ศิษย์ของนางล้มตายหลังจากที่นางสั่งสอนมาอย่างยากลำบาก การส่งคนไปวางยาพิษตามทางเป็นแค่แผนการป้องกันเท่านั้น หากนางต้องการให้ศิษย์ของนางปลอดภัย นางจะต้องส่งพวกเขาหลบออกจากหุบเขาพิษแห่งนี้โดยเร็ว ส่วนนางนั้นไม่ต้องการจากลูกชายนางไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะอยู่กับลูกของนางที่นี่
บนหุบเขาพิษตอนนี้ผู้คนต่างวุ่นวายไปหมด คำสั่งให้วางยาพิษตามทางขึ้นหุบเขาแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์ของโจวเมี่ยวเมี่ยวทั้ง 12 หลังสั่งการแล้วก็มารวมตัวกันที่กระท่อมของโจวเมี่ยวเมี่ยวในช่วงค่ำ
“อาจารย์ พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ” หยูเฟินถามอย่างกังวล
“ข้าอยากให้พวกเจ้าหลบหนีไปทางหลังเขาเสีย เจ้าคงจำได้ว่าภูเขาอีกลูกไม่ห่างจากที่นี่อุดมสมบูรณ์นัก ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องตกตายอยู่ที่นี่กับข้า” โจวเมี่ยวเมี่ยวยิ้มอย่างอาทรให้ศิษย์ทั้งหมด
“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านอาจารย์ หากจะไปเราต้องไปด้วยกันเจ้าค่ะ” เป่าจู้รีบค้าน
“ข้าก็ไม่ไปเจ้าค่ะ หากอาจารย์จะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ด้วย” จิงฟางกล่าว
“พวกเจ้าอย่าได้ดื้อดึง ข้าสั่งสอนพวกเจ้ามาหลายปี เห็นพวกเจ้าเหมือนดั่งบุตรหลาน ใยข้าจะไม่อยากปกป้องพวกเจ้าเล่า”
“ฮึก… อาจารย์… ข้าไม่อยากไปจากท่าน” ฉิวจู้กล่าวไปร้องไห้ไป
“ฮือ… ข้าก็ไม่อยากไป” หยูเฟินกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวจึงร้องไห้อีกคน
“เฮ้อ พวกเจ้าอย่าร้อง นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของข้า จงเก็บข้าวของแล้วรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุดเสีย ส่วนศิษย์นอกพวกนั้นอย่าได้ใส่ใจ พวกเขาก่อเรื่องจนพวกเราถูกคนภายนอกเห็นว่าเป็นสำนักมารไปแล้ว ข้าไม่อยากให้พวกเขาใช้วิชาที่พวกเจ้าสั่งสอนทำร้ายคนอีกต่อไป รีบไปซะ!” โจวเมี่ยวเมี่ยวส่งสายตานิ่งเรียบมองกวาดไปยังศิษย์ที่นางรักตรงหน้า
ศิษย์ทั้งหมดต่างหลั่งน้ำตาอย่างเศร้าโศก เป็นพวกนางที่อยากช่วยเหลือคนพวกนั้นจนทำร้ายอาจารย์เข้าในวันนี้ ทั้งที่ไม่อยากจากไป แต่นี่เป็นคำสั่งของอาจารย์ผู้เปรียบเสมือนแม่ของพวกนาง
“ฮึก… ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งอาจารย์ พวกเราจะทำตามเจ้าค่ะ ข้าขออภัยที่ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณของท่านได้อีกต่อไป” ซูจินสะอึกสะอื้นกล่าวทั้งน้ำตา
“เอาล่ะ ๆ ข้าเข้าใจพวกเจ้าดี หลังไปจากที่นี่ จงอย่าคิดรับศิษย์อีก พวกเจ้าจงหาสามีและมีครอบครัวไปเสีย ส่วนเรื่องการถ่ายทอดวิชาให้บุตรหลานพวกเจ้าในอนาคตนั้น ข้าไม่ห้ามหากพวกเจ้าต้องการ แต่จงจำไว้ว่าอย่าได้ใช้ยาพิษทำร้ายคนดีเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งที่ข้าอยากขอร้องพวกเจ้า พวกเจ้ารับปากข้าได้หรือไม่?”
“พวกเรารับปากเจ้าค่ะ” ทั้งหมดรีบรับคำทั้งน้ำตา ก่อนจะก้มกราบลาโจวเมี่ยวเมี่ยว
“พวกเจ้ารีบไปเถิด อย่าได้ชักช้าและอย่าให้ใครพบเห็นเล่า”
“พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์รักษาตัวด้วย”
โจวเมี่ยวเมี่ยวมองส่งศิษย์ทั้งหมดของนางด้วยแววตาชื่นชม นางรู้ดีว่าเด็กเหล่านี้จะไม่กล้าขัดคำสั่งเสียสุดท้ายของนางเป็นแน่ ส่วนศิษย์นอกพวกนั้นนางไม่เคยสนใจความเป็นความตายของพวกเขามาแต่แรกแล้ว
“อาหลาง อีกไม่นานแม่ก็จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้วนะ คืนนี้แม่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่จนกว่าจะเช้า ดีหรือไม่?” โจวเมี่ยวเมี่ยวหันไปทางหลุมศพบุตรชาย
ศิษย์สายตรงของโจวเมี่ยวเมี่ยวเก็บสิ่งของจำเป็นในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่พวกนางจะใช้วิชาตัวเบาลอบออกไปจากที่พักด้านหลังเขาที่อาจารย์เคยพาไปทันที พวกนางไม่คิดจะเสียเวลาตามคำสั่งของอาจารย์ และสัญญาว่าจะหาสามีที่ดีในอนาคต
รุ่งสางวันต่อมา
เหล่าจอมยุทธ์ที่มาต่างกินยาถอนพิษก่อนจะเดินทางตามหลังเจ้าสำนักต่างๆ ขึ้นไปยังหุบเขาพิษ พวกเขาไม่รู้หรอกว่ายาพวกนี้จะช่วยชีวิตพวกเขาได้มากเพียงใด ขอแค่พวกเขาสามารถกำจัดคนบนเขาได้สักคนหนึ่งก็นับว่าช่วยเหลือชาวบ้านที่ต้องตายจากพิษร้ายเหล่านี้ได้ก็พอแล้ว
“ท่านเจ้าอาวาส เราไม่ล้อมหุบเขานี้เอาไว้หรือขอรับ” เจ้าสำนักคนหนึ่งเอ่ย
“อามิตตาพุทธ ข้ากลัวว่าหากล้อมเอาไว้ทั้งหมด ไม่รู้พวกท่านจะถูกพิษกันหรือไม่”
“เรื่องนั้นข้าคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหานะขอรับ ในเมื่อพวกเรากินยาแก้พิษมาก่อน”
“เช่นนั้นพวกท่านก็สั่งการเถิด ข้าต้องการเพียงกำจัดต้นตอของผู้สร้างพิษร้ายเหล่านี้เท่านั้น หลังจากกำจัดคนเสร็จสิ้น เรายังต้องเผาทำลายสมุนไพรพิษเหล่านี้ด้วย”
“ขอรับท่านเจ้าอาวาส” เหล่าเจ้าสำนักต่างส่งคำสั่งออกไปยังคนของตน
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งหมดทราบถึงคำสั่งนี้แล้วจึงแยกย้ายกันออกไปล้อมรอบหุบเขาพิษเอาไว้และเดินทางขึ้นเขาตามทิศทางที่ตนเองล้อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางขึ้นเขามีจอมยุทธ์บางคนที่ยาแก้พิษนั้นไม่เป็นผล จำต้องรีบลงจากเขาก่อนเพื่อไม่ให้เป็นภาระคนอื่นเกือบหนึ่งร้อยคน แต่จำนวนคนที่ยังคงเดินทางขึ้นไปนั้นก็ยังมีนับพันคนเช่นเดิม พวกเขาเร่งใช้วิชาตัวเบาเพื่อให้ถึงยอดเขาที่คิดว่าน่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
ทางด้านเหล่าเจ้าสำนักที่ขึ้นไปถึงก่อนไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกเขาเห็นศิษย์บนเขาก็ฆ่าอย่างไม่ละเว้น เสียงการต่อสู้และเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นทั่วหุบเขา โจวเมี่ยวเมี่ยวได้แต่หลับตาลงอย่างปลดปลง นางไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะไม่ถามไถ่สักคำก็ลงมือ โจวเมี่ยวเมี่ยวได้แต่ขอโทษศิษย์นอกที่ตายไปทั้งหมด
เสียงการต่อสู้ยังคงดังมาเป็นระยะ เพราะศิษย์นอกที่อยู่บนเขานี้มีหลายคนที่เรียนวิชากับศิษย์ของนางมาหลายปีแล้วไม่ยอมลงเขา พวกเขาจึงมีฝีมือไม่น้อย รวมถึงพิษที่ใช้ก็รุนแรงกว่าศิษย์ทั่วไปที่เพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่
“อ๊าก!!! อาจารย์ช่วยด้วย!” เสียงร่ำร้องเรียกหาอาจารย์ของศิษย์นอกดังไปทั่วบริเวณ
“อั่ก!! อาจารย์…” ศิษย์นอกคนหนึ่งถูกดาบแทงเข้าร่างอย่างน่าสงสาร
“พวกเจ้า!! หยุดมือเดี๋ยวนี้!!!”
พรึ่บ! ฟู่ม!!! อ๊าก!!!
ด้วยพลังปราณพิษของโจวเมี่ยวเมี่ยว ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากตายลงภายในพริบตาเดียว จอมยุทธ์หลายคนเห็นฝีมือผู้มาซึ่งมีผมสีม่วง ตาสีม่วงแปลกตาตรงหน้าก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือสูงส่งที่สุดในหุบเขาแห่งนี้ พวกเขารีบถอยกรูดไปด้านหลังเหล่าเจ้าสำนักฝีมือดีในทันใด
“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนบนหุบเขาของข้า!” โจวเมี่ยวเมี่ยวมองกราดไปยังผู้คนจำนวนมากตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมอหลวงออกตามหาสมุนไพรที่จำเป็นพร้อมทหารตามภูเขาใกล้เคียงเมืองตงหยางแทบจะวันเว้นวัน ไท่จื่อยังส่งทหารส่วนหนึ่งไปตามหายังภูเขาห่างออกไป กว่าที่พวกเขาจะพบสมุนไพรที่จำเป็นก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน ส่วนอาการของผู้ป่วยที่มาทดลองรักษาทั้ง 10 คนนั้น หลังจากฝังเข็มเพื่อไล่พิษจากปอดรอยาสมุนไพรอยู่ก็มีอาการดีขึ้น พวกเขาไม่ไอบ่อยเท่าที่เคยเป็นและนอนหลับสนิทมากขึ้นจึงทำให้ระบบภายในร่างกายที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนเนื่องจากอาการไอนั้นเริ่มกลับมาทำงานได้ดีขึ้นมากซินเมี่ยวที่เลี้ยงลูกในกระโจมมาตลอดหนึ่งเดือน ตอนนี้นางสามารถออกนอกกระโจมได้แล้ว นางจึงเริ่มไปตรวจสอบดูสมุนไพรที่หมอหลวงและทหารไปช่วยกันหามาว่าถูกชนิดหรือไม่ จากนั้นจึงปรุงยาให้ผู้ป่วยลองกินดูในแต่ละวันซินเมี่ยวจะตรวจชีพจรเพื่อติดตามผลว่าปอดของผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่ายาทั้งสามที่นางคิดค้นขึ้นช่วยบรรเทาอาการและเสริมความแข็งแกร่งให้ปอดที่เสียหายได้ ซินเมี่ยวจึงสั่งให้ทหารออกไปตามหาสมุนไพรมาเพิ่มเพื่อที่จะได้ให้หมอหลวงเข้าไปรักษาผู้ป่
สายวันต่อมา หยางชิงหลงได้รับแจ้งจากทหารว่าเจ้าเมืองตงหยางกับฮูหยินขอเข้าเฝ้า พระองค์ที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยให้หลับหลังดื่มนมอยู่พยักหน้าอนุญาต ให้พวกเขาเข้ามาพบได้ อย่างไรวันนี้พระองค์ก็ยังไม่อยากเข้าเมืองไปสอบถามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาของราษฎรในช่วงที่บุตรชายเพิ่งคลอดสักเท่าไหร่นัก“ถวายบังคมไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยพะย่ะค่ะ/เพคะ” จื้อไฉ่กับฮูหยินค้อมกายคำนับทั้งสองพระองค์ที่นั่งรออยู่พร้อมไท่จื่อน้อยในอ้อมแขนไท่จื่ออย่างนอบน้อม“พวกท่านตามสบายเถิด เชิญนั่งก่อน” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“กระหม่อมนำของรับขวัญไท่จื่อน้อยมามอบให้พะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีกับไท่จื่อและไท่จื่อเฟยด้วยพะย่ะค่ะ” จื้อไฉ่ยื่นกล่องของขวัญให้ซุนเหยาที่อยู่ในกระโจมเพื่อนำไปมอบให้ไท่จื่อเฟยดูแทนไท่จื่อที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยอยู่“ขอบใจพวกเจ้ามาก เรื่องเมืองตงหยางที่มีปัญหาสุขภาพ เราให้หมอหลวงช่วยกันหาวิธีรักษาอยู่ ท่านเจ้าเมืองพาราษฎรที่ป่วยหนั
รุ่งเช้าวันต่อมา เหล่าหมอหลวงมาขอพบไท่จื่อเฟยเพื่อพูดคุยเรื่องขั้นตอนการรักษาชาวเมืองอย่างเคร่งเครียด จนกระทั่งเที่ยงวัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทานอาหารและปล่อยให้ซินเมี่ยวกินข้าวกับหยางชิงหลงในกระโจม“น้องหญิงอย่าหักโหมงานมากนะ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะคลอดแล้ว พี่ไม่อยากให้เจ้าเครียดเกินไปนัก” หยางชิงหลงตรัสระหว่างคีบอาหารให้ซินเมี่ยว“ทราบแล้วเพคะ เสด็จพี่อย่ากังวลเลย น้องรู้ดีว่าต้องพักผ่อนให้มากเพคะ”หลังอาหารเที่ยง หยางชิงหลงเดินไปยังกระโจมของเหล่าหมอหลวงเพื่อสอบถามถึงขั้นตอนการรักษาต่อ พระองค์จะได้สั่งให้องครักษ์เข้าไปแจ้งเจ้าเมืองให้เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม เพราะในขบวนของพระองค์ถึงจะมีสมุนไพรอยู่บ้าง แต่ก็ถูกใช้ไปมากแล้วก่อนหน้านี้ หากต้องไปหาซื้อยังเมืองอื่นก็คงต้องใช้เวลาเดินทางอีกมากซินเมี่ยวนั่งอ่านตำรารอให้อาหารย่อยเกือบครึ่งชั่วยาม ก่อนที่นางจะนอนพักผ่อนรอทานอาหารเย็นและออกไปเดินเล่นกับหยางชิงหลงเหมือนทุกวัน
สองวันต่อมา ต้วนฟางเหยาส่งรายงานสรุปปัญหาออกมาเป็นข้อ ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เขาคิดขึ้นมา หยางชิงหลงและซินเมี่ยวนั่งอ่านรายงานอย่างละเอียดก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นับว่าต้วนฟางเหยาทำงานได้ดีสมกับที่ฝ่าบาทส่งมาช่วยเหลือราษฎรจริง ๆ“วิธีการแก้ไขปัญหาของเจ้าเหมาะสมแล้ว เราอนุญาตให้ดำเนินการได้ ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องการก็สามารถเบิกได้กับองครักษ์ซุนเหยา” ไท่จื่อตรัส“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำเรื่องเบิกกับท่านซุนเหยาตามรับสั่ง”“เจ้าเมืองต้วน ที่ค่ายทหารนอกเมืองของเรามีต้นอ่อนสมุนไพรรักษาบาดแผล ท่านลองดูว่ามีหมู่บ้านใดที่เหมาะสมจะปลูกเป็นอาชีพและส่งออกไปยังเมืองอื่นด้วยก็แล้วกันนะ เราอยากให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นนอกจากการทำเกษตร”“พะย่ะค่ะไท่จื่อเฟย เรื่องนี้กระหม่อมจะปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านและมารายงานให้พระองค์ทราบอีกครั้ง”ทั้งสองพระองค์ต่างพยักหน้าอย่างพอใจกับการทำงาน
ซินเมี่ยวกลับไปถึงที่ว่าการเมืองก็กระซิบบอกเรื่องที่นางพบกับไท่จื่อทันที“เจ้าคิดว่าเราสร้างที่อยู่ให้พวกเขาและสอนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้พวกเขาหารายได้เองจะดีหรือไม่ พี่ไม่อยากให้พวกเขาเป็นขอทานอีก”“ก็ดีนะเพคะ รบกวนเสด็จพี่สั่งทหารช่วยกันสร้างที่พักให้พวกเขาก่อนก็แล้วกัน”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พี่จะสั่งการทหารช่างให้รับหน้าที่นี้เอง”“ขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ พระองค์ลองเสวยขนมนี่ดูเพคะ อร่อยมากเลย”ซินเมี่ยวยื่นขนมหน้าตาธรรมดาส่งให้หยางชิงหลง พระองค์รับมาชิมดูก็พยักหน้าอย่าพอใจเช่นกัน ถึงแม้หน้าตาของขนมนั้นดูไม่ดีนัก แต่รสชาตินับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ซินเมี่ยวยังเล่าถึงสถานการณ์ภายในเมืองที่นางเดินสำรวจดูให้กับหยางชิงหลงฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่องชาวเมืองที่มีวาสนาได้พบทั้งสองพระองค์ต่างตื้นตันใจเป็นอันมาก ทั้งที่ความจริงทั้งสองพระองค์ไม่ต้องมานั่งที่
สามสัปดาห์ต่อมาขบวนใหญ่ของไท่จื่อมาถึงหน้าประตูเมืองเสวียนแล้ว แม่ทัพรักษาชายแดนและเจ้าเมืองเสวียนคนปัจจุบันอย่างหานเซี่ยต่างรอต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม นั่นเพราะแม่ทัพรักษาชายแดนได้รับรายงานว่ามีขบวนเดินทางพร้อมทหารจำนวนมากใกล้จะมาถึงเมืองเสวียน พวกเขาจึงต้องรีบออกมารับหน้าทั้งที่ไม่มีใครมาแจ้งพวกเขาสักนิดว่าเป็นผู้ใดมาถึงกันแน่“ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยมาถึงแล้ว!!!” ซุนเหยาใช้เสียงจากพลังปราณเอ่ยขึ้นเสียงดังแม่ทัพรักษาชายแดนและหานเซี่ยรีบคุกเข่าลงเมื่อได้ยิน พวกเขาเพิ่งรู้ว่าผู้มาขบวนใหญ่นี้เป็นถึงรัชทายาท บรรดาชาวเมืองที่ไม่ใคร่จะอยู่สบายนักเพราะเจ้าเมืองหานเซี่ยนเองต่างก็คุกเข่าลงเช่นกัน พวกเขายังไม่รู้ว่าไท่จื่อที่ว่ามานี้จะช่วยเหลือพวกเขาจากความหน้าเลือดของเจ้าเมืองได้หรือไม่ แต่ถึงจะมีความหวังเพียงน้อยนิด พวกเขาก็อยากจะลองดูว่าชีวิตหลังจากนี้จะดีขึ้นหรือไม่“พวกเจ้าตามสบาย” เสียงหยางชิงหลงดังออกจากรถม้า กังวานไปทั