ลูกศิษย์ร่างน้อยก้มหน้าหลบสายตาเผด็จการคู่นั้น เอ่ยเสียงสุภาพอ่อนหวาน “ศิษย์จะออกไปบอกให้พวกเขาเตรียมน้ำร้อนไว้รอท่า ระหว่างนี้ซือฝุรีบถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออกไว้ก่อน เสื้อผ้านั่นถ้าจะเอามาใช้อีกก็ต้องต้ม ทั้งต้มทั้งนึ่งให้มากหน่อยน่าจะดี” ว่าจบ เสี่ยวจวี๋ฮวาก็ผลักประตูออกไป ทิ้งให้บุรุษที่มักวางสีหน้าเรียบเฉยทอดถอนใจไล่หลัง
การบังคับให้นางจ้องมองเพียงแผ่นหลังช่างยากเย็นเสียจริง...
“มีผู้ใดเคยสัมผัสหรือเข้าใกล้คนผู้นี้อีกหรือไม่” จ้าวหุบเขาถามเสียงขรึม
“มีอยู่ห้าคน ข้าทำตามที่ท่านเคยแนะนำไว้ครั้งก่อน แยกตัวพวกเขาออกไปเรียบร้อยแล้ว ทุกคนข้างนอกสุขภาพสมบูรณ์รู้หน้าที่ดี ล้วนไม่มีสิ่งใดต้องกังวล”
“คนของเหยี่ยวราตรีไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเรียกใช้ ที่นี่ไม่มีธุระอะไรแล้ว ในเมื่อประมุขเยว่ไม่อยากอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ออกไปควบคุมตระเตรียมสิ่งที่ควรตระเตรียมให้ดีคงเหมาะกว่า”
ระหว่างนี้กระดาษกับพู่กันมาถึงแล้ว
ท่านจ้าวหุบเขาพยักหน้าให้ชายใบ้ลงมือเขียน เยว่เทียนฟงจึงตอบเพียง “สิ่งที่ต้องเตรียมก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว” จากนั้นก็ส่งเสียงสั่งให้ทุกคนทำตามคำสั่งสตรีของจ้าวหุบเขาอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมขยับกาย
สตรีของจ้าวหุบเขารึ? ท่านจ้าวหุบเขาได้ยินแล้วหัวคิ้วอันราบเรียบย่นเข้าหากันเล็กน้อย ทว่าเมื่อนิ่งคิดทบทวนดูแล้วก็ทำเพียงถอดถุงมือและเสื้อคลุมตัวนอกออกวาง ไม่โต้แย้งใดใด
ยามนี้นางเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหุบเขา เป็นคนของหุบเขาเดียวดาย จะไม่นับเป็นคนของเขาได้อย่างไร?
ประโยคนี้ของเยว่เทียนฟงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว
เพราะครั้งก่อนตอนอาศัยอยู่ที่นี่มีเรื่องราวประเดประดังเข้ามามากเกินไป หลังจากตั้งสติเรียบเรียงเรื่องราวได้ไม่ทันไรก็ต้องรีบกวาดข้าวของที่ท่านจ้าวหุบเขาทิ้งไว้ให้ติดตามเขาขึ้นไปยังหุบเขาเดียวดาย อาจูจึงไม่ทันได้สังเกตว่าวัดร้างแห่งนี้ดูดีเกินกว่ามาตรฐานความเป็นวัดร้างกลางป่าทั่วๆ ไป
วัดร้างแห่งนี้ แม้มองเผินๆ แล้วเหมือนไม่ใหญ่โต ด้านหน้าก็รกรุงรังเสียจนไม่อยากเฉียดใกล้ แต่สิ่งปลูกสร้างกลับไม่ได้ผุพังเท่าที่ควร อาณาบริเวณด้านในเองแม้ไม่ถึงกับโล่งเตียนก็ไม่มีเศษไม้ใบหญ้ารกรุงรัง มองแล้วชวนให้นึกถึงที่พำนักของจอมยุทธสมถะผู้เร้นกายในผืนป่า หรือไม่ก็สถานที่ลับที่สมาชิกสมาพันธ์ใต้ดินบางอย่างใช้กบดาน
พิจารณาจากภาพเหล่าบุรุษชุดดำวิ่งวุ่นติดเตาต้มน้ำร้อนเตรียมถังอาบน้ำและเตานึ่งขนาดใหญ่ในไม่กี่อึดใจก่อนหน้าแล้ว อาจูแน่ใจว่ากระทั่งเด็กที่ไร้เดียงสาที่สุด มองโลกกลมๆ ใบนี้ในแง่ดีงามที่สุด ก็ไม่อาจไม่คิดเชื่อมโยงสถานที่แห่งนี้กับข้อสันนิษฐานข้อหลัง
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...
ถ้าที่นี่เป็นแหล่งซ่องสุมของสมาพันธ์อะไรนี่จริง จ้าวหุบเขาหลี่มีอภิสิทธิ์อะไรถึงมีสิทธิ์ใช้ที่นี่รักษาอาการจวี๋ฮวา ยังไม่นับอีกว่าที่นี่ตั้งอยู่ใกล้หุบเขาเดียวดายเสียจนให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากสวนหลังบ้าน...
ถ้าลองถาม คนหน้าตายนั่นจะยอมตอบไหมนะ?
อาจูใช้กิ่งไม้ที่หาเอาจากบริเวณนั้นเกี่ยวเสื้อผ้าและถุงมือท่านจ้าวหุบเขาลงวางในหม้อนึ่ง จุดประสงค์เพื่อสาธิตให้คนอื่นๆ ดูด้วยในที ต่อไปนี้พวกเขาจะได้ไม่ต้องกวาดเอาข้าวของเครื่องใช้อันได้แก่เครื่องนอนของผู้ป่วย เสื้อผ้า ภาชนะจานชามที่ผู้ป่วยแตะต้อง รวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้มีความจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้ป่วย ไปเผาไฟอย่างที่เคยทำมา
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเผาข้าวของทุกชิ้นอย่างที่เล่ามาจริงๆ หรือ” เธออดถามคนชุดดำที่คอยช่วยสั่งการคนอื่นๆ อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้
จากการตะล่อมถามชายคนนี้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ อาจูได้ข้อสรุปในใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเหล่าสมาพันธ์เฮยอิงพบผู้ป่วยโรคระบาดลักษณะอาการแบบนี้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดูคล้ายมีผู้คิดเพาะเลี้ยงเชื้อโรคร้ายเอาไว้ใช้งาน...
ชายที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าคอยสั่งการทุกคนอยู่อีกชั้นนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนตอบ
“ขอรับ”
หลังจากโดน “สตรีของท่านจ้าวหุบเขา” ผู้ “เปี่ยมเมตตา” ทั้งยัง “มีอัธยาศัยไมตรีเป็นเลิศ” ใช้ทั้งสถานะที่คนอื่นให้มาแบบงงๆ ควบรวมกับกิริยาวาจาหลอกล่อซื้อใจสำเร็จ ชายคนนี้ก็คล้ายจะไว้ใจ ยอมเปิดปากพูดเรื่องที่พูดได้โดยง่าย
ข้อมูลแรกสุดที่อาจูได้จากชายคนนี้ก็คือเรื่องที่สมาพันธ์เฮยอิงเป็นสมาพันธ์ของเหล่าสำนักคุ้มภัยที่มีเครือข่ายโยงใยถึงสามอาณาจักรหกแคว้น
ชายคนนี้ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าเป็นอาณาจักรไหน แคว้นไหน มีค่ายพรรคสำนักคุ้มกันภัยสำนักใดเข้าร่วมบ้าง และต่อให้เขาสาธยายให้ฟัง คนหลงยุคอย่างเธอก็คงจะไม่รู้จักอยู่ดี ก็เลยไม่ได้ซักถามลงลึกสักเท่าไหร่...แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่คนมีหูมีตากว้างขวางหน่อยย่อมต้องรู้ และเป็นเรื่องที่หากอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ ลองไปถามใครต่อใครดู หากคนผู้นั้นรู้ก็คงจะยินดีบอกกล่าว แต่การที่คนเพิ่งพบหน้ายอมเปิดปากเล่าเรื่องให้ฟังตั้งมากมายแบบนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มเปิดใจให้คู่สนทนา
“ไม่เฉพาะข้าวของเท่านั้น ยังต้องเผาซากศพและบ้านเรือนทิ้งอีกด้วย” เขาขยายความ
“ข้อเสียของการไม่มียาฆ่าเชื้อสินะ...” อาจูอดบ่นไม่ได้ “ตอนเผาสะเก็ดหนังติดเชื้อกับชิ้นส่วนข้าวของอันตรายพวกนั้นไม่หลุดปลิวในอากาศบ้างหรือไง?”
“หมายถึงโรคระบาดนั่นรึ? ก็มีบ้าง ตอนนั้นพายุลมแรง ท่านจ้าวหุบเขาของเจ้าตำหนิข้าจนหูชาเชียวล่ะ” จู่ๆ เยว่เทียนฟงก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo