“ท่านรู้นามอาจารย์ข้าได้อย่างไร”
“อวิ๋นซีถอยออกมา พวกเขาไม่ใช่คนร้าย”
“ถวายบังคมท่านอ๋องห้า และท่านอ๋องเก้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีหันไปมองบุรุษที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ นางก็เริ่มเข้าใจ เข็มเงินถูกเก็บเข้าไปอีกครั้งก่อนที่บุรุษที่ยืนเกร็งอยู่จะถอนหายใจยาว เขาดูเยาว์กว่าอีกคนหนึ่งแต่ท่าทางถือดีและพูดมากนั้นทำให้นางเดาได้ทันที
“ท่านก็คือเสิ่นอ๋อง แห่งเสิ่นโจว”
“ล่วงเกินแล้ว ข้า “เฉินเฟิ่งเซียว” องค์ชายห้าแห่งเฉินซาน ยินดีที่ได้พบ นี่น้องเก้าของข้า…"เฉินรั่วเฟิง" ต้องขออภัย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่ารีบจัดการเรื่องตรงหน้าก่อนจะดีกว่า”
“น้องห้า น้องเก้า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ข้าให้พวกเจ้าเฝ้าดูเอาไว้มิใช่หรือ”
“ท่านแม่!”
เสียงของใต้เท้าเพ่ยดังขึ้นเมื่อเขาเดินตามมาถึงและเห็นบางอย่างอยู่ในห้อง เสียงร้องโหยหวนเริ่มดังขึ้นเมื่อทุกคนหันไป ร่างของฮูหยินผู้เฒ่าถูกแขวนตาค้างอยู่บนคานในห้องของตัวเอง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
“คนร้ายเบี่ยงความสนใจ ทำท่าว่าจะไปโจมตีท่านด้านใน แต่ที่จริงแล้วเป้าหมายของพวกมันอยู่ที่ฮูหยินผู้เฒ่า”
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เรียนนายท่าน ข้ากับสาวใช้อีกสองคนพาฮูหยินผู้เฒ่าเดินกลับมาเพื่อจะมาพักผ่อน หลังจากเดินออกไปก็ได้ยินเสียงของตกจึงได้รีบกลับมาดู ไม่คิดว่า… จะเห็นฮูหยิน...”
“ท่านแม่! ฮือ….”
ท่านอ๋องหันไปมองสภาพศพที่ตายังค้างอยู่ซึ่งตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากดวงตา ซึ่งนับว่าผิดปกติของผู้ที่จะฆ่าตัวตาย และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเชื่อว่านางฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน
“นางถูกพิษ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เฉินเฟิ่งเซียว” เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าและสภาพศพที่เริ่มเปลี่ยนไป
“ฝ่ามือคล้ำ โลหิตไหลตามห้าทวาร นางถูกพิษเซ่าจู่ก่อนจะถูกฆ่า”
“เจ้ารู้เรื่องพิษด้วยหรืออวิ๋นซี”
“หึ พี่สามท่านดูแคลนศิษย์ของอาจารย์ไป๋เกินไปแล้ว ดูท่าเรื่องในคืนนี้คงจะซับซ้อนกว่าที่เราคิดเอาไว้”
“ท่านอ๋อง พวกเราจับผู้ต้องสงสัยมาได้คนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
คนร้ายที่ถูกมัดโดยมีทหารองครักษ์นำตัวออกมาสวมชุดบ่าวของสกุลเพ่ย แม้ว่าเขาจะไม่พูดแต่ใต้เท้าเพ่ยกลับจำได้
“จื่อหลง! เหตุใดเป็นเจ้า”
“ระวัง เขาจะกัดยาพิษ!”
“ปึก!”
“พี่ห้า!”
ฝ่ามือของอ๋องห้าฟาดลงไปที่ต้นคอ
“ล้วงเอายาพิษออกมา ข้าจะไปตรวจดูว่าเป็นพิษชนิดใด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารทำตามคำสั่งทันที อวิ๋นซีไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่รวดเร็วกว่านาง หากเดาไม่ผิดเขาน่าจะเป็นหมอเทวดารุ่นหลังที่อาจารย์เคยบอกเอาไว้จริง ๆ
“หมอเทวะรุ่นเยาว์ นับถือแล้ว”
“ขออภัยที่จริงข้าเองก็อยากเห็นพิษของเข็มวารี แต่เพราะข้าอยู่ใกล้กว่าลงมือได้ง่ายกว่าเจ้าก็เลยจัดการเสียก่อน”
“พี่สาม ข้าให้คนพาพวกมันกลับไปที่คุกหลวงของหลิงโจวแล้ว”
“ใต้เท้าเพ่ย เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง ทานไม่ต้องห่วง”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเดินมาตบไหล่ของใต้เท้าเพ่ยที่พึ่งจะจัดงานเลี้ยงเพื่ออวยพรมารดาของตนเอง แต่วันนี้กลับเป็นวันตายของนาง
“โปรดหักห้ามใจด้วย ข้าจะส่งคนมาจัดงานศพให้ฮูหยินผู้เฒ่าอ่างสมเกียรติ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนเดินกลับออกมา แต่สองท่านอ๋องกลับเลือกจะใช้ม้าเป็นพาหนะแทน
“นางก็จะไปกับพวกเราหรือพี่สาม นางคือใครกัน คงไม่ใช่ว่าท่านหาพี่สะใภ้ให้ข้าได้แล้วหรอกนะ เรื่องนี้ข้าพลาดไปได้เช่นไร สายข่าวของหอหรงเยว่ไม่เคยพลาดแต่ทำไม…”
“น้องเก้า! เจ้าพูดมากไปแล้ว”
ท่านอ๋องหันไปมองหน้าอวิ๋นซีที่ทำเพียงกอดอกและยืนขมวดคิ้วให้กับเฉินรั่วเฟิง แต่ท่านอ๋องที่พักตร์เริ่มแดงและรู้สึกร้อนผ่าวจึงรีบหันไปตวาดทันที
“รีบตามข้ากลับวัง ส่วนเจ้าขึ้นรถม้ากลับไปกับข้า”
“ข้าจะกลับไปพร้อมกับนางรำคนอื่น ๆ เอาไว้ค่อยตามพวกท่านเข้าวังจะได้ไม่ทำให้ดูน่าสงสัย ทุกท่านขอตัวก่อน”
ว่าแล้วอวิ๋นซีก็เดินกลับไปยังรถม้าของหอลั่วฟางที่จอดรออยู่ด้านหลัง รั่วเฟิงหันไปมองตามร่างอรชรที่เดินไปจนสุดสายตา เมื่อหันกลับมาจึงเห็นว่าพี่สามของตนเองมองนางอยู่เช่นกัน กรามที่กัดแน่นเพราะความหงุดหงิดเล็กน้อยเรียกความสนใจของรั่วเฟิงจนใคร่รู้
“นางไปถึงรถม้าแล้วกระมังพี่สาม หากท่านอยากให้นางกลับไปด้วยทำไมไม่พูดดี ๆ เล่า หรือว่าออกคำสั่งจนเคยตัว”
“น้องเก้าเจ้าพูดมากไปแล้ว เช่นนั้นก็เอาม้าข้ากลับไปด้วย ข้าจะนั่งรถม้าไปกับพี่สาม”
“อ้าวเดี๋ยวสิพี่ห้า! ท่านทิ้งกันเช่นนี้เลยหรือ ไม่เอา เสี่ยวอวี้ ไป่อี้ พวกเจ้าจัดการที ข้าจะไปนั่งรถม้า ขี่ม้ามาสามวันสามคืนเมื่อยจะตาย”
“รีบกลับเถอะ”
ทั้งสามเดินขึ้นรถม้าไปพร้อมกัน และพูดคุยระหว่างทาง
“ครั้งนี้ไม่ใช่หอฟงหรู แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนร้ายจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม”
“ไม่ใช่ พวกเจ้าคิดผิดแล้ว วิธีการน่าจะเป็นพวกมันอย่างแน่นอนแต่ว่าครั้งนี้ คงจะปิดบังเอาไว้หรือไม่ก็ให้นักฆ่าหน้าใหม่มาทำงานแทน ก็เลยยังไม่มีรอยสัก”
“นักฆ่าฝึกหัดงั้นหรือ พี่สามที่ท่านพูดมาน่าสนใจยิ่งนัก น้องเก้าเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“แน่นอนว่าหอฟงหรูมีนักฆ่าสี่ระดับ นักฆ่าฝึกหัด นักฆ่าสายลับ นักฆ่าแดนมืด และภูตมรณะ ที่ลงมือกับฮูหยินผู้เฒ่าก็คือนักฆ่าแดนมืดที่ใช้พิษเป็น”
“ถึงกับใช้นักฆ่าขั้นสองกับคนแก่คนหนึ่ง พวกมันต้องการสิ่งใด”
“พี่ห้ากล่าวผิดแล้ว ที่เขาต้องใช้นักฆ่าระดับสองนั่นเป็นเพราะว่าวันนี้พวกมันรู้ว่าพี่สามจะมาที่นี่ ต่างหากเล่า”
“เช่นนั้นก็น่าแปลก สกุลขุนนางเก่าแก่กับสตรีวัยชราคนหนึ่ง เหตุใดจึงต้องสังหารนาง สามคนก่อนหน้านั้นที่ตายมิใช่ว่าเป็นขุนนางของราชวงศ์ก่อนหรอกหรือ”
“ใช่ พวกมันฆ่าขุนนางก่อนหน้านี้ก็เพราะพวกเขาเป็นขุนนางเก่าแก่จากราชวงศ์ก่อน แต่ก็อย่าลืมว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพ่ยก็เป็นฮูหยินตราตั้งเช่นกัน สกุลเพ่ยน่าจะมีบางอย่างที่ดึงดูดพวกมันมา”
“คือสิ่งใดกัน”
“ว่ากันว่าฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เป็นฮูหยินตราตั้งระดับสาม อดีตจักรพรรดิคนก่อนเป็นผู้แต่งตั้งให้นางเพราะความชอบที่นางช่วยเหลือฮองเฮาเอาไว้ในตอนที่นางคลอดพระโอรสออกมา พี่สามหรือว่าพวกมันต้องการตำรับยาของฮูหยินผู้เฒ่า”
“แต่ตำรับเหล่านั้นถูกส่งต่อมาให้ใต้เท้าเพ่ยที่เป็นหมอหลวงอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องไปเค้นเอากับมารดาของเขา หรือว่า...”
“น่าสนใจยิ่ง เบื้องหลังของฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้น่าจะไม่ธรรมดาแน่แล้ว ข้าจะให้หอหรงเยว่สืบเรื่องนี้ต่อเอง”
“อืม เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย”
“เอ๊ะพี่สาม ว่าแต่นางรำคนเมื่อครู่นี้ พี่ห้าบอกว่านางใช้เข็มพิษวารีของอาจารย์ไป๋ผู้เลื่องชื่อนั่น ท่านกับนางไปรู้จักกันได้อย่างไร อีกอย่างเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่แล้วยังเป็นนางรำ ท่านยังออกปากชวนนางกลับด้วยกัน นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ”
“อะแฮ่ม เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน มิใช่ว่าเจ้าสืบจนรู้หมดแล้วงั้นหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้เช่นไร ข้ารู้แค่ว่าท่านไปที่หอซิงเฟยเพื่อช่วยคนแต่ไม่ทัน ไม่คิดว่าจะได้สตรีงดงามมากด้วยพิษร้ายกาจเช่นนางกลับไปด้วยนี่ เล่ามาเถอะพี่สาม”
“น้องเก้า เจ้าอย่าพึ่งไปคาดคั้นพี่สาม ในตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือรีบสืบเรื่องของสกุลเพ่ย”
“อ้อ ใช่ ๆ พี่ห้าท่านพูดถูก แต่เรื่องนี้ข้าไม่หยุดถามแน่”
“พูดมากจริง ๆ นางก็แค่องครักษ์ข้างกายคนใหม่ของข้าเท่านั้น”
""อะไรนะ! องครักษ์ข้างกายงั้นหรือ""
พยัคฆ์ที่รอเวลาเช่นนี้มีหรือที่จะพลาดโอกาส เขารีบลุกขึ้นและโอบรอบเอวพระชายาของตนเองเอาไว้ในทันที และหันไปลาฝ่าบาทกับฮองเฮาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาท“ในเมื่อเป็นประสงค์ของพระชายา เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอทูลลาก่อน เอาไว้เราค่อยมานั่งสนทนากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถอะ ๆ พวกเจ้ารีบไปเถอะไป ให้ตายเถอะเรื่องเช่นนี้นางก็กล้าพูดออกมา เห็นทีคงปล่อยให้ท่องยุทธภพนานเกินไปสินะ ไม่เหลือคราบองค์หญิงแห่งแคว้นเลยสักนิด”""เช่นนั้นทูลลาเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ""อวิ๋นซีและท่านอ๋องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาทไป เมื่อยิ่งได้มอง กงซุนหลิงเฮ่อก็เริ่มถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะให้กับทั้งสองคนที่พึ่งออกจากตำหนักไป“โตแล้วนะนั่น ยังทำนิสัยไม่ต่างกับเด็ก ๆ เลย”“ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง แต่กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คงกลัวว่าในวันข้างหน้าซีเอ๋อร์จะลำบากเมื่อท่านอ๋องจำเป็นต้องรับพระสนมสินะเพคะ”“ใช่แล้วเพียงแต่ว่าคนอย่างซีเอ๋อร์น่ะ ยอมหักไม่ยอมงอ นางเคยยอมให้ผู้ใดที่ไหน แค่ทะเลาะกับสนมจิ่วครั้งนั้น ถึงกับยอมทิ้งฐานะองค์หญิงออกผจญใต้หล้ากับอาจารย์ไป๋ ข้าก็แค่หาทางรอดให้ท่านอ๋องเท่านั้นแต่เจ้าดูสิ พวกเขาเข้ากันดีกว่าที่ข้
แคว้นจ้าว / สุสานจักรพรรดิ“ซีเอ๋อร์”ท่านอ๋องหันมาประคองกอดพระชายา ที่ยืนร้องไห้หลังจากที่ทำพิธีสักการะอดีตองค์จักรพรรดิเสร็จแล้ว“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ที่จริงก่อนที่จะเดินทางมาถึงหม่อมฉันฝันถึงเสด็จพ่อครั้งหนึ่ง”“งั้นหรือ แล้วเจ้าฝันว่าอย่างไรบ้างเล่า พระองค์มาให้กำลังใจหรือว่า… มาบอกลา”“ไม่ใช่เพคะ พระองค์เดิมมากอดหม่อมฉันเอาไว้ แล้วบอกว่า…”‘ใช้ชีวิตให้ดี แม่กับพ่อจะอยู่กับเจ้าตลอดไป….’ท่านอ๋องฟังที่พระชายากล่าวก็ดึงนางเข้ามากอด แม้นใบหน้าของอวิ๋นซีจะนิ่งแต่กลับมาน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ตงหรานพานางเดินออกมาหน้าสุสานจักรพรรดิ และทอดสายพระเนตรมองไปยังด้านหน้าซึ่งเป็นดินแดนทุ่งน้ำแข็งของแคว้นจ้าวที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ “มีคนเคยกล่าวว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นบุพการี พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้องทุกคนต่างก็ไม่เคยจากเราไปไหน ทุกคนอยู่รอบ ๆ กายเราอยู่เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นแต่หากใช้หัวใจสัมผัส ก็จะรับรู้ถึงความรักของพวกเขาได้ทันที”“เช่นนั้นเองหรือเพคะ หม่อมฉันก็คงต้องคิดเช่นนั้น”“เหตุใดแม้แต่ตอนร้องไห้เจ้าก็ยังงดงามไม่สร่าง เห็นทีว่าข้าคงจะหลงพระชายาของตัวเองจนมิอาจห้ามใจได้แล้ว”
ห้องส่งตัวถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องก็เดินเข้ามา แม่สื่อจัดการปิดประตูทันที อวิ๋นซีที่นั่งรออยู่ในห้องพร้อมกับสาวใช้อาลี่และอาเวิน เมื่อเจ้าบ่าวเข้ามาพวกนางก็เดินออกไปทันที “ซีเอ๋อร์ เจ้ารอข้านานหรือไม่”“ไม่เพคะ มีอาลี่กับอาเวินนั่งคุยเป็นเพื่อน หม่อมฉันรอได้… เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนี้”ท่านอ๋องหันมามองเจ้าสาว ที่จริงเขามิใคร่อยากจะบอกกับนางเท่าใดนัก เนื่องเพราะมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเท่าใด อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันมงคลของเขากับนาง“ช่างเถอะ ข้าคงดื่มมากเกินไป เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วสินะ เราไปแช่น้ำอุ่นสักหน่อยดีหรือไม่”“ท่านดื่มมาหนักหรือเพคะ"“เปล่าหรอกข้ากลัวว่าเจ้าจะปวดเมื่อยน่ะ พิธีการในวันนี้ค่อนข้างจุกจิกและวุ่นวาย ก็เลยคิดว่าเจ้าจะเหนื่อย”“ตงหราน ท่านมีเรื่องอะไรในใจอย่างนั้นหรือ”“ข้า…”“หากท่านไม่พูด เกรงว่าคืนนี้ข้าจะให้ท่านนอนเฝ้าห้องส่งตัวเพียงลำพัง”“ไม่นะ! ข้าพูดแล้ว ๆ เจ้าก็อย่าขู่ข้านักเลยน่า คืนนี้เป็นคืนเข้าหอเจ้าสาวจะทิ้งไปได้เช่นไร ผิดธรรมเนียม”“เช่นนั้นก็พูดออกมา เราเข้าพิธีคำนับฟ้าดินกันไปแล้วก็ถือเป็นสามีภรรยากันถูกต้อง ท่านสาบานด้
แม้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อต้องมาสู้ศึกบนเตียงกับพยัคฆ์ที่หิวโหยอย่างเฉินตงหราน ก็ทำเอาอวิ๋นซีหมดเรี่ยวแรงไปได้เช่นกัน “พระองค์หยุดพักบ้างเถิด หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”“เช่นนั้นก็ได้”เกือบฟ้าสางกว่าท่านอ๋องจะยอมให้นางนอนพัก แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้นางก่อนจะนอน แต่ด้วยสติที่แทบจะไม่เหลือจึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปประชุมราชสำนักแต่เช้าแล้ว“คนบ้าอะไรกัน ข้านอนหลับหมดเรี่ยวแรงแต่กลับยังตื่นไปประชุมเช้าได้อีกงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลย”สิบวันถัดมาฤกษ์อภิเษกถูกส่งมาจากโหรหลวงจากวังหลวง พระราชทานโดยฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระเชษฐาองค์โตของเหล่าท่านอ๋องทั้งสี่ ในครั้งนี้ฝ่ายกรมพิธีการของวังหลวงเฉินซานมาด้วยตัวเอง และส่งชุดแต่งงานพระราชทานมาพร้อมกับช่างภูษาอีกกว่าสามสิบชีวิต เพื่อช่วยจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ให้สมเกียรติของทั้งสองแคว้น“เนื่องจากฮองเฮาประสูติพระธิดาอีกพระองค์ซึ่งนับเป็นองค์หญิงลำดับที่สองในราชวงศ์เฉิน “เฉินลู่หมิง” จึงมิอาจมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้ของท่านอ๋องได้ กระหม่อมเป็นตัว
อวิ๋นซียิ้มแต่มิได้พูดอะไรตอบกลับไป นางรู้สึกว่ามีบางอย่างกั้นเอาไว้ที่คอ หากแค่เพียงเอ่ยออกไปคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพื่อเป็นคำตอบให้เขาเท่านั้น“ซีเอ๋อร์… ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”“ข้าเองก็รักท่าน” “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว พวกเราก็รีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย” “ท่านก็แค่จะหาเรื่องกินเต้าหู้ข้าเท่านั้น”“อย่าทำเป็นรู้ดี ข้าอยากทำมากกว่านั้นเยอะเลยพระชายาที่รัก เจ้าคงต้องทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ”ท่านอ๋องรวบตัวนางขึ้นมาอุ้มและพาเดินเข้าไปด้านในตำหนักทันที ท่านอ๋องทั้งสามพร้อมกับฝ่าบาทที่นั่งอยู่ที่ตำหนักรับรองหันไปมอง เฉินรั่วเฟิงเป็นคนเอ่ยขึ้นคนแรก“พี่สามเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่านี่มันค่อนข้างผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย มิใช่ว่าจะต้องมีพิธีซ่อนเจ้าสาวหรือแยกกับพระชายาก่อนเข้าพิธีหรอกหรือ แต่นี่เขาแทบไม่ห่างจากว่าที่พระชายาของเขาเลยนะ”“เฮ้อ… น้องเก้าเจ้าอิจฉาก็ยอมรับมาตรง ๆ เถอะน่า”“พี่แปดท่านพูดก็พูดเรื่อยเปื่อย ข้าน่ะหรือจะอิจฉาเขา ความรักคือเรื่องวุ่นวายข้าไม่สรรหามาให้ปวดหัวหรอก ดูอย่างโม่ชิงเซียนสิ ผิดหวังถึงกับต้องออกบวชเลยนะ เพราะรู้ว่าสู้พี่สะใภ้ไ
โม่หยางหันมาคุกเข่าทั้งน้ำตา เขารู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาไม่พ้นโทษตายอยู่แล้วจึงมิได้คิดจะกล่าวโทษท่านอ๋อง“ท่านอ๋องขอพระองค์โปรดให้กระหม่อม ได้มีโอกาสจัดงานศพให้บิดาเพื่อแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ โทษหลังจากนี้กระหม่อมยินดีที่จะรับผิดแทนบิดาแต่เพียงผู้เดียว”โม่หยางคุกเข่าและกราบลงแนบพื้นอีกครั้ง อวิ๋นซีจับแขนท่านอ๋องเอาไว้แน่น “คุณชายโม่เป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเราทลายคลังอาวุธและบอกที่ซ่อนของกองกำลังของสกุลโม่ทั้งหมด ท่านควรจะให้โอกาสเขา อีกอย่างผู้ที่ทำผิดมีเพียงบิดาของเขา แม้แต่โม่ชิงเซียนก็ไม่รู้เรื่อง”“ข้าเข้าใจที่เจ้าจะพูด ข้าไม่ได้จะลงโทษเขา”ท่านอ๋องเดินมาและจับตัวโม่หยางขึ้นมาทันที พร้อมกับอนุญาตสิ่งที่เขาขอ“โม่หยาง เจ้าเป็นบุตรกตัญญู เป็นผู้ที่ช่วยข้าเรื่องเบาะแสของกบฏและยังช่วยจับตัวผู้กระทำผิด คำขอของเจ้าข้าอนุญาต ส่วนเรื่องความผิดบิดาของเจ้ารับไปทั้งหมดแล้ว พาศพเขากลับไปทำตามที่สมควรเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางที่เข้าร่วมกับกบฏในครั้งนี้มีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ทุกคนถูกประหารและครอบครัวถูกเนรเทศออกจากหลิงโจวเพื่อเป็นการลงโทษ มีการแต่งตั้งขุนนางใหม่อีกหลายคนในร