Share

บทที่ 0017

“พระนาง บ่าวจะประคองท่านเข้าเรือนก่อนเพคะ” ตอนที่เฟ่ยชุ่ยเดินเข้ามา รองเท้าได้สัมผัสกับรอยเลือดแล้ว

รอยเท้าประทับลงไปบนพื้นหิมะ ทำให้สีค่อย ๆ จางลง

สีขาวซีดและสีแดงสด สีสันที่อยู่ภายในความทรงจำมาโดยตลอด สีเหล่านั้น เป็นสีที่เข้าใกล้กับความตายมากที่สุด

ฉินเหยี่ยนเย่ว์จ้องมองเลือดสีแดงสดที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สีหน้ายิ่งขาวซีด

“เฟ่ยชุ่ย ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าล้างเลือดออกก่อนเถิด ขอเพียงแค่ล้างเลือดออก ข้าจะหายเป็นปกติเอง” นางปากสั่น เหงื่อแตกพลั่ก

สำหรับผู้ที่เคยทำงานเป็นหมอเช่นนาง อาการกลัวเลือด หรือที่รู้จักกันในชื่อโรคกลัวเลือด เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง และเป็นตัวการหลักที่ทำลายอาชีพทางการแพทย์ของนาง

นางรักษาผู้คนให้หายดีมามากมาย แต่กลับรักษาตนเองให้หายดีไม่ได้

ทุกครั้งที่อาการกำเริบ ก็จะเป็นความทุกข์ยากอย่างหนึ่ง และวันนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น

เฟ่ยชุ่ยทำได้เพียงไปนำน้ำมา แล้วล้างเลือดสีแดงสดบริเวณรอบ ๆ

หลังจากเลือดถูกล้างเรียบร้อยแล้ว แต่ภายในอากาศยังคงทิ้งกลิ่นคาวของเลือดเอาไว้

โชคดีที่หิมะตกหนัก หิมะสีขาวที่ล่วงโปรยปราย หลังจากแผ่นหินเปื้อนเลือดถูกหิมะกลบมิด อาการของฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็กลับเป็นปกติเล็กน้อย

นางลุกขึ้นช้าๆ เนื่องจากลุกเร็วเกินไป ทำให้รู้สึกเวียนศีรษะรุนแรง ร่างกายโซไปเซมาสองสามที โชคดีที่จับราวกั้นเอาไว้ทันถึงได้ไม่หกล้ม

เฟ่ยชุ่ยรีบไปประคองนางเอาไว้ “พระนาง ท่านเข้าไปพักในเรือนก่อนเพคะ”

“อืม” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กลับเข้าไปในห้อง

เปลวไฟจากการเผาถ่านไม้ในห้องกำลังลุกโชน เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากความหนาวเหน็บด้านนอกอย่างสิ้นเชิง

เฟ่ยชุ่ยหยิบที่รองนั่ง ประคองนางเพื่ออบอุ่นร่างกายที่ด้านหน้าเตา

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยกมือที่สั่นเทาเข้าใกล้เตาไฟ ถ่านไม้เผาไหม้รุนแรง เปลวไฟที่พวยพุ่ง กลายเป็นดั่งมังกรไฟตัวหนึ่ง ที่กำลังเวียนวนพร้อมส่งเสียงคำรามรอบเตาไฟ

อบอุ่นร่างกายไปได้สิบนาที ในที่สุดร่างกายที่เยือกแข็งก็อบอุ่นขึ้น

“พระนาง เหตุใดข้อมือของท่านจึงกลายเป็นสีเขียวละเจ้าคะ” ตอนที่เฟ่ยชุ่ยเห็นข้อมือของนาง ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ “เขียวมากขนาดนี้ มองดูไปช่างน่าตกใจเหลือเกินเพคะ”

“ไม่เป็นอะไร แค่ฟกช้ำ ทายาหน่อยก็หายดีแล้วล่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าไม่ต้องกังวล” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หมุนข้อมือ ยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย

ข้อมือนี้เรียวเล็กจนเกินไป ราวกับจะหักได้ทุกเมื่อ

ร่างกายร่างนี้ก็ค่อนข้างพ่ายผอม กำลังน้อยนิด ทั้งยังเจ็บออด ๆ แอด ๆ ตลอดเวลา ไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าใด

วันข้างหน้า นางจะต้องบำรุงเป็นอย่างดีเสียแล้ว ออกกำลังกายให้มาก เพื่อให้ร่างกายนี้แข็งแรงขึ้น

เฟ่ยชุ่ยหยิบยารักษาแผลฟกช้ำมา ค่อย ๆ ทาให้นาง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าพันเอาไว้ “พระนาง ท่านต้องทุกข์ทรมานแล้ว คนพวกนั้นทำเกินไปจริงเพคะ ทำร้ายหู่พั่วจนสภาพเป็นเช่นนั้นก็พอทนแล้ว ยังจะลงมือต่อพระนางอีก”

นางสูดจมูก “รังแกกันมากเกินไปแล้ว”

“ข้ามิได้เสียเปรียบ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

ไม่เพียงไม่เสียเปรียบ ยังทำให้ฉินเสวี่ยเย่ว์โมโหมากอีกด้วย

เดิมทีฉินเสวี่ยเย่ว์ก็มีอาการลมตับติดขัดอยู่แล้ว เพลิงโกรธพลุ่งพล่าน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกรงว่าคงจะโมโหสุดขีด

โดยเฉพาะหลังจากที่นางสกุลเฉินถูกตัดนิ้วสามนิ้วขาด สีหน้าของฉินเสวี่ยเย่ว์ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

“เดิมทีข้ามิได้อยากจะตัดนิ้วของนางเลย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถอนหายใจ

ในสถานการณ์เช่นนั้น นางดิ้นไม่หลุดจากการควบคุมของนางสกุลเฉิน ทำได้เพียงนำมีดออกมาป้องกันตัวเองเท่านั้น

แต่ การใช้มีดเฉือนนิ้วของนางสกุลเฉินก็จะนึกถึงเลือดสด ทันทีที่นึกถึงเลือดสีแดงสด มือก็จะสั่นไม่หยุด ควบคุมกำลังได้ไม่ดี มีดที่คมกริบ ถึงได้ตัดนิ้วของนาง

“ต่อให้พระนางไม่ได้เสียเปรียบ บ่าวก็ยังเป็นกังวลมากอยู่ดีเพคะ พระนาง ท่านไม่ทรงทราบว่า เมื่อครู่นี้บ่าวตกใจแทบแย่เพคะ พระชายาอ๋องสามที่เข้ามาใกล้ ถ้าเป็นบ่าว ก็คงจะกลัวไปตั้งนานแล้วเพคะ”

ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยปลอบ “กลัวอะไรกัน? เจ้าให้ความร่วมมือค่อนข้างดีเลยมิใช่หรือ? เมื่อครู่นี้อย่าว่าแต่ฉินเสวี่ยเย่ว์พวกเขาถูกทำให้ตกใจแทบแย่เลย ต่อให้เป็นข้าก็ต้องตกใจเช่นกัน เจ้าแสดงได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

ฝีมือการแสดงของเฟ่ยชุ่ย เกินกว่าที่นางคิดเอาไว้จริงๆ

ทันทีที่นางออกโรง ก็ทำให้ทุกคนล้วนตกใจกลัว ไม่เช่นนั้นแผนการก็คงจะไม่ราบรื่นได้ขนาดนั้น

เฟ่ยชุ่ยได้ยินคำชม ก็ยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย

“หู่พั่วเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถาม

“ยังไม่ได้สติ แต่การหายใจมั่นคงขึ้นมากแล้วเพคะ” เฟ่ยชุ่ยมองไปทางนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส “พระนางเก่งเหลือเกินเพคะ บ่าวยังคิดว่าหู่พั่วจะมิรอดเสียแล้ว ภายใต้การชี้แนะของพระนาง นางอาการดีขึ้นมากแล้วเพคะ”

“โชคดีที่พระนางทรงล่วงรู้ถึงแผนร้ายของพวกเขาได้ทันท่วงที ถ้าหากจัดการช้าไปกว่านี้อีกเพียงนิด เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่เพคะ ค่อยยังชั่ว ที่พวกเราพ้นเคราะห์ไปได้หนึ่งครั้ง”

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยกตาขึ้นมา

พ้นเคราะห์ไปได้หนึ่งครั้งอย่างนั้นรึ?

เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น

เรื่องนี้มีเลศนัยอยู่สักหน่อย ผิดปกติที่ฉินเสวี่ยเย่ว์ยอมล่าถอยไปอย่างง่ายดาย

สตรีผู้นั้น เดิมทีตั้งใจแล้วว่าจะบุกเข้ามา

ต่อให้มีการแสดงของเฟ่ยชุ่ย ขู่ว่าเป็นวัณโณค นางก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด

แต่ นางยอมถอยไปง่ายดาย เป็นเพราะหลังจากที่นางสกุลเฉินพูดอะไรบางอย่าง

นางสกุลเฉินเป็นมันสมองของฉินเสวี่ยเย่ว์ ความคิดเห็นที่ร้าย ๆ มากมายล้วนมากจากนาง นางจะต้องพูดเรื่องอะไรที่แย่ ๆ ถึงทำให้ฉินเสวี่ยเย่ว์ยอมถอย

