เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง
“เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”
“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”
“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”
สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้
“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”
“ก็ได้”
เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน
“ไม่น่าเชื่อเลย”
พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ
“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”
เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางมองท่วงท่าร่ายรำที่อ่อนช้อยราวกับไร้กระดูกของหลิ่วอวิ๋นซีตรงหน้า เมื่อเพลงจบก็ปรบมือด้วยความพอใจอย่างที่สุด
“ยอดเยี่ยม! พวกเจ้ารีบ ๆ เข้ามาวัดตัวให้นางสิ ข้าจะต้องตัดชุดนางรำให้นาง เร็วเข้า การแสดงชุดนี้จะต้องยอดเยี่ยมตรึงใจคนทั้งเมืองหลิงโจวเป็นแน่”
ตำหนักท่านอ๋อง
“งั้นหรือ ขอบใจเจ้ามาก อย่าลืมส่งคนติดตามด้วย”
“เพคะ”
สาวใช้เดินออกไปแล้ว เสี่ยวอวี้จึงได้เดินสวนเข้ามา
“ทูลท่านอ๋อง ข่าวจากหอหรงเยว่พ่ะย่ะค่ะ”
“คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ระหว่างเดินทาง น้องเก้าก็ยังสามารถหาข่าวให้ข้าได้ตลอด ขอบใจมาก”
“งานเลี้ยงสกุลเพ่ยอีกสามวัน พระองค์จะเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งนี้ข้าคิดว่าเพ่ยหนานน่าจะเป็นเป้าหมายรายต่อไป เตรียมคนของเราให้พร้อม ข้าจะไปงานเลี้ยงด้วยตัวเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สามวันถัดมา / สกุลเพ่ย
งานเลี้ยงสกุลเพ่ย ขุนนางฝ่ายตุลาการของหลิงโจวถูกจัดขึ้นทุกปีก่อนจะเข้าฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของใต้เท้าเพ่ยหนานที่เป็นขุนนางมาร่วมสามสมัยของหลิงโจว
“เชิญ ๆ ทุกท่านอย่าได้เกรงใจ เชิญ”
“นายท่าน ท่านอ๋องเสด็จมาถึงแล้วขอรับ”
“เร็วเข้า ข้าจะไปรับเสด็จ ทุกท่านเชิญด้านใน”
ใต้เท้าเพ่ยเดินออกมายังด้านหน้าจวนเพื่อรอรับเสด็จท่านอ๋อง เมื่อรถม้าของวังหลวงจอด ท่านอ๋องก็เสด็จลงมาโดยมีเสี่ยวอวี้คอยคุ้มกัน
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าเพ่ยอย่าได้เกรงใจ วันนี้ข้ามาร่วมอวยพรให้กับฮูหยินผู้เฒ่า”
“เป็นพระกรุณาแล้ว ท่านแม่ต้องดีใจเป็นแน่เชิญท่านอ๋องเสด็จด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเสด็จเข้าไปในจวน บรรดาแขกและขุนนางทั้งหลายที่รอรับเสด็จก็เริ่มแยกย้ายไปนั่งตามที่นั่งของตัวเอง งานเลี้ยงจึงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ด้านนอก
“เอาล่ะ ๆ พวกเจ้ารีบเตรียมตัว จวนจะได้เวลาแล้ว ซีซีเจ้าพร้อมนะ ตื่นเต้นหรือไม่”
“ข้าพร้อมแล้ว”
เหลามาม่าเดินมาถามอวิ๋นซีที่อยู่ด้านใน ทั้งหมดลุกขึ้นและเดินไปประจำที่ ไม่นานก็จะเริ่มทำการแสดง
“เป็นอย่างไรบ้างเสี่ยวอวี้”
“ยังไม่มีสิ่งใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องยกสุราขึ้นมาดื่ม เมื่อนักดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำก็เริ่มเดินเข้ามา ท่านอ๋องหันไปมองยังการแสดงและต้องตกใจเมื่อเห็นหลิ่วอวิ๋นซีที่แต่งชุดสตรีเป็นครั้งแรก
“นั่นมัน… ให้ตายเถอะท่านอ๋อง…”
เสี่ยวอวี้หันไปมองท่านอ๋องที่ยกจอกสุราค้างเอาไว้เมื่อมองไปยังสายลับของพระองค์ที่ส่งเข้าไปยังหอลั่วฟาง วันนี้นางสวมชุดนางรำสีแดงและแต่งหน้าด้วยชาดสีสด
ความงดงามและท่าทางที่อ่อนช้อยนั้นราวกับคนละคนกับอวิ๋นซีที่อยู่ในวัง เมื่อนางเริ่มร่ายรำ ทุกสายตาก็เริ่มหันมาสนใจที่นางรำอีกครั้ง
“ยอดเยี่ยมไปเลย นางรำคนกลางผู้นั้นร่ายรำได้งามนัก”
“ใต้เท้าซ่ง อย่าบอกนะว่าท่านเองก็สนใจนาง”
“อะฮึ่ม! พวกท่านนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ ยังเอ่ยถึงสตรีเช่นนี้ระวังเถิดกลับจวนแล้วจะมีปัญหากับฮูหยิน”
“กล่าวเกินไปแล้ว เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น ฮ่า ๆ”
“อย่ากระนั้นเลย จะไม่ให้พวกข้าชื่นชมก็คงจะแปลก แม้แต่ท่านอ๋องยังให้ความสนพระทัยมองตาไม่กะพริบ”
คำพูดนั้นไม่ได้เกินจริงเมื่อเหล่าขุนนางหันไปมองที่เฉินตงหรานที่นั่งอยู่ที่ประทับกลางห้องโถง
‘คิดไม่ถึงว่าเวลาสวมชุดสตรี ก็จะเป็นสตรีได้เช่นกัน’
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
เมื่อจังหวะเพลงดังขึ้นพร้อมเสียงกลอง อาวุธลับนับสิบก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง สร้างความแตกตื่นให้กับแขกในงานจะกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง อวิ๋นซีใช้เพียงอาภรณ์ยาวสีแดงสดปัดอาวุธเหล่านั้นไปทางอื่นจนมันปักไปที่เสาด้านข้าง
“อารักขา!”
ผู้คนต่างหลบไปคนละทาง มีเพียงท่านอ๋องที่ยังคงประทับอยู่ที่เดิมโดยมีหลิ่วอวิ๋นซีใช้เพียงอาภรณ์แดงปัดอาวุธที่กำลังโจมตีเข้ามา
“ระวัง!”
อวิ๋นซีเอี้ยวกายและตีลังกาเพื่อหลบอาวุธลับของอีกฝ่าย ผ้าแดงที่พันเอาไว้ถูกตัดขาด ตัวนางจึงได้หล่นลงมา ท่านอ๋องพุ่งกายเข้าไปและรับร่างนางลงมาได้ทันเวลา
กลิ่นกายหอมกรุ่นท่ามกลางความวุ่นวายของงานเลี้ยงแต่กลับทำเอาพระทัยของอ๋องอุดรผู้แกร่งดุจหินผา รู้สึกสั่นกระตุกอย่างรุนแรงเพียงมีนางอยู่ในอ้อมกอด
“ท่านอ๋อง”
“เอ่อ…”
“ปล่อยข้าไปฆ่าพวกมันก่อน”
“ฆ่าหรือ”
“ฉึก! ฉึก!”
“ฟิ้ว!”
ร่างของคนร้ายสามคนถูกอาภรณ์แดงของนางฟาดไปโดนเสากลางห้องโถงจนกระอักเลือด อีกสองคนถูกเข็มพิษทิ่มแทงไปที่คอหอยและล้มลงในทันที
เฉินตงหรานที่ยืนนิ่งมองและยกเพียงกำปั้นขึ้นมาเมื่อคนร้ายบุกจู่โจมด้านหลัง เพียงหมัดเดียวก็กระเด็นและร่วงลงที่พื้นทันที แต่สายตาของพระองค์กลับไม่ได้มองไปที่คนร้ายที่พึ่งจัดการไปเลยแม้แต่คนเดียว
“ดุดัน เด็ดขาดยิ่งนักหลิ่วอวิ๋นซี… ข้าคิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ”
บนหลังคาจวนสกุลเพ่ย
“เฮ้อ เหตุใดพี่สามได้นั่งจิบสุราอยู่คนเดียวสบาย ๆ แต่ข้ากับท่านข้าต้องมาอยู่บนนี้ด้วยนะ”
“เจ้าว่าเขาสบายงั้นหรือ”
“หืม เริ่มแล้วสินะ สกุลเพ่ยเป็นเป้าหมายในครั้งนี้จริง ๆ ด้วย พี่ห้าพวกเราไม่ไปหรือ”
“ไม่รีบ รอละครจบก่อนสิ”
“ท่านจะใจเย็นไปหรือไม่ ด้านในนั้นคือพี่สามของเราเชียวนะ”
“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าพยัคฆ์อุดรที่เจ้าเล่ห์มากแผนการอย่างพี่สามมิได้เตรียมการมาล่วงหน้าหรอกหรือ”
“มันก็ใช่… เสียงนั่น”
“งานเลี้ยงจริง ๆ เริ่มแล้วสินะ”
คนร้ายชุดดำสองคนถูกผูกรัดด้วยผ้าแดงของอวิ๋นซีอยู่กลางห้องโถง ท่านอ๋องเดินเข้ามาหาพวกมัน
“เจ้าทำงานให้กับผู้ใด”
“ระวัง! พวกมันจะกินยาพิษ”
“ฉึก!”
เข็มเงินในมือของอวิ๋นซีพุ่งไปยังคอหอยของทั้งคู่ในทันที ทั้งสองหมดสติลงไปตรงหน้าจนเสี่ยวอวี้ถึงกับลูปแผงคอด้วยความหวาดเสียว ท่านอ๋องหันไปมองนางอีกครั้ง
“ข้ายังไม่ทันได้สั่งเลย”
“หรือท่านจะปล่อยให้มันตายก่อน ดูที่ไหล่ของพวกมันก็รู้แล้วว่าเป็นคนของหอฟงหรูหรือไม่”
ท่านอ๋องหันไปมองเสี่ยวอวี้เพื่อให้เขาจัดการกรีดชุดของคนร้ายเพื่อดูรอยสัก แต่กลับไม่พบสิ่งใด
“ไม่ใช่หอฟงหรู”
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! ฮูหยินผู้เฒ่าแย่แล้ว!”
เสียงตะโกนด้านนอกดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงดาบ ท่านอ๋องหันไปมองแต่อวิ๋นซีล่วงหน้าไปก่อนเขาเสียแล้ว
“รีบร้อนอีกเช่นเคย…ตามนางไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทั้งหมดวิ่งออกมาด้านนอกก็พบว่าเรือนด้านหลัง ซึ่งเป็นเรือนพักของฮูหยินผู้เฒ่ามีบุรุษสองคนยืนอยู่ตรงหน้า เมื่ออวิ๋นซีเห็นก็พุ่งเข้าโจมตีพวกเขาทันที
“ช้าก่อนอวิ๋นซี!”
เข็มเงินในมือนางยั้งได้ทันเวลาเมื่อทั้งสองหันกลับมา ท่านอ๋องถึงกับถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าหลิ่วอวิ๋นซีใจร้อนกว่าที่เขาคิด
“พวกท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“แม่นางแล้วเจ้าเล่าเป็นผู้ใดกัน หากอยากจะถามนามผู้อื่นเจ้าก็น่าจะแนะนำตัวเองก่อนตาม…. มารยาท พี่ห้า ๆ ช่วยข้าด้วย”
เข็มเงินจ่ออยู่ที่คอหอยของอีกฝ่าย แม้จะยังไม่ปักลงไปแต่ก็ทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นมานิดหน่อย ไม่คิดว่านางรำผู้นี้จะเคลื่อนไหวประดุจสายลม เพียงพริบตาเดียวก็ถึงตัวเขาทั้งสองแล้ว
“เคลื่อนไหวดุจสายลม ดุดันราวเมฆาพิโรธมาพร้อมกับเข็มเงินวารี แม่นางคือศิษย์หญิงเพียงคนเดียวของอาจารย์ภูตเข็มพิสดาร “ไป๋ลู่ตง” สินะ”
พยัคฆ์ที่รอเวลาเช่นนี้มีหรือที่จะพลาดโอกาส เขารีบลุกขึ้นและโอบรอบเอวพระชายาของตนเองเอาไว้ในทันที และหันไปลาฝ่าบาทกับฮองเฮาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาท“ในเมื่อเป็นประสงค์ของพระชายา เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอทูลลาก่อน เอาไว้เราค่อยมานั่งสนทนากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถอะ ๆ พวกเจ้ารีบไปเถอะไป ให้ตายเถอะเรื่องเช่นนี้นางก็กล้าพูดออกมา เห็นทีคงปล่อยให้ท่องยุทธภพนานเกินไปสินะ ไม่เหลือคราบองค์หญิงแห่งแคว้นเลยสักนิด”""เช่นนั้นทูลลาเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ""อวิ๋นซีและท่านอ๋องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาทไป เมื่อยิ่งได้มอง กงซุนหลิงเฮ่อก็เริ่มถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะให้กับทั้งสองคนที่พึ่งออกจากตำหนักไป“โตแล้วนะนั่น ยังทำนิสัยไม่ต่างกับเด็ก ๆ เลย”“ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง แต่กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คงกลัวว่าในวันข้างหน้าซีเอ๋อร์จะลำบากเมื่อท่านอ๋องจำเป็นต้องรับพระสนมสินะเพคะ”“ใช่แล้วเพียงแต่ว่าคนอย่างซีเอ๋อร์น่ะ ยอมหักไม่ยอมงอ นางเคยยอมให้ผู้ใดที่ไหน แค่ทะเลาะกับสนมจิ่วครั้งนั้น ถึงกับยอมทิ้งฐานะองค์หญิงออกผจญใต้หล้ากับอาจารย์ไป๋ ข้าก็แค่หาทางรอดให้ท่านอ๋องเท่านั้นแต่เจ้าดูสิ พวกเขาเข้ากันดีกว่าที่ข้
แคว้นจ้าว / สุสานจักรพรรดิ“ซีเอ๋อร์”ท่านอ๋องหันมาประคองกอดพระชายา ที่ยืนร้องไห้หลังจากที่ทำพิธีสักการะอดีตองค์จักรพรรดิเสร็จแล้ว“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ที่จริงก่อนที่จะเดินทางมาถึงหม่อมฉันฝันถึงเสด็จพ่อครั้งหนึ่ง”“งั้นหรือ แล้วเจ้าฝันว่าอย่างไรบ้างเล่า พระองค์มาให้กำลังใจหรือว่า… มาบอกลา”“ไม่ใช่เพคะ พระองค์เดิมมากอดหม่อมฉันเอาไว้ แล้วบอกว่า…”‘ใช้ชีวิตให้ดี แม่กับพ่อจะอยู่กับเจ้าตลอดไป….’ท่านอ๋องฟังที่พระชายากล่าวก็ดึงนางเข้ามากอด แม้นใบหน้าของอวิ๋นซีจะนิ่งแต่กลับมาน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ตงหรานพานางเดินออกมาหน้าสุสานจักรพรรดิ และทอดสายพระเนตรมองไปยังด้านหน้าซึ่งเป็นดินแดนทุ่งน้ำแข็งของแคว้นจ้าวที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ “มีคนเคยกล่าวว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นบุพการี พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้องทุกคนต่างก็ไม่เคยจากเราไปไหน ทุกคนอยู่รอบ ๆ กายเราอยู่เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นแต่หากใช้หัวใจสัมผัส ก็จะรับรู้ถึงความรักของพวกเขาได้ทันที”“เช่นนั้นเองหรือเพคะ หม่อมฉันก็คงต้องคิดเช่นนั้น”“เหตุใดแม้แต่ตอนร้องไห้เจ้าก็ยังงดงามไม่สร่าง เห็นทีว่าข้าคงจะหลงพระชายาของตัวเองจนมิอาจห้ามใจได้แล้ว”
ห้องส่งตัวถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องก็เดินเข้ามา แม่สื่อจัดการปิดประตูทันที อวิ๋นซีที่นั่งรออยู่ในห้องพร้อมกับสาวใช้อาลี่และอาเวิน เมื่อเจ้าบ่าวเข้ามาพวกนางก็เดินออกไปทันที “ซีเอ๋อร์ เจ้ารอข้านานหรือไม่”“ไม่เพคะ มีอาลี่กับอาเวินนั่งคุยเป็นเพื่อน หม่อมฉันรอได้… เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนี้”ท่านอ๋องหันมามองเจ้าสาว ที่จริงเขามิใคร่อยากจะบอกกับนางเท่าใดนัก เนื่องเพราะมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเท่าใด อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันมงคลของเขากับนาง“ช่างเถอะ ข้าคงดื่มมากเกินไป เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วสินะ เราไปแช่น้ำอุ่นสักหน่อยดีหรือไม่”“ท่านดื่มมาหนักหรือเพคะ"“เปล่าหรอกข้ากลัวว่าเจ้าจะปวดเมื่อยน่ะ พิธีการในวันนี้ค่อนข้างจุกจิกและวุ่นวาย ก็เลยคิดว่าเจ้าจะเหนื่อย”“ตงหราน ท่านมีเรื่องอะไรในใจอย่างนั้นหรือ”“ข้า…”“หากท่านไม่พูด เกรงว่าคืนนี้ข้าจะให้ท่านนอนเฝ้าห้องส่งตัวเพียงลำพัง”“ไม่นะ! ข้าพูดแล้ว ๆ เจ้าก็อย่าขู่ข้านักเลยน่า คืนนี้เป็นคืนเข้าหอเจ้าสาวจะทิ้งไปได้เช่นไร ผิดธรรมเนียม”“เช่นนั้นก็พูดออกมา เราเข้าพิธีคำนับฟ้าดินกันไปแล้วก็ถือเป็นสามีภรรยากันถูกต้อง ท่านสาบานด้
แม้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อต้องมาสู้ศึกบนเตียงกับพยัคฆ์ที่หิวโหยอย่างเฉินตงหราน ก็ทำเอาอวิ๋นซีหมดเรี่ยวแรงไปได้เช่นกัน “พระองค์หยุดพักบ้างเถิด หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”“เช่นนั้นก็ได้”เกือบฟ้าสางกว่าท่านอ๋องจะยอมให้นางนอนพัก แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้นางก่อนจะนอน แต่ด้วยสติที่แทบจะไม่เหลือจึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปประชุมราชสำนักแต่เช้าแล้ว“คนบ้าอะไรกัน ข้านอนหลับหมดเรี่ยวแรงแต่กลับยังตื่นไปประชุมเช้าได้อีกงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลย”สิบวันถัดมาฤกษ์อภิเษกถูกส่งมาจากโหรหลวงจากวังหลวง พระราชทานโดยฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระเชษฐาองค์โตของเหล่าท่านอ๋องทั้งสี่ ในครั้งนี้ฝ่ายกรมพิธีการของวังหลวงเฉินซานมาด้วยตัวเอง และส่งชุดแต่งงานพระราชทานมาพร้อมกับช่างภูษาอีกกว่าสามสิบชีวิต เพื่อช่วยจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ให้สมเกียรติของทั้งสองแคว้น“เนื่องจากฮองเฮาประสูติพระธิดาอีกพระองค์ซึ่งนับเป็นองค์หญิงลำดับที่สองในราชวงศ์เฉิน “เฉินลู่หมิง” จึงมิอาจมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้ของท่านอ๋องได้ กระหม่อมเป็นตัว
อวิ๋นซียิ้มแต่มิได้พูดอะไรตอบกลับไป นางรู้สึกว่ามีบางอย่างกั้นเอาไว้ที่คอ หากแค่เพียงเอ่ยออกไปคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพื่อเป็นคำตอบให้เขาเท่านั้น“ซีเอ๋อร์… ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”“ข้าเองก็รักท่าน” “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว พวกเราก็รีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย” “ท่านก็แค่จะหาเรื่องกินเต้าหู้ข้าเท่านั้น”“อย่าทำเป็นรู้ดี ข้าอยากทำมากกว่านั้นเยอะเลยพระชายาที่รัก เจ้าคงต้องทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ”ท่านอ๋องรวบตัวนางขึ้นมาอุ้มและพาเดินเข้าไปด้านในตำหนักทันที ท่านอ๋องทั้งสามพร้อมกับฝ่าบาทที่นั่งอยู่ที่ตำหนักรับรองหันไปมอง เฉินรั่วเฟิงเป็นคนเอ่ยขึ้นคนแรก“พี่สามเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่านี่มันค่อนข้างผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย มิใช่ว่าจะต้องมีพิธีซ่อนเจ้าสาวหรือแยกกับพระชายาก่อนเข้าพิธีหรอกหรือ แต่นี่เขาแทบไม่ห่างจากว่าที่พระชายาของเขาเลยนะ”“เฮ้อ… น้องเก้าเจ้าอิจฉาก็ยอมรับมาตรง ๆ เถอะน่า”“พี่แปดท่านพูดก็พูดเรื่อยเปื่อย ข้าน่ะหรือจะอิจฉาเขา ความรักคือเรื่องวุ่นวายข้าไม่สรรหามาให้ปวดหัวหรอก ดูอย่างโม่ชิงเซียนสิ ผิดหวังถึงกับต้องออกบวชเลยนะ เพราะรู้ว่าสู้พี่สะใภ้ไ
โม่หยางหันมาคุกเข่าทั้งน้ำตา เขารู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาไม่พ้นโทษตายอยู่แล้วจึงมิได้คิดจะกล่าวโทษท่านอ๋อง“ท่านอ๋องขอพระองค์โปรดให้กระหม่อม ได้มีโอกาสจัดงานศพให้บิดาเพื่อแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ โทษหลังจากนี้กระหม่อมยินดีที่จะรับผิดแทนบิดาแต่เพียงผู้เดียว”โม่หยางคุกเข่าและกราบลงแนบพื้นอีกครั้ง อวิ๋นซีจับแขนท่านอ๋องเอาไว้แน่น “คุณชายโม่เป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเราทลายคลังอาวุธและบอกที่ซ่อนของกองกำลังของสกุลโม่ทั้งหมด ท่านควรจะให้โอกาสเขา อีกอย่างผู้ที่ทำผิดมีเพียงบิดาของเขา แม้แต่โม่ชิงเซียนก็ไม่รู้เรื่อง”“ข้าเข้าใจที่เจ้าจะพูด ข้าไม่ได้จะลงโทษเขา”ท่านอ๋องเดินมาและจับตัวโม่หยางขึ้นมาทันที พร้อมกับอนุญาตสิ่งที่เขาขอ“โม่หยาง เจ้าเป็นบุตรกตัญญู เป็นผู้ที่ช่วยข้าเรื่องเบาะแสของกบฏและยังช่วยจับตัวผู้กระทำผิด คำขอของเจ้าข้าอนุญาต ส่วนเรื่องความผิดบิดาของเจ้ารับไปทั้งหมดแล้ว พาศพเขากลับไปทำตามที่สมควรเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางที่เข้าร่วมกับกบฏในครั้งนี้มีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ทุกคนถูกประหารและครอบครัวถูกเนรเทศออกจากหลิงโจวเพื่อเป็นการลงโทษ มีการแต่งตั้งขุนนางใหม่อีกหลายคนในร