เหลือเวลาอีกสามวันจะถึงงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา เสียงเล่าลือว่าเฉินอิ้งถงตั้งใจลงไปช่วยท่านหญิงผิงอันเพราะโดนอุบายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
“ผิงอันเจ้ารู้ความผิดหรือไม่” ไทเฮาสอบสวนหน้าขรึม
ผิงอันนั่งก้มหน้างุด สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะไทเฮา ต่อไปหม่อมฉันจะไม่ทำเช่นนี้อีก”
ไท่เฟยหน้าบูดบึ้ง เพราะเฉินอิ้งถงเป็นคนของตำหนักไท่เฟยย่อมทำให้พระนางไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา ไทเฮาเหลียวมองไท่เฟยจากนั้นถอนหายใจแผ่ว “น้องหญิงเจ้าก็อย่าตำหนินางนักเลย นางยังเด็กไม่รู้ความ”
“นางเด็กหรือเพคะ อายุก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว นางคิดว่าตระกูลซ่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทก็คิดเหิมเกริมได้รึ ถงเอ๋อร์เป็นคนของข้า ข้าพานางมาทว่าปกป้องนางไม่ได้เช่นนั้นผู้คนจะครหาตำหนักไท่เฟยว่าอย่างไร”
“ไท่เฟยอย่าทรงกริ้ว ผิงอันรู้ความผิด ทว่าเฉินอิ้งถงผู้นั้นก็เป็นเพียงสตรีไร้หัวนอนปลายเท้า นางมีคุณสมบัติใดคู่ควรให้ไท่เฟยต้องปกป้องเพคะ” ผิงอันนึกใจกล้า ถึงอย่างไรนางก็มีตำแหน่งถึงท่านหญิง เหตุใดไท่เฟยจะต้องเอาความกับนางให้ได้
ไท่เฟยมือสั่นเทา “เหิมเกริมน
อาทิตย์อัสดง [1] ใกล้ย่ำรัตติกาลหนึ่งร่างระหงหนึ่งกายสูงโปร่งเดินเคียงกันท่ามกลางบรรยากาศหนาวยะเยือก เฉินอิ้งถงกระอักกระอ่วนจนพูดไม่ออก เมื่อก่อนนางหวังได้เขามาเป็นสามี ทว่ายามนี้ไม่ต้องพยายามเฉกเช่นกาลก่อนแต่นางกลับรู้สึกปอดแหกขึ้นมากะทันหันตลอดทางเดินนางกำนัลและเหล่าทหารเวรยามล้วนค้อมศีรษะเคารพจินชางหลงพลางทักทายเฉินอิ้งถงอยู่เสมอ เฉินอิ้งถงปั้นยิ้มประหลาดส่งให้ทุกคนจนหน้าชา ทว่าจินชางหลงกลับไม่ยอมพูดจาดั่งจงใจปั่นหัวนางให้อยู่ไม่เป็นสุขกระทั่งมาถึงที่ลับสายตาเฉินอิ้งถงก็ทนไม่ไหว นางต้องถามเขาให้ชัดเจน เรื่องเมื่อครู่เขาเพียงต้องการปกป้องนางหรือคิดจริงจัง“องค์ชายเพคะ”“หืม”เฉินอิ้งถงหมุนร่างกลับใบหน้างามก็จมเข้าแผงอกกว้างจนต้องผงะ“โอ๊ย นี่พระองค์ต้องเข้ามาใกล้เพียงนี้เลยหรือเพคะ” เฉินอิ้งถงหน้ายับยู่ นิ้วเรียวยกขึ้นเขี่ยปลายจมูกที่เผลอสูดกลิ่นกายบุรุษเข้าเต็มปอด“เห็นเจ้าอึดอัดอยู่นานเกรงว่าคงมีเรื่องอยากถามข้า”เฉินอิ้งถงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ นัยน์ตาดอกท้อช้อนมองร่างสูงแช่มช้า เขาไม่ได้หลบสายตานางทว่ากลับม
“อีกไม่นานข้าก็ต้องจากแคว้นเป่ยเซี่ยไปแล้ว ข้าไม่อยากค้างคาใจกับเจ้าดังนั้นที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่ออยากจะขอโทษ” แม้ในใจลึก ๆ ผิงอันไม่อาจปล่อยวางเรื่องแต่งงาน ทว่านางก็ประหนึ่งหมูในอวย ต่อให้ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์จินชางหลงยืนไม่ห่างนักย่อมได้ยิน ถึงอย่างไรผิงอันก็เปรียบดั่งน้องสาวของเขา “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”ผิงอันยิ้มขืน มือที่วางตรงหน้าตักขยำจนเนื้อผ้ายับย่น “ท่านพี่ชางหลง ขอบพระทัยที่เมตตาหม่อมฉันเสมอมา หม่อมฉันตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้เพคะ”จินชางหลงตกใจหน้าเปลี่ยนสี “เรื่องนี้ข้ากราบทูลเสด็จย่าแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน”ผิงอันส่ายหน้า “ไทเฮาตัดสินพระทัยแล้วเพคะ หม่อมฉันเองก็ยินดีรับโทษ”“ไม่ได้!” เฉินอิ้งถงโพล่งหลังจากนางใช้เวลาไตร่ตรองเฉินอิ้งถงก็นึกออกเสียทีว่าท่านหญิงผิงอันคือใคร นิสัยเดิมของนางไม่ใช่คนโหดร้ายเพียงแค่เอาแต่ใจมากไปเท่านั้น อีกอย่างนางยังเป็นหญิงสาวที่โชคร้ายมากด้วยหากเมื่อใดที่ฮ่องเต้ให้กำเนิดองค์หญิงนั่นหมายถึงในกาลข้
เหลือเวลาอีกสามวันจะถึงงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา เสียงเล่าลือว่าเฉินอิ้งถงตั้งใจลงไปช่วยท่านหญิงผิงอันเพราะโดนอุบายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว“ผิงอันเจ้ารู้ความผิดหรือไม่” ไทเฮาสอบสวนหน้าขรึมผิงอันนั่งก้มหน้างุด สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะไทเฮา ต่อไปหม่อมฉันจะไม่ทำเช่นนี้อีก”ไท่เฟยหน้าบูดบึ้ง เพราะเฉินอิ้งถงเป็นคนของตำหนักไท่เฟยย่อมทำให้พระนางไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา ไทเฮาเหลียวมองไท่เฟยจากนั้นถอนหายใจแผ่ว “น้องหญิงเจ้าก็อย่าตำหนินางนักเลย นางยังเด็กไม่รู้ความ”“นางเด็กหรือเพคะ อายุก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว นางคิดว่าตระกูลซ่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทก็คิดเหิมเกริมได้รึ ถงเอ๋อร์เป็นคนของข้า ข้าพานางมาทว่าปกป้องนางไม่ได้เช่นนั้นผู้คนจะครหาตำหนักไท่เฟยว่าอย่างไร”“ไท่เฟยอย่าทรงกริ้ว ผิงอันรู้ความผิด ทว่าเฉินอิ้งถงผู้นั้นก็เป็นเพียงสตรีไร้หัวนอนปลายเท้า นางมีคุณสมบัติใดคู่ควรให้ไท่เฟยต้องปกป้องเพคะ” ผิงอันนึกใจกล้า ถึงอย่างไรนางก็มีตำแหน่งถึงท่านหญิง เหตุใดไท่เฟยจะต้องเอาความกับนางให้ได้ไท่เฟยมือสั่นเทา “เหิมเกริมน
เรื่องฝีมือการทำอาหารของเฉินอิ้งถงเป็นที่เล่าลือไปทั่ววังหลัง อีกไม่กี่วันจะถึงงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา ครั้งก่อนทำไว้ประทับใจมากเกินไปเป็นเหตุให้ยามนี้ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นไปอีก“นี่ข้าคิดผิดหรือคิดถูกกันเนี่ยเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” เฉินอิ้งถงนั่งทุบคอนวดไหล่ สายตาทอดมองดอกบัวบานสะพรั่งท่ามกลางสระกลางสวนพฤกษาบรรยากาศบริเวณนี้เงียบสงบ อีกทั้งไม่มีทหารเวรยามหรือนางกำนัลเดินพลุกพล่าน เฉินอิ้งถงจึงมักมานั่งสงบใจผ่อนคลายอาการเหนื่อยล้าคนเดียวบ่อยครั้ง ตอนนี้นางก็อาศัยอยู่หลังกำแพงวังหลวงครบสัปดาห์แล้ว มาถึงวันแรกจวบจนบัดนี้ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนแทบไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยท่านหญิงด้วย”เสียงร้องเอะอะเอ็ดตะโรของใครบางคนดังแว่วไม่ไกลนัก เฉินอิ้งถงลุกพรวดก็เห็นสาวรับใช้นางหนึ่งยกมือป้องปากพลางร้องตะโกนท่าทางร้อนรนอยู่ริมขอบสระเฉินอิ้งถงตรงไปหาอีกฝ่ายหน้าตื่น “เกิดอะไรขึ้น?”“ฮึก ฮือ ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ท่านหญิงผิงอันตกน้ำเจ้าค่ะ บ่าวว่ายน้ำไม่เป็น”เฉินอิ้งถงหน้านิ่วคิ้วขมวด “เจ้ารีบไปตามคนมาช่
เฉินอิ้งถงเร่งจัดเตรียมวัตถุดิบอย่างขมีขมัน ทั้งยังจัดสรรผักลงไปทีละหยิบมือ มีทั้งกวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักกาดหอม หัวไชเท้า เห็ด ขึ้นฉ่าย สาหร่าย ฟักทอง ต้นหอม เพราะวังหลวงวัตถุดิบมีมากจึงสามารถนำผักที่มีมาใช้ได้ไม่อั้น ฉินก่วงและเจี่ยงน่าคอยเป็นลูกมือให้เฉินอิ้งถง ขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ทว่าทั้งสองกลับประหลาดใจที่เฉินอิ้งถงแบ่งผักเหล่านี้นับหลายสิบจาน“แม่นางเฉิน เหตุใดเราต้องแยกผักทีละหยิบมือไว้ในถ้วยชามเช่นนี้ด้วยเล่า ข้าไม่เห็นเข้าใจว่านี่จะเป็นอาหารได้อย่างไร” ฉินก่วงสงสัยเจี่ยงน่าเองก็เช่นกัน “นั่นสิ แล้วอย่างพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อปลาพวกนี้ก็ต้องจัดออกเป็นคำ ๆ ข้าไม่ค่อยเข้าใจวิธีทำอาหารของเจ้าเท่าใด ทำเช่นนี้หออาหารล้างจานจนมือเปื่อยแน่”เฉินอิ้งถงขบขัน มือเรียวเคี่ยวน้ำแกงในหม้อกลับไปมาถึงสามใบ “นี่เป็นอาหารที่ทุกคนสามารถเลือกกินในสิ่งที่ชอบได้ตามใจ อีกทั้งยังมีน้ำซุปถึงสามรสชาติให้เลือก ใครกินเผ็ดก็เลือกซุปหม่าล่ารสจัดจ้าน ใครชอบกลมกล่อมก็เลือกซุปน้ำดำ ส่วนใครชอบแบบเรียบง่ายรสอร่อยก็เลือกซุปน้ำใส อาหารแบบนี้ที่บ้านเกิดของข้าเรีย
เฉินอิ้งถงนั่งนึกรายการอาหารไปเรื่อยเปื่อย คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก พลางเคาะแก้มเคาะกระหม่อมอยู่พักใหญ่เสียงหาวหวอดก็แว่วขึ้นมา“ฮ่าว…นายท่าน กำลังคิดมากเรื่องใดหรือเจ้าคะ”“เจ้าหลับสบายเชียวนะ เวลาหลับปิดสวิตช์ตัวเองเลยว่างั้นเถอะ”เสี่ยวฮวายิ้มแหย “การพักผ่อนแบบปรับพลังงานต้องปิดการรับรู้ของทวารทั้งห้านี่เจ้าคะ ที่เสี่ยวฮวาตื่นเพราะสัมผัสได้ถึงความสับสนของนายท่านเจ้าค่ะ ปกติแล้วต้องพักให้ครบสิบสองชั่วยาม [1] พลังงานจะเพิ่มมากขึ้น”เฉินอิ้งถงทำแก้มป่อง นัยน์ตามองตรงเหม่อลอย “อ้อ…เข้าใจแล้ว” หญิงสาวถอนหายใจ มือเรียวตวัดพู่กันขีด ๆ เขียน ๆ ไปมาเพื่อระบายอารมณ์“นายท่าน เช่นนั้นกินลูกกวาดหน่อยนะเจ้าคะจะได้อารมณ์ดี”เฉินอิ้งถงพยักหน้าเสี่ยวฮวาเห็นอีกฝ่ายใจลอยไร้จิตวิญญาณจึงป้อนขนมหวานเข้าปาก ความหอมละมุนจากลูกกวาดทำให้อารมณ์เริ่มสงบ “ขอบคุณนะ”“เร็วเข้าระวังอย่าให้เหี่ยวเฉา อย่าทำช้ำด้วยล่ะ” เสียงนางกำนัลดังลอดเข้ามาที่ช่องหน้าต่างเฉินอิ้งถงมองตามสตรีที่แต่งกายคล้ายกันถือตะกร้าสานซึ่งด้านในเต็มไปด้วยผักใบเขียว คิ้ว