ประตูเมืองหนานเหลียน
กองทัพทหารของเมืองอันหยางบวกกับกองทัพทหารของเมืองหนานเหลียนบางส่วน ตั้งทัพที่นอกประตูเมืองเรียบร้อยพร้อมเดินทางไปทำศึกในครั้งนี้ เวลานี้นายทหารทุกคนรอเพียงแม่ทัพใหญ่ทั้งสามกับกุนซือและหลัวหยางโหวมานำทัพเท่านั้น กองทัพร่วมแสนนายก็จะเคลื่อนกองกำลังไปยังเมืองฟางตงทันที
หลังจากหลัวหยางโหวได้เอ่ยฝากฝังขุนนางที่จะเดินทางมารับตำแหน่งเจ้าเมือง กับเหล่าขุนนางและแม่ทัพของเมืองหนานเหลียนเสร็จแล้ว หลัวหยางก็ขึ้นหลังม้าพร้อมที่จะนำทัพออกจากเมือง
ทว่าเพียงผู้นำทัพขึ้นหลังม้า กลับมีรถม้าคันหนึ่งพยายามจะเข้ามาใกล้กลุ่มเหล่าขุนนางที่หลัวหยางโหวเพิ่งหารือไป แต่โชคดีที่ทหารสกัดรถม้าคันนั้นเอาไว้เสียก่อน
“พวกเจ้ากล้าขวางรถม้าของฮูหยินท่านโหวอย่างนั้นหรือ?” ฟางเซียวที่ขี่ม้าตามมาทีหลัง เอ่ยเสียงแข็งกร้าวดังกังวาน เมื่อเห็นว่ามีทหารมาล้อมรถม้าของหลิวหลิงลี่เอาไว้
เพียงได้ยินว่าคนข้างในคือ ‘ฮูหยินของท่านโหว’ เหล่าทหารก็ลดอาวุธลงอย่างรวดเร็ว
หลัวหยางโหวรวมถึงผู้ติดตามทั้งสี่คนที่จะไปออกรบกับเขาที่เมืองฟา
ผู้ที่ติดตามหลิวหลิงลี่หลังออกมาจากภัตตาคารหมู่ตานได้ ก็รีบตรงไปยังที่ว่าการเมืองทันที ทว่าโชคดีที่เขานั้นได้พบกับแม่ทัพฟางเซียวระหว่างทาง จึงได้รายงานเรื่องนี้ให้แม่ทัพอายุน้อยได้ทราบ“มีเรื่องอันใดกันไยต้องกระซิบ หรือว่าเป็นเรื่องที่ข้าไม่ควรรู้” หลัวหยางเอ่ยถามเมื่อจำได้ว่าบุรุษที่มาเป็นคนติดตามหลิวหลิงลี่ถึงคนที่ติดตามหลิวหลิงลี่จะได้ยินคำถาม และเห็นสายตารอคอยคำตอบจากหลัวหยางโหว ทว่าเขาที่เป็นบุรุษที่มีภรรยาแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้ว่าหากเอ่ยเรื่องนี้ออกไป บุรุษหนุ่มเจ้าของจวนหลัวจะเป็นเช่นไร ถึงความสัมพันธ์ของหลัวหยางโหวกับหลิวหลิงลี่ยังไม่แน่ชัดนัก ทว่าผู้ชายทุกคนล้วนไม่มีทางพอใจที่สตรีของตนพูดคุยกับบุรุษอื่นอย่างแน่นอน คนติดตามหลิวหลิงลี่จึงไม่กล้าพอที่จะตอบคำถามนี้“ท่านโหวคิดมากไปแล้ว เขาเพียงมารายงานว่าวันนี้นายหญิงได้ไปชิมอาหารที่ภัตตาคารหมู่ตาน แล้วเจอกับบุรุษที่ดูท่าทางจะรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งนายหญิงยังชวนให้เขานั่งพูดคุยดื่มกินที่โต๊ะของนายหญิงอีกด้วย” ฟางเซียวเอ่ยตอบผู้เป็นนายตรงไปตรงมาตามที่คนติดตามเอ่ย เพราะเห็นว่าผู้ที่ติดตามหลิวหลิงลี่ยืนนิ่งไม่กล้าตอบทว่าเพียงบุรุษเจ้
“คุณชายสวีมิต้องทำเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ” จงเอ่าเอ่ยขึ้นเมื่อบุรุษเริ่มรินสุราให้นาง“ไม่เป็นไร ในเมื่อคุณหนูหลิวเห็นพวกเจ้าเป็นคนสำคัญ ข้าในฐานะที่อยากคบหานางเป็นสหาย ก็ย่อมต้องให้เกียรติพวกเจ้าเช่นกัน” สวีจิ้งมู่เอ่ยพลางรินสุราให้สาวรับใช้ทั้งสองเมื่อหลิวหลิงลี่ได้ยินคำพูดของสวีจิ้งมู่ก็ยกยิ้มให้บุรุษตรงหน้า “เหตุใดคุณชายสวีอยากเป็นสหายกับข้าอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิดบุรุษที่ถูกถามหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นสายตาที่สตรีตรงหน้ามองมา “คุณหนูหลิวอย่าได้คิดมากไป ข้ามิได้คิดไม่ดีกับท่าน ข้าเพียงเห็นว่าท่านเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใคร ใจกว้าง มีเมตตา และที่สำคัญคือไม่ถือตัว ข้าจึงอยากคบหาเป็นสหายก็เท่านั้น”“มิใช่ว่าเจ้าอยากใช้ข้าเป็นเครื่องมือจัดการท่านโหวอย่างนั้นหรือ?” หลิวหลิงลี่มิคิดอ้อมค้อมให้เสียเวลา“ในเมื่อคุณหนูหลิวเปิดใจพูดตรง ๆ ข้าก็ไม่คิดปิดบัง จริงอยู่ที่ข้าคิดอยากให้ท่านช่วยจัดการหลัวหยางโหว เพราะข้าคิดว่าท่านกับข้าล้วนมีศัตรูคนเดียวกัน ทว่าหากท่านไม่คิดร่วมมือข้าก็ไม่คิดบังคับ ส่วนเรื่องที่ข้าอยากเป็นสหายกับท่านนั้นก็เป็นความต้องการของข้าจริง ๆ
ครั้นเห็นว่าบุรุษตระกูลสวีเดินจากไปแล้ว เสี่ยวหลี่ที่รอคอยให้รอบตัวของหลิวหลิงลี่มิมีคนนอกอยู่ข้างกาย ก็ไม่รอช้ารีบเอ่ยเรื่องที่ค้างคาใจของนางทันที เพราะนางรู้ว่าหลิวหลิงลี่คงมีเรื่องอยากพูดคุยกับสวีจิ้งมู่ ดังนั้นหากไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ นางเกรงว่าคงต้องรอกลับถึงจวนแล้วจึงจะมีโอกาสได้พูด ซึ่งหากรอให้ถึงยามนั้น สตรีอายุน้อยคงขาดใจตายพอดี“นายหญิงเจ้าคะ ข้ามีเรื่องของท่านโหวจะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ” สตรีที่อายุน้อยที่สุดเอ่ยเรียกผู้เป็นนาย เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนยังคงมองแผ่นหลังของบุรุษที่เดินจากไปหลิวหลิงลี่หันไปมองหน้าสาวรับใช้ข้างกายอายุน้อยพร้อมยกยิ้ม เพราะนางคิดเอาไว้ตั้งแต่เดินออกมาจากจวนแล้วว่าเสี่ยวหลี่น่าจะมีเรื่องอยากพูดกับนาง แต่เรื่องที่ว่าคงไม่อาจพูดให้คนอื่นได้ยิน จึงได้ไม่ยอมเอ่ยออกมาเสียที“เรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?” หลิวหลิงลี่เอ่ยแบบไม่ใส่ใจนัก ในขณะที่ยกน้ำชาขึ้นดื่ม เพราะช่วงนี้หลัวหยางโหวมิได้ออกทัพจับศึก และมิได้ไปหาสตรีจากเมืองอันป๋อ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องของเขา ทำให้หญิงสาวไม่ตื่นเต้นหรือใคร่อยากรู้มากนัก“เรื่องสตรีที่ผ่านมาของท่านโหวเจ้าค่ะ”หลิวหลิงลี่กับจง
ห้าวันต่อมาหลายวันนี้หลังจากคารวะหลัวฮูหยินในยามเช้าเสร็จแล้ว หลิวหลิงลี่ก็จะออกจากจวนและจะกลับมาก่อนตะวันตกดิน นั่นเพราะหญิงสาวไปตระเวนชิมอาหารขึ้นชื่อของเมืองอันหยางตามภัตตาคาร และร้านอาหารต่าง ๆ รวมถึงโรงเตี๊ยมด้วย เพื่อจะนำอาหารรสเลิศมาขึ้นโต๊ะต้อนรับแขกที่มาเยือน อีกทั้งยังไปฟังเหล่านักสังคีตร้องรำเล่นดนตรี เพื่อเลือกมาแสดงในงานครั้งนี้เนื่องจากจวนหลัวนั้นมีพ่อครัวอยู่ไม่กี่คน และคนรับใช้อยู่ไม่มาก มิอาจจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับใหญ่โตได้ เพราะหลายปีมานี้ทรัพย์สินเงินทองของตระกูลหลัวถูกใช้ไปกับการทำสงคราม ดังนั้นหลัวฮูหยินจึงมิได้จ้างคนเกินความจำเป็นหลิวหลิงลี่จึงคิดว่าจะจ้างคนจากด้านนอกทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นการสิ้นเปลืองในระยะยาว เดิมทีเฉินอี้เหรินคิดจะเชิญพ่อครัวและนักสังคีตมาให้หลิวหลิงลี่เลือกที่จวน ทว่าหญิงสาวคิดว่าคนที่มาย่อมล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองอันหยางอยู่บ้างแล้ว ดังนั้นอาหารและการแสดงอาจหาดูและลิ้มลองได้ทั่วไป ส่วนผู้น้อยที่พอจะมีความสามารถย่อมไม่กล้าเข้ามาในจวนโหว ดังนั้นหลิวหลิงลี่จึงขอหลัวฮูหยินออกมาตามหาด้วยตนเอง เผื่อว่านางจะเจอไข่มุกล้ำค่าที่ซ่อนถูกอยู่ในเ
ตั้งแต่หลิวหลิงลี่เข้ามาจวนหลัว คนในเรือนก็ต่างมีเรื่องให้ซุบซิบพูดคุยกันทั้งวันโดยเฉพาะเช้าวันนี้ ถึงหลัวหยางโหวกับหลิวหลิงลี่จะมิได้ร่วมหอกันเป็นครั้งแรก แต่เพราะบุรุษเจ้าของจวนเป็นฝ่ายเต็มใจอยากร่วมหอกับสตรีที่มาจากเมืองหลิวผิงด้วยตนเอง อีกทั้งยังอุ้มนางเข้าเรือนนอนอย่างไม่คิดสนสายตาของผู้ใด เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นที่กล่าวถึงไปทั่วทั้งจวน แต่ยังทำให้คนที่เคยไม่ให้ความเคารพต่อหลิวหลิงลี่รู้สึกร้อนรู้สึกหนาวขึ้นมาไม่ใช่น้อยเรื่องในเรือนใหญ่ของหลัวหยางโหวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้จางหลิงเยว่เดือดดาลจนยากที่จะสงบจิตใจลงได้ เพราะจากที่นางทราบ เมื่อคืนนี้หลัวฮูหยินมิได้สั่งให้บุรุษเจ้าของจวนร่วมหลับนอนกับหญิงสาวจากเมืองหลิวผิง ดังนั้นการร่วมเตียงกันเมื่อคืนย่อมเป็นความต้องการของหลัวหยางโหวถึงจางหลิงเยว่จะรู้ว่าบุรุษหนุ่มเจ้าของจวนคิดจะจัดการกับหลิวหลิงลี่ และจะรับสตรีจากเมืองอันป๋อเข้ามาแทนที่ ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็มิแน่ว่าบุรุษหนุ่มผู้นำตระกูลหลัวจะไม่เปลี่ยนใจ หากเป็นเช่นนั้นแผนการที่นางจะปีนเตียงหลัวหยางโหวก็คงไม่สำเร็จจางหลิงเยว่รีบไปยุยงให้เสี่ยวเยานำเรื่องนี้ไปแจ้งให้กับไป๋ฉินห
ต้นยามเหม่า [1]บุรุษเจ้าของจวนลืมตาตื่นขึ้นมามองใบหน้าของหญิงสาวที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา ตามด้วยใช้นิ้วชี้ลูบไปตามเรียวปากของสตรีตรงหน้า‘ปากเล็ก ๆ ของเจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก’ บุรุษหนุ่มได้แต่คิดในใจ เพราะกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะตื่นขึ้นมาได้ยิน ก่อนที่เขาจะกดปากตนเองลงไปจุมพิตปากเรียวบางเบา ๆ แล้วลุกขึ้นแต่งตัวถึงหลัวหยางโหวจะเพิ่งได้นอนไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทว่าเมื่อแสงจากพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงพอให้เห็นข้าวของทุกอย่างในห้องนอน โดยที่ไม่ต้องใช้แสงจากเทียนไข บุรุษที่ยังมีเรื่องต้องไปจัดการก็ไม่อาจรั้งนอนต่อไปได้ และอีกอย่างเขารู้ว่าเรื่องเมื่อคืนต้องไปถึงหูมารดาของเขาเป็นแน่ ดังนั้นบุรุษหนุ่มจึงไม่คิดอยู่ทานอาหารเช้าให้มารดาได้ซักถาม และนอกเหนือไปกว่านั้นเขาไม่อยากอยู่ให้หญิงสาวทวงคำตอบจากเขาทว่าในช่วงเวลาที่หลัวหยางโหวกำลังแต่งตัวอยู่นั้น หญิงสาวที่ขยับตัวหาไออุ่นจากบุรุษที่เคยนอนอยู่ข้าง ๆ กลับลืมตาตื่นขึ้น เมื่อนางคลำหาคนร่างสูงแต่กลับพบว่าเตียงนอนนั้นว่างเปล่ามีเพียงนางนอนอยู่คนเดียว หลิวหลิงลี่ก็รีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกวาดสายตาหาหลัวหยางโหว ทั้งท