ภายในห้องพักที่เงียบเชียบจนอาจได้ยินเสียงเข็มตก ท่านจ้าวหุบเขาสั่งให้ผู้ป่วยวัยกลางคนบนเตียงอ้าปาก หลังตรวจดูจนพอใจก็เลื่อนมือขึ้นสัมผัสตุ่มหนองชวนขนลุก แตะๆ ดูถึงขนาดนั้นแล้วถึงค่อยสั่งให้ผู้ป่วยถอดเสื้อ เผยให้เห็นตุ่มหนองที่แพร่กระจายไปทั่วร่าง
ตุ่มหนองที่มีรอยบุ๋มตรงกลาง...
ยิ่งเห็นภาพนี้อาจูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหายใจติดขัด
อาจูแค่รู้สึกเหมือนจะหายใจติดขัด แต่อีกคนข้างๆ ใบหน้าเคร่งเครียด เขียวคล้ำ นัยน์ตาสีดำสนิทที่เคยฉายแววสนุกสนานรื่นเริงก็ดูดิ่งลึกสุดหยั่ง ชวนให้นึกถึงคนโดนสะกัดจุดให้ไม่อาจเคลื่อนไหวแล้วจับโยนลงแม่น้ำ แม้ไม่อาจออกอาการ แต่ในใจอึดอัด ทุรนทุราย ใกล้หมดลมหายใจเต็มที
ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งเครียดเป็นการเป็นงาน บุรุษชุดดำโพล่งถามออกมาเสียดัง ดูก็รู้ว่าทนรอต่อไปไม่ไหว
“เป็นโรคระบาดจริงๆ ใช่ไหม”
ก่อนตอบ ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองใบหน้าลูกศิษย์เล็กน้อย
“ออกไปข้างนอกค่อยคุยกัน” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
เพียงเท่านั้นคนไข้บนเตียงก็คล้ายจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา
เขาคว้าเสื้อคลุมท่านจ้าวหุบเขาไว้แน่นเท่าที่พอจะมีเรี่ยวแรง ทั้งสีหน้าและแววตาล้วนบ่งบอกว่าต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย
“วางใจเถอะ ดูจากอาการแล้วยังพอมีทางรักษา” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พูดจบแล้วก็นิ่งรอให้อีกฝ่ายปล่อยมือ ดูไม่สะทกสะท้าน
เป็นอาจูเสียเองที่แทบอยากถลาเข้าไปแยกผู้ป่วยออกจากจ้าวหุบเขาหลี่ ติดที่ว่าอีกฝ่ายกำลังป่วย ไม่สมควรถูกปฏิบัติด้วยความรุนแรง
“พี่ชายท่านนี้ ในเมื่อท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยปากว่ารักษาได้ก็ย่อมรักษาได้ ท่านยังมีอะไรต้องกังวล?” อาจูพยายามหว่านล้อมด้วยเหตุผล “รีบปล่อยท่านจ้าวหุบเขาออกมาก่อนเถอะ โรคนี้ติดต่อกันได้ หากทำหมอพลอยเจ็บป่วยตามไปด้วยแล้วใครจะเป็นผู้รักษาเยียวยา”
คนป่วยฟังแล้วมีท่าทีอ่อนลงแต่ยังคงกำชายเสื้อคลุมไว้แน่น ปากก็ส่งเสียงอ้าอ้ายไม่ยอมหยุด
“หรือพี่ชายมีเรื่องอยากพูด?”
เพียงอาจูเอ่ยคำนี้ ผู้ป่วยที่ไม่อาจสื่อสารด้วยการพูดก็พยักหน้าขึ้นลง ดวงตาแดงก่ำจ้องลึกลงในดวงตาจ้าวหุบเขาหลี่ ท่าทางคล้ายคนมีเรื่องที่ไม่อาจปล่อยวางอยากวิงวอน
“เขียนหนังสือเป็นไหม” ท่านจ้าวหุบเขาถาม
คราวนี้คนฟังส่ายหน้า แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าหงึกหงัก
ชายชุดดำที่ยืนมองเงียบๆ มาตลอดรีบออกคำสั่งให้คนด้านนอกนำกระดาษ หมึก และพู่กัน เข้ามาทันที ไม่แน่ว่าสิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่คนผู้นี้รอคอยอยู่เช่นกัน
จะเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ...
อาจูขมวดคิ้วมุ่น แม้ตอนนี้ผู้ป่วยบนเตียงจะยอมปล่อยมือ แต่เสื้อคลุมท่านจ้าวหุบเขาก็เปื้อนคราบเหลืองอมส้ม ไม่สมควรปล่อยทิ้งไว้
เธอเคยเห็นภาพถ่ายตุ่มหนองที่มีรอยบุ๋มลักษณะนี้มาก่อน ถึงแม้จะจำไม่ได้ว่าเป็นลักษณะอาการของโรคอะไร ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ใช่แค่โรคผิวหนังธรรมดาๆ
ถ้าเธอจำไม่ผิด ที่เห็นอยู่นี้เป็นลักษณะอาการของโรคติดต่อบางอย่างที่ร้ายแรงพอตัว...
ในหนังสือเรียนสุขศึกษาพวกนั้นสอนไว้ว่ายังไงนะ?
เชื้อโรคโดยมากกำจัดได้ด้วยความร้อน...ส่วนโรคภัยไข้เจ็บก็ป้องกันได้ด้วยการระมัดระวังรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรง?
“ซือฝุ จะอย่างไรถอยออกมาทำความสะอาดร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า...” ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าการอาบน้ำชำระล้างร่างกายจะเพียงพอหรือเปล่า แต่สำหรับยุคสมัยนี้ ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ไม่ว่าจะอย่างไร เอาถุงมือกับเสื้อผ้าติดเชื้อนั่นออกจากตัวก่อนเป็นดี!
ทว่าท่านจ้าวหุบเขาก็ยังคงเป็นท่านจ้าวหุบเขา เขาไม่แม้แต่จะเหลียว
มองมา ไม่พูดไม่จา ไม่หือไม่อือแม้แต่น้อยตาทึ่มหน้าตายคนนี้นี่! นี่เขาคิดว่าตัวเองมีวรยุทธสูงส่ง ชำนาญการแพทย์ แล้วจะเอาชนะเชื้อไวรัสได้หรือไง?
“ไม่มีอะไรน่ากังวลถึงเพียงนั้น”
ประโยคนี้จากหลี่หยางทำเอาความอดทนของอาจูขาดผึง
ขืนปล่อยไว้แบบนี้ อีกไม่นานเสี่ยวจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องกลายเป็นศิษย์กำพร้าอาจารย์แล้ว...
ไม่เอา! ข้ายังฝึกฝนเดินลมปราณทะลวงจุดไม่ถึงไหนเลยนะ!
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo