หลิวหลิงลี่รวมถึงผู้ติดตามทั้งหมด เดินตามเสี่ยวหลี่มายังภัตตาคารเหินห่าวชือ ถึงภัตตาคารแห่งนี้จะเป็นภัตตาคารใหญ่ที่สุดของเมืองหนานเหลียน แต่ทว่ากลับไม่ได้ครึกครื้นอย่างที่หลิวหลิงลี่คิดเอาไว้ อาจเพราะเพิ่งผ่านการพ่ายแพ้สงครามมา ผู้คนจึงไม่มีกำลังมากพอที่จะมาใช้จ่ายในภัตตาคารหรูหราแห่งนี้
แต่ทว่าภายในภัตตาคารเหินห่าวชือก็ยังมีเสียงดนตรีและเสียงเพลงจากนักขับร้อง มาทำให้บรรยากาศภายในภัตตาคารแห่งนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป
เมื่อหลิวหลิงลี่ก้าวเท้าเข้ามาในภัตตาคารเหินห่าวชือ หลงจู๊[1]ประจำภัตตาคารก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งรีบเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว
ฟางเซียวเพียงเข้ามาในภัตตาคารเหินห่าวชือก็รู้ว่าอาหารที่อยู่ในภัตตาคารแห่งนี้ มิใช่ราคาที่เงินเดือนแม่ทัพอย่างเขาจะจ่ายไหวอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าไปหาอะไรกินแถว ๆ นี้เถอะ” ฟางเซียวหันมาบอกเหล่าทหารที่มาด้วย เพราะเกร็งใจหลิวหลิงลี่ที่ต้องจ่ายค่าอาหารราคาแพงให้กับพวกเขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ของที่นายหญิงให้ก็ถือว่ามีราคามากแล้ว จนเขามิกล้ารับอันใดจากสตรีตระกูลหลิวอีก
“หยุดเดี๋ยวนี้ ในเมื่อข้าบอกว่าจะเลี้ยงอา
“ฉินหลัน คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ”หลิวหลิงลี่มองดูสตรีตรงหน้าก็ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดที่ผ่านมาหลัวหยางโหวจึงไม่มีท่าทีสนใจนางเหมือนบุรุษคนอื่น ๆ ‘ที่แท้ท่านโหวก็เป็นบุรุษที่เจอดอกไม้งามสะพรั่งมามากนี่เอง ถึงได้หมางเมินข้าได้เช่นนี้ แล้วต่อไปข้าจะใช้กลยุทธ์หญิงงามได้อย่างไร’ หลิวหลิงลี่คิดแล้วก็เหนื่อยใจมากกว่าเก่า‘ไป๋ฉินหลัน’ คือบุตรสาวของเจ้าเมืองอันป๋อ รูปร่างบอบบางผิวขาวราวหยกเนื้อละเอียด ใบหน้าเล็กมนได้รูป จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่ม ดูอ่อนหวานอ่อนโยนน่าทะนุถนอมหญิงสาวตระกูลหลิวก้มหน้าลงต่ำ เพราะยามนี้นางทำได้เพียงเรียกคะแนนความสงสารจากหลัวฮูหยินเท่านั้น เนื่องจากหญิงสาวดูจากสีหน้าของสตรีวัยกลางคนแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่พอใจที่บุตรชายพาสตรีผู้นี้มาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นหญิงสาวจึงแสร้งทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกหลัวหยางโหวพาสตรีกลับมาหยามหน้ากันเช่นนี้สตรีวัยกลางคนหันมองลูกสะใภ้ โดยไม่สนใจจะตอบรับการทักทายของไป๋ฉินหลัน ครั้นเห็นสีหน้าเศร้าหมองของหลิวหลิงลี่ เฉินอี้เหรินจึงหันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“เหตุใดเจ้าจึงมากับอาหยางได้” เมื่อกล่าวกับไป๋ฉินหลันจบ เฉินอี้เหรินก็จ้องมองบุตรชายด้วยส
เมื่อการเจรจากับเยี่ยนป๋อหวายสำเร็จลุล่วง หลิวหลิงลี่ก็ไม่รอช้าที่จะเขียนจดหมายส่งไปให้ครอบครัวที่เมืองหลิวผิง หญิงสาวเขียนจดหมายขึ้นสองฉบับโดยฉบับแรกนั้นเขียนถามสารทุกข์สุกดิบทางบ้าน และเล่าเรื่องความเป็นอยู่ของตนเองในแง่ดีให้กับน้องชายและบิดาฟัง จดหมายฉบับนี้หญิงสาวมอบหมายให้ฟางเซียวเป็นผู้จัดหาคนส่งให้ส่วนจดหมายอีกฉบับหลิวหลิงลี่เขียนเตือนน้องชายในการตอบจดหมายที่จะส่งให้นางโดยการผ่านมาทางม้าเร็ว ว่าให้ระมัดระวังข้อความที่เขียนมา และหากมีเรื่องอันใดสำคัญที่เป็นความลับ ก็ให้น้องชายกับบิดาของนางส่งมาทางสำนักคุ้มกันสินค้าเยี่ยนได้ทุกเมื่อ2วันต่อมามีม้าเร็วจากกองทัพของหลัวหยางโหววิ่งมาแจ้งข่าว เพียงชาวเมืองเห็นม้าเร็วถือธงประจำกองทัพเข้าเมืองมาก็ต่างพากันหัวใจเต้นระทึก เพราะมีอยู่เพียงเหตุผลเดียวที่ม้าเร็วของกองทัพหลัวหยางโหวจะมา นั่นก็คือมาแจ้งผลการรบให้ชาวเมืองและหลัวฮูหยินได้ทราบถึงสามสี่ปีที่ผ่านมาม้าเร็วจากกองทัพของหลัวหยางโหวจะนำแต่ข่าวดีมาให้ ทว่าทุกครั้งที่มาชาวเมืองทุกคนก็อดที่จะรู้สึกหวั่นใจไม่ได้“ท่านโหวชนะศึกแล้ว บัดนี้เมืองฟางตงแตกแล้ว เสร็จศึกครั้งนี้ท่านโหวจะปลดเกราะให
หลังจากหลิวหลิงลี่เข้ามาอยู่ในจวนหลัวโหวได้10วัน หญิงสาวก็เริ่มคุ้นชินกับเฉินอี้เหรินมากยิ่งขึ้น อาจเป็นเพราะนางเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก บวกกับสตรีคุมจวนหลัวโหวมิมีบุตรสาว ทั้งสองจึงเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างดี จนกลายเป็นความรักความเอ็นดูเกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆเฉินอี้เหรินที่อยู่ดูแลจวนหลัวโหวมานาน ตอนนี้นางเพิ่งรู้สึกว่าภายในจวนมิได้เงียบเหงาน่าเบื่อเหมือนดังแต่ก่อน เพราะที่ผ่านมาถึงนางจะมีบุตรชาย แต่ทว่าบุตรชายของนางคิดแต่จะออกรบทำศึกเพื่อแก้แค้น ทุกวันบุตรของนางจึงได้แต่อยู่ในค่ายทหารเพื่อฝึกฝนฝีมือตนเอง บางครั้งวันทั้งวันหญิงวัยกลางคนมิได้เห็นใบหน้าของบุตรชายเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นมิต้องพูดถึงว่าจะได้ยินเสียงของบุตรชายบ้างหรือไม่แต่ยามนี้เช้าจรดค่ำมีคนคอยเอาอกเอาใจพูดคุยกับนาง และที่สำคัญเฉินอี้เหรินมิต้องทานข้าวเพียงลำพังอีกแล้ว ดังนั้นมีหรือนางจะไม่รู้สึกชอบลูกสะใภ้คนนี้เช้าวันนี้หลังจากหลิวหลิงลี่ทานอาหารกับเฉินอี้เหรินเสร็จแล้ว หญิงสาวจึงชวนแม่สามีของตนออกไปเดินเล่นในเมืองอันหยาง หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่คิดปิดบังว่านางนั้นอยากไปหาซื้อของพร้อมกระดาษเขียน
ความจริงเรื่องที่ขบวนรถม้าของเฉินอี้เหรินมาถึงเมืองอันหยางพร้อมกับขบวนรถม้าของหลิวหลิงลี่นั้นหาใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะหลัวฮูหยินตั้งใจจะให้ขบวนของนางมาถึงพร้อมกับขบวนรถม้าของลูกสะใภ้เมื่อรถม้าของหลัวฮูหยินผ่านกำแพงเมืองอันหยางเข้ามา ก็พบกับเหล่าขุนนางของเมืองอันหยางมายืนรออยู่ อีกทั้งสองข้างทางยังเต็มไปด้วยชาวเมืองอันหยางอีกด้วยเฉินอี้เหรินเดินนำหน้าหลิวหลิงลี่ลงมาจากรถม้า เพียงสตรีทั้งสองคนยืนบนพื้นอย่างมั่นคง เหล่าขุนนางและเหล่าชาวเมืองก็พากันโค้งตัวลงพลางเอ่ยพร้อมกัน“คารวะหลัวฮูหยิน ยินดีต้อนรับฮูหยินกลับเมืองขอรับ/เจ้าค่ะ”“คารวะนายหญิง ยินดีต้อนรับนายหญิงสู่เมืองอันหยางขอรับ/เจ้าค่ะ”การที่ขุนนางและชาวเมืองอันหยางออกมาต้อนรับหลัวฮูหยินนั้นอาจเป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าการที่ผู้คนของเมืองอันหยางเอ่ยคำยินดีต้อนรับหลิวหลิงลี่นั้นหาใช่เรื่องปกติไม่แต่ที่ทุกคนทำเช่นนี้เป็นเพราะก่อนหน้านี้สองวัน เฉินอี้เหรินได้ส่งจดหมายมายังผู้ดูแลเมืองอันหยางว่าให้ติดประกาศคำพูดของนางให้ทั่วเมือง‘เดิมทีเมืองหลิว
วันต่อมาข้าวของที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เมื่อวาน ถูกเหล่าทหารนำขึ้นเกวียนรถม้าบรรทุกของแต่เช้า ยามนี้รอเพียงหลิวหลิงลี่มาก็สามารถออกเดินทางได้ทันทีเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ [1] หลิวหลิงลี่กับหญิงรับใช้ทั้งสองก็เดินออกมาหน้าประตูจวน เพียงหญิงสาวก้าวเท้าออกมาก็ต้องตกใจ เพราะไม่เพียงแค่ฟางเซียวกับเหล่าทหารที่ยืนรออยู่ ทว่ารองแม่ทัพที่หลัวหยางโหวทิ้งไว้ กับเหล่าขุนนางของเมืองหนานเหลียนก็ต่างมายืนรอส่งนางหลิวหลิงลี่ยอบกายลงเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติผู้อาวุโสกว่า ทว่าเมื่อเหล่าคนที่มายืนรออยู่เห็นก็รีบโค้งตัวรับอย่างรวดเร็วด้วยความเกร็งใจ ทุกคนที่มาไม่คิดจะพูดอันใดกับหลิวหลิงลี่ให้มากความ พวกเขาแค่อวยพรไม่กี่คำเท่านั้น เพราะหากจะไม่มาเลยก็กลัวว่าหลัวหยางโหวรู้เข้า จะหาว่าไม่ให้เกียรติฮูหยินของเขา ดังนั้นจึงมาส่งพอเป็นพิธีส่วนแม่ทัพอีกสองคนที่หลัวหยางโหวให้อยู่ประจำการที่เมืองหนานเหลียน ตั้งใจมาส่งหลิวหลิงลี่จากใจ เพราะในเมื่อหลัวหยางโหวมีท่าทีเปลี่ยนไปกับสตรีตระกูลหลิวแล้ว พวกเขาก็ต้องให้เกียรตินางในฐานะนายหญิงให้ดีเมื่อหญิงสาวขึ้นรถม้าจนก
เดิมทีฟางเซียวจะให้ทหารกลับไปเอารถม้ามารับหลิวหลิงลี่ แต่ทว่าหญิงสาวกลับอยากเดินย่อยอาหารที่ทานไปเมื่อครู่จึงได้เอ่ยปฏิเสธ ส่วนจงเอ่าก็ไม่คิดขัดเพราะอย่างไรนายหญิงของนางก็สวมชุดคลุมหนาอยู่แล้ว ดังนั้นเดินย่อยเสียหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดีในขณะที่กำลังเดินกลับไปยังจวนเจ้าเมือง หลิวหลิงลี่ได้พบเด็กน้อยสองคนหน้าตามอมแมมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน แบ่งหมั่นโถวกันกินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จึงรู้สึกเอ็นดูในความไร้เดียงสา นางจึงเดินเข้าไปนำขนมที่ซื้อมายื่นให้ เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากันไปมา ก่อนจะรับขนมไว้แล้วโค้งตัวขอบคุณพลางยิ้มกว้าง‘เป็นเด็กนี่ช่างดีเสียจริง เพียงขนมเล็กน้อยก็ทำให้ยิ้มได้’ หลิวหลิงลี่คิดในใจครั้นเดินจากเด็กน้อยทั้งสองมาได้ไม่ไกลนัก หญิงสาวเห็นบุรุษชุดขาวกำลังแจกจ่ายหมั่นโถวให้กับคนยากไร้ จึงนึกถึงหมั่นโถวในมือของเด็กน้อยเมื่อครู่ขึ้นมาได้ นางจึงคิดอยากจะช่วยสมทบทุนให้บุรุษชุดขาว หลิวหลิงลี่จึงได้ให้จงเอ่านำตั๋วเงินไปมอบให้บุรุษที่แจกจ่ายหมั่นโถวอยู่“คุณชาย นายหญิงของข้าพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้ว จึงไม่สะดวกทำของมาแจกจ่ายให้ชาวบ