ログインวันนี้จางหลิงเยว่จงใจขอพ่อบ้านประจำจวนออกมาเลือกซื้อข้าวของเข้าจวน และคิดจะปลีกตัวไปจ่ายเงินที่รับปากนักเล่าเรื่องเอาไว้ เพราะหลังจากที่นางให้นักเล่าเรื่องปล่อยข่าวไปนั้น สาวใช้ในจวนก็นำเรื่องที่นางได้ปล่อยไปมาซุบซิบนินทากัน ทำให้หญิงสาวแซ่จางคิดว่าข่าวที่นางปล่อยไปนั้นได้ผลดียิ่งนักทว่าตอนที่นางกำลังจ่ายตลาดอยู่นั้น จางหลิงเยว่กลับบังเอิญได้ยินว่าชาวบ้านเริ่มไม่เชื่อในสิ่งที่นางได้ปล่อยข่าวเอาไว้ บวกกับได้ยินข่าวเรื่องที่หลัวหยางโหวรักใคร่หลิวหลิงลี่ จนถึงขั้นยอมไปตามง้อนางกลับเมืองอันหยางด้วยตนเองถึงสาวใช้ในจวนหลัวจะรู้ดีว่า เรื่องที่หลัวหยางโหวรักหลิวหลิงลี่นั้นเป็นเรื่องจริง แต่หากข่าวลือเรื่องนี้แพร่สะพัดมากไปกว่าข่าวลือที่นางปล่อยเอาไว้ สตรีตระกูลจางก็คงไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งนายหญิงของจวนหลัวได้ และหากเป็นเช่นนั้นเงินที่นางอุตส่าห์ลงทุนไปกับการกระจายข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ของหลิวหลิงลี่ก็จะเสียเปล่า และความสุขสบายที่นางคาดหวังเอาไว้ก็จะจบสิ้นขณะที่หญิงสาวตระกูลจางกำลังจับจ่ายใช้สอยซื้อของเข้าจวนหลัว จางหลิงเยว่ก็คิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา ครั้นนางนึกแผนการที่จะกำจัดหลิวหลิงลี่ได้โดยที
ในเมื่อหลัวหยางโหวไว้ใจปล่อยเรื่องนี้ให้เขาจัดการ ชายหนุ่มตระกูลสวีก็ไม่อาจทำให้เจ้าเมืองหนุ่มผิดหวังได้“พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าการใส่ร้ายนายหญิงจวนหลัวโหวมีโทษเช่นไร” น้ำเสียงแสนธรรมดา ทว่ากลับแฝงคำขู่เอาไว้เมื่อเหล่านักเล่าเรื่องที่รับเงินจากจางหลิงเยว่ได้ยิน ใบหน้าก็มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา สีหน้าซีดขาวไร้สี ร่างกายสั่นเทา คำขู่ของสวีจิ้งมู่มิได้น่ากลัวเท่าใดนัก ทว่าที่ทำให้พวกเขากลัวคือบุรุษที่นั่งอยู่หลังฉากอีกคนต่างหาก เพราะคำพูดของคุณชายสวี อาจจะกระตุ้นสัตว์ร้ายกระหายเลือดในตัวบุรุษอีกคนให้ตื่นขึ้นแต่ในเมื่อหลัวหยางโหวบอกแล้วว่าเรื่องนี้ให้สวีจิ้งมู่จัดการ ดังนั้นชีวิตของพวกเขาก็ขึ้นอยู่กับบุรุษหนุ่มตระกูลสวีแล้ว เหล่านักเล่าเรื่องจึงไม่รอช้าที่จะวอนขอให้คุณชายตระกูลสวีไว้ชีวิต“คุณชายสวีได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเราไม่กล้าแล้วขอรับ” เหล่านักเล่านิทานต่างเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงเว้าวอนสวีจิ้งมู่และทุกคนที่อยู่ในห้อง ต่างรู้ดีว่าหากเปลี่ยนเป็นให้หลัวหยางโหวจัดการ พวกนักเล่าเรื่องผมดำผมหงอกเหล่านี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ร้องขอชีวิตเช่นนี้เป็นแน่“ไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากพ
สตรีใส่หมวกผ้าแพรยืนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยแผนการที่ตนนั้นได้เตรียมเอาไว้ ให้นักเล่าเรื่องผมขาวฟัง เพียงสาวใช้เอ่ยแผนชั่วออกจากปาก บุรุษหนุ่มทั้งสองได้ฟังก็ฉุนขาด ทว่ายังกดข่มอารมณ์เอาไว้ แต่ยิ่งได้ฟังแผนการของสาวใช้ มือทั้งสองข้างของหลัวหยางโหวก็ยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ หญิงสาวยังไม่ทันจะกล่าวถึงแผนการจนจบ บุรุษหนุ่มตระกูลหลัวก็ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปทว่าขณะที่เจ้าเมืองหนุ่มกำลังจะยกมือขึ้นทุบโต๊ะ สวีจิ้งมู่ได้ใช้พัดที่อยู่ในมือแตะไปที่หลังมือของหลัวหยางโหวเบา ๆ พลางส่ายหน้าช้า ๆ นัยน์ตาของคุณชายสวีทอแสงวาววับเจ้าเล่ห์ ราวกับจะบอกบุรุษตรงหน้าว่าเขามีแผนการดี ๆ สำหรับจัดการสตรีชั่วช้าผู้นี้แล้วหลัวหยางโหวพยายามทำใจเย็นฟังแผนการของสตรีที่อยู่อีกด้านของฉากกั้นจนจบ ครั้นพอนางเดินออกจากห้องไปหลัวหยางโหวก็ให้คนสะกดรอยตามนางทันที เพื่อให้มั่นใจว่าสตรีผู้นี้คือคนของจวนโหวจริง ๆ ถึงแม้ลักษณะท่าทางและน้ำเสียงของสตรีผู้นี้ จะคล้ายคนในจวนของเขาผู้นั้นมาก ทว่าตราบใดที่เขายังไม่ได้เปิดหมวกผ้าแพรนั้นออก เขาก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า นางคือจางหลิงเยว่ หลานสาวของจางอ้ายเหลียน หญิงรับใช้คนสน
หลิวเลี่ยงลี่ทราบสาเหตุที่พี่เขยให้แม่ทัพทั้งสามไปปล่อยข่าว นั่นก็เพื่อให้เหล่าทหารไปบอกต่อให้กับคนในครอบครัวได้ทราบ จะได้กระจายข่าวได้เร็วยิ่งขึ้นครั้นรู้เช่นนี้เขาเองก็ไม่อยากอยู่เฉย เพราะหากเจ้าเมืองอันป๋อมาพาตัวเผยไจ่เหวินเพื่อเอากลับไปลงโทษ พี่สาวของเขารู้เข้าก็คงคิดหนัก ดังนั้นที่พี่เขยทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้พี่สาวของเขาต้องคิดมากเมื่อชายหนุ่มจากเมืองหลิวผิงรู้ว่าพี่เขยทำเพื่อพี่สาวของตนเองมากถึงเพียงนี้ ความอยากช่วยหลัวหยางโหวกระจายข่าวก็มากกว่าเดิมเข้าไปอีก หลิวหลิงลี่จึงได้ไปบอกให้คนในคณะทูตทั้งหมดที่มาจากเมืองของตนเอง ไปร่วมแสดงความเสียใจกับเผยไจ่เหวิน เพราะชายหนุ่มรู้ว่าหากคนของตนไปที่งานศพของอนุเหมยพร้อมกัน คณะทูตที่มาจากเมืองอื่นที่ได้ยินเรื่องประกาศย่อมให้ความสนใจ และอยากผูกมิตรกับเผยไจ่เหวินมากขึ้นเมื่อคณะทูตจากเมืองหลิวผิงได้ยินคำพูดของหลิวเลี่ยงลี่ ก็สองจิตสองใจ เพราะอย่างไรมารดาของเผยไจ่เหวินก็เป็นเพียงอนุเท่านั้น แต่พอได้รู้ว่าหลัวหยางโหวกับเฉินอี้เหรินไม่เพียง ให้เผยไจ่เหวินจัดงานศพมารดาในจวนตระกูลหลัว ทว่าหลัวฮูหยินยังรับเผยไจ่เหวินเป็นบุตรบุญธรรมอีก ก็ต่างร
หลังจากหลัวหยางโหวเดินออกมาจากห้องของอนุเหมย เขาก็ไม่รอช้าที่จะจัดการตามแผนการที่ได้คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นจึงสั่งพ่อบ้านให้ไปทำเรื่องสำคัญให้แก่เขา ทว่าชายหนุ่มเจ้าของจวนก็มิลืมให้พ่อบ้านต้มยาสงบจิตไปส่งให้กับมารดาและฮูหยินของตนด้วยหลังจากสั่งการทุกอย่างกับพ่อบ้านและเตียนอี๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลายามห้าย [1] ครั้นหลัวหยางโหวจะไปนอนที่เรือนตะวันตก ก็กลัวว่าจะทำให้สตรีที่เพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามตื่นขึ้นมา หลัวหยางโหวจึงทำได้แต่ต้องกลับไปนอนที่เรือนหลักของตนเองเช้าวันต่อมาข้าวของเครื่องใช้ในการจัดงานศพ พร้อมกับผ้าขาวดำที่ใช้ตกแต่งในจวน ถูกเหล่าทหารและคนรับใช้ของจวนหลัวโหวขนเข้ามาในจวนพร้อมจัดวางตามธรรมเนียมพิธีการหลิวเลี่ยงลี่ที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ถึงกับตื่นตกใจเมื่อออกจากห้องมาแล้วได้พบเห็นเหล่าคนรับใช้และทหารช่วยกันจัดตกแต่งเรือนด้วยสีขาวดำจนเกือบเสร็จแล้วเมื่อวานหลังจากฝึกซ้อมและเดินชมค่ายทหารบางส่วนกับแม่ทัพฟางเซียว หลิวเลี่ยงลี่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้ทักษะทางด้านการทหารของเมืองอันหยาง ชายหนุ่มตระกูลหลิวจึงได้นัดหมายกับแม่ทัพหนุ่มอายุน้อ
สตรีวัยกลางคนมองไปยังหลัวหยางโหวที่ยืนนิ่งสง่างาม ถึงท่าทีของชายหนุ่มทรงอำนาจจะเคร่งขรึมดูไม่น่าเข้าหา และเดาใจได้ยาก ทว่าแววตาของเจ้าเมืองหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความเห็นใจและอบอุ่น ทำให้สตรีที่รู้ว่าตนจะต้องลาจากโลกใบนี้ไปแล้วรู้สึกว่าตนเองไม่มีอันใดต้องเป็นห่วงอีกแล้ว“พวกเจ้าถอยออกไปได้แล้ว โตแล้วยังทำตัวเป็นเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่อีก” สตรีเพียงคนเดียวเอ่ยล้อชายหนุ่มทั้งสี่ด้วยรอยยิ้ม เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่โศกเศร้าให้คลายลงทว่าบุรุษทั้งสี่ไม่เพียงไม่ถอยออกไป แต่ยังคงจับมือของสตรีวัยกลางคนเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังร้องไห้ฟูมฟายมากขึ้นกว่าเก่า เพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าพวกเขากำลังจะเสียคนสำคัญในชีวิตไป“นี่พวกเจ้า! ร้องเช่นนี้ไม่อายท่านโหวบ้างหรือ?” อนุเหมยเอ่ยตำหนิด้วยใบหน้ายกยิ้มอย่างเอ็นดูนางพยายามซ่อนความเศร้าเอาไว้ เพื่อไม่ให้บุรุษหนุ่มที่ดูเหมือนเด็กน้อยทั้งสี่ของนาง ต้องเศร้าโศกไปมากกว่านี้ ทว่ากลับไม่เป็นผล พวกเขาเอาแต่ก้มหน้าไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองนางเสียด้วยซ้ำ สตรีตระกูลเหมยจึงได้สะบัดมือของตนเองด้วยแรงอันน้อยนิดที่นางมี ทว่าชายหนุ่มทั้งสี่กลับยิ่งจับแน่นขึ้น และร้องไห้ส







