FAZER LOGINชายหนุ่มรู้ทันจึงเบี่ยงแขนหลบในท่าที่ยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงนางอยู่ไม่ยอมปล่อย
หญิงสาวก้มหน้าไล่งับแขนของเขาซ้ายทีขวาที เขาก็เบี่ยงหลบซ้ายทีขวาที จนร่างของทั้งคู่กลิ้งไปตามพื้น พัลวันพันตูอยู่อย่างนั้น
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างบางเริ่มเหนื่อย การเคลื่อนไหวจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่
หญิงสาวหอบ แฮ่ก แฮ่ก จนตัวโยนอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั่น พอเริ่มหายเหนื่อยก็รู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอจากด้านหลัง นางจึงตั้งท่าจะดิ้นอีก จนชายหนุ่มต้องยอมจำนนกับอาการพยศที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดฤทธิ์ง่ายๆ
“เป็นข้าเอง หลี่ซ่งหมิน เจ้าของห้องนี้” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด
หญิงสาวถึงกับชะงัก
หยุดดิ้น
แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นนางก็ดิ้นต่ออย่างแรง
ชายหนุ่มอยากจะหัวเราะกับกิริยาของหญิงสาว
เอาล่ะ! เขาต้องยอมนางจริงๆ
ชายหนุ่มค่อยๆปล่อยแขนและขาของเขาที่รัดนางอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปจุดเทียนเพื่อให้ความสว่างภายในห้อง
หญิงสาวรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า จัดทรงผมให้เข้าที่
เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อย จึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่ซ่ง หมินอย่างเต็มตา พบว่าเขายืนกอดอกมองนางอยู่
หญิงสาวถึงกับหน้าแดง ทำตาวาวดั่งแมวป่า จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง
ชายหนุ่มมองกิริยาของหญิงสาวตรงหน้า เขาอยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ แต่ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่ชอบให้ใครล่วงรู้ความคิดของเขาเอาเสียเลย
“ไฉนเป็นท่าน” หงเหม่ยหลงโพล่งถามออกมา
“นี่ห้องของข้า...ย่อมเป็นข้าที่อยู่ในห้อง” ชายหนุ่มตอบกลับหน้าตาเฉย แต่แววตากลับซ่อนความขบขัน
“ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หญิงสาวถามอย่างเอาเรื่อง
นางจำชายหนุ่มได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังรู้สึกดีใจอยู่หลายส่วน
“นี่เป็นบ้านข้า ข้าย่อมอยู่ที่นี่ เจ้าแอบแฝงตัวเข้ามาโดยไม่รู้จักเจ้าของบ้านได้อย่างไร” ชายหนุ่มถามขึ้นทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ไยท่านยังไม่ยอมนอน” นางถามออกไปตามตรง เพราะมั่นใจว่าเจ้าของห้องนอนหลับแล้ว นางจึงแอบย่องเข้ามา
“ถ้าข้านอนแล้ว ย่อมไม่ได้จับแมวขโมยตัวเป็นๆ” เขากล่าวออกไปอย่างนั้นเอง แต่เหมือนจะเป็นความจริง เพราะหญิงสาวถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนตอบ
“ข้า...ข้า...เอ่อ แค่อยากมาหาหนังสืออ่านเท่านั้น มิได้มีประสงค์ร้าย” หญิงสาวตอบตามตรง
“อยากอ่านหนังสือแล้วไยไม่มาตอนกลางวันเล่า”
“ก็ตอนกลางวันมีท่านอยู่ตลอดเลยนี่ ข้าจะเข้ามาได้อย่างไรเล่า”
“แล้วทำไมจะเข้ามาไม่ได้เล่า”
“ก็...” นางจะเข้ามาตอนที่เขาอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อนางไม่รู้ว่าเป็นเขา และถึงนางจะรู้ แต่นางก็ไม่กล้าเข้ามาอยู่ดี เพราะ แท้จริงแล้วนางอยากได้หนังสือเกี่ยวกับการคัดเลือกสาวงาม
“ก็...ก็ข้าไม่อยากรบกวนท่าน” นางตอบ ก่อนเอียงหน้าไปอีกด้านตัดพ้ออยู่ในใจ เสี่ยวอิงนะเสี่ยวอิง ข้าไม่น่าเชื่อเจ้าเลย
“อาการบาดเจ็บของเจ้า หายดีแล้วกระมัง” ชายหนุ่มถามหญิงสาวด้วยเสียงอ่อนโยนลง เขาถูกใจกับคำตอบและกิริยาเมื่อครู่ของนาง
“หือ” หญิงสาวหันมากระพริบตาใส่เขา “อ้อ...ดีแล้ว ข้าหายดีแล้ว แล้วท่านเล่า”
“เจ้าหายตัวไปเสียหลายวัน ย่อมไม่รู้อาการของข้าสินะ” ชายหนุ่มเอ่ยเชิงตัดพ้อ
“เช่นนั้นท่านคงหายดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวเสียงเบา
หลี่ซ่งหมินมิได้กล่าวสิ่งใดต่อ เขาเพียงเดินไปจุดเทียนอีกเล่มที่บริเวณชั้นหนังสือ และอีกเล่มที่บริเวณโต๊ะที่ใช้นั่งอ่านหนังสือ ก่อนจะนั่งลงตรงตั่งตัวหนึ่งแล้วเหลือตั่งอีกตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับเขา เป็นเชิงให้หญิงสาวมานั่งลง
ภายในตำหนักหลวงของแคว้นต้าหลี่..."สิบกว่าปีมานี่ หยางเอ๋อร์ของเรา ไม่เคยทำให้ผิดหวัง" หลี่ซ่งหมินเอ่ยขึ้นกับหงเหม่ยหลงที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ตรงริมระเบียงของตำหนัก ชายหนุ่มยังคงประคองกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักไม่เสื่อมคลาย ขณะกล่าวต่อเนิบนาบน้ำเสียงเรียบเรื่อย "หยางเอ๋อร์เคยบอกกล่าวแก่ข้าว่าไม่จำเป็นต้องรับสนมเพื่อเสริมอำนาจแต่อย่างใด เพราะอำนาจเหล่านั้นเขาสามารถสร้างขึ้นมาได้" สีหน้าภาคภูมิใจในตัวของบุตรชายหนึ่งเดียวแสดงออกฉายชัดพร้อมๆกับประโยคที่เอื้อนเอ่ยหงเหม่ยหลงที่เพียงนั่งฟังเงียบๆจึงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล "เป็นเพราะข้า หยางเอ๋อร์จึงต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะข้าเห็นแก่ตัว ซ่งหมิน...ความรักของเราเป็นดาบสองคม" หญิงสาวหยุดคำอยู่อึดใจก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด "ปีนี้หยางเอ๋อร์อายุย่างเข้ายี่สิบห้าปีแล้ว เขายังคงครองตัวเป็นโสด ไม่สนใจอิสตรี ทำแต่ศึกสงคราม ไม่สนใจใคร สนใจแต่อำนาจ ทำตัวเหี้ยมโหดเย็นชา สร้างกำแพงให้ตัวเอง เพื่อเป็นเกราะป้องกันพวกเราผู้เป็นบิดามารดา"หลี่ซ่งหมินก้มหน้าน้อยๆยิ้มบางเบาใส่สตรีในอ้อมกอดก่อนเอ่ยถาม "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ
"พวกเจ้า พวกเจ้า" เว่ยฟางเริ่มเอ่ยสิ่งใดไม่ถูกนางคล้ายจะเป็นลมจนสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องรีบเข้ามาประคองหยางเจียนเองก็มีอาการไม่ต่างกัน "พวกเจ้าอายุเพียงแค่นี้ มันเร็วไปหรือไม่ที่จะด่วนตัดสินใจ" แต่เหมือนอิ้งลี่จะมิได้ฟังคำห้ามปรามใดๆ หญิงสาวเพียงวิ่งออกไปก่อนจะกระโดดขึ้นม้าคู่ใจแล้วตะบึงควบออกไปจากกลุ่มของหยางเจียนและเว่ยฟาง ซักพักเสียงถกเถียงกันจึงตามมา"ใครเป็นคนรักของเจ้า อิ้งลี่" เสียงนั้นเป็นเสียงของเฟิงหลินนั่นเอง หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งควบม้าให้หนีออกห่างจากการตามติดของอิ้งลี่ "ข้าก็แค่พูดเอาไว้ก่อนล่วงหน้า 5 ปี มิได้รึ" อิ้งลี่ตะโกนขึ้นพลางควบม้าไล่ตามเฟิงหลิน"ไม่ได้" "ทำไมเล่า"และเสียงถกเถียงกันของหนุ่มน้อยกับสาวน้อยก็หายไปพร้อมกับคณะเดินทางขององค์ชายหลี่หงจินหยางท่ามกลางความสับสนงุนงงของผู้เป็นมารดาอย่างเว่ยฟางและหยางเจียนท่ามกลางร่มไม้ตรงทางเดินทอดยาวภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสโอบล้อมไปด้วยสายลมแผ่วเบา"เจ้าคิดว่าอย่างไร หลงเอ๋อร์" หลี่ซ่งหมินเอ่ยถามหงเหม่ยหลงขณะทั้งสองพากันเดินชมนกชมไม้ไปตามทางของอุทยานหลวง"ข้ารู้สึกกังวลเสียยิ่งกว่าการตั้งครรภ์ของตัวเองเ
หนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่ในชุดสามัญชนทั่วไปแต่ด้วยใบหน้าที่สะอาดหมดจดงดงามปานเทพเซียน และดวงตาคมกริบฉายแววกล้าแกร่งเกินวัย กำลังควบม้าตะบึงมาก่อนจะผ่อนเป็นเชื่องช้าเดิน เหยาะ เหยาะ เข้ามาหาผู้เป็นบิดาและมารดาที่ยืนรอตนอยู่ด้านตรงลานกว้างกลางพระราชวังราศีของผู้นำผู้มีอำนาจบารมีได้แผ่ออกมาจากตัวหนุ่มน้อยอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น หลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงยืนมองหลี่หงจินหยางที่กำลังนั่งงามสง่าอยู่บนอาชาคู่ใจ ยามนี้ได้เวลาที่บุตรชายหนึ่งเดียวของพวกเขาจะได้ออกเรียนรู้การเป็นผู้นำที่แท้จริง ศึกครานี้หลี่หงจินหยางได้รับหน้าที่ให้ไปเปิดศึกเพื่อที่จะทำการปิดศึกให้ได้อย่างถาวรกับพวกแคว้นเว่ยที่ยังคงหลงเหลือเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ว่าพวกแคว้นเว่ยนั้นจะยังไม่มีการจู่โจมหรือเปิดศึกใดๆ กับแคว้นต้าหลี่ แต่จากข่าวกรองที่หลี่ซ่งหมินได้รับนั้น มิใช่ว่าพวกแคว้นเว่ยจะรามือจากการแก้แค้นแต่อย่างใด พวกมันยังคงก่อตั้งกลุ่มกำลังและขยายเพิ่มอำนาจอย่างต่อเนื่องเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกลับมายังดินแดนที่เคยเป็นของพวกมัน แต่การที่จะเป็นฝ่ายรอรับมิสู้เป็นฝ่ายรุกเสียก่อนยามที่
และเสียงดาบฟาดฟันประสานกันก็ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมาหงเหม่ยหลงเพียงนั่งชมภาพของสองพ่อลูกแลกหมัดประสานกระบี่กันไปมาอย่างนึกชื่นชม ยามนี้หญิงสาวตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะพยายามตั้งครรภ์ด้วยตนเองโดยไม่สนใจบรรดาสนมนางใดอีกต่อไป แต่ถ้านางไม่สามารถมีลูกได้ดังใจหวังนางก็จะเป็นทุกอย่างให้