ตามลักษณะนิสัยของฉินเสวี่ยเย่ว์และนางสกุลเฉิน เรื่องนี้อาจจะยังมีแผนสองอยู่

“เฟ่ยชุ่ย พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวัง อาจจะกลับมาตอนดึก เจ้าจะต้องระวัง ห้ามปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาอย่างเด็ดขาด” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ย รู้สึกจิตใจไม่สงบแปลกๆ

“บ่าวทราบแล้วเพคะ พระนาง ท่านเหนื่อยหรือเพคะ? สีหน้าไม่ค่อยดีเลยเพคะ” เฟ่ยชุ่ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“หิวนิดหน่อย อยากทานอะไรสักหน่อย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ย “เจ้าทำงานมานานเช่นนี้แล้ว เกรงว่าจะเหนื่อยมากแล้วเช่นกัน วันนี้เจ้ามิต้องลงทำเองแล้ว ไปขออาหารดีจากที่ห้องครัวมาหน่อย หากพวกเขาทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าก็มาบอกข้า”

เฟ่ยชุ่ยพยักหน้า “เช่นนั้นบ่าวจะไปห้องครัวเพคะ”

“ใช่แล้ว” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ครุ่นคิด “เจ้าช่วยขอบะหมี่ผัดมาให้ด้วย แล้วก็นกพิราบ กับเห็ดถังเช่า”

“พระนางอยากเสวยน้ำแกงนกพิราบหรือเพคะ?” เฟ่ยชุ่ยเอ่ย “ที่ห้องครัวน่าจะมี จะขอมาพร้อมกันเลยเพคะ”

“ไม่ใช่ข้าดื่ม เป็นหู่พั่วที่ดื่ม เจ้าอย่าเอะอะไป แค่ขอวัตถุดิบมาก็พอ อย่าใช้น้ำแกงของห้องครัวใหญ่ ข้าจะสอนวิธีการเคี่ยวน้ำแกงให้เจ้า เช่นนี้น้ำแกงที่เคี่ยวออกมาเหมาะที่จะให้หู่พั่วดื่มมากกว่า”

เติมน้ำกับเกลือปรุงอาหารในผัดบะหมี่ สามารถทำเครื่องดื่มอิเล็กโทรไลต์จากน้ำข้าวง่าย ๆได้ เพื่อเสริมจุลธาตุที่หู่พั่วสูญเสียไป

น้ำแกงนกพิราบช่วยกระตุ้นการสมานแผล และค่อยข้างมีคุณค่าทางอาหารอีกด้วย

สำหรับหู่พั่วในตอนนี้ ที่สามารถทานได้ก็มีอาหารสองอย่างนี้เท่านั้น

“ขอบพระทัยพระนางเพคะ” เฟ่ยชุ่ยซาบซึ้งใจมาก หยิบเสื้อคลุม แล้วรีบเดินไปทาห้องครัว

ฉินเหยี่ยนเย่ว์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

นางยืนอยู่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก ลมหนาวและเกล็ดหิมะพัดเข้ามาพร้อมกัน

ท้องฟ้าเริ่มมืด ภายในสภาพอากาศที่มืดครึ้ม สีของก้อนเมฆราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้ กลุ่มเมฆไม่เคลื่อนไหว เกล็ดหิมะราวกับเสื่อ

ช่วงพลบค่ำของฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดค่อนข้างเร็ว เมื่อครู่สภาพอากาศยังคงสว่างไสว เพียงพริบตาเดียวก็มืดเสียแล้ว

นางปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว หันหลังกลับไปจุดเทียน

แสงสว่างภายในห้องสว่างไสวขึ้นมาก

ฉินเหยี่ยนเย่ว์นั่งลง จ้องมองเปลวเทียนที่สั่นไหวไปมา

เทียนเผาไหม้ทีละน้อย ไส้เทียนยาวเกินไป แสงสว่างจึงดับลง นางตามหากรรไกร เพื่อนำมาตัดไส้เทียนทิ้ง เปลวเพลิงพุ่งขึ้นสองสามครั้ง ภายในห้องกลับมาสว่างตามเดิม

ฉินเหยี่ยนเย่ว์ขมวดคิ้ว ความไม่สงบภายในก้นบึ้งของหัวใจค่อย ๆ มลายหายไป

เทียนเผาไหม้ไปนานเช่นนี้แล้ว นับตั้งแต่เฟ่ยชุ่ยไปที่ห้องครัวจนกระทั่งตอนนี้ คำนวณเวลาก็เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ตามหลักก็ควรจะกลับมาได้แล้ว

แต่ นางรอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่เห็นนางกลับมา

นางมักจะคิดอยู่เสมอว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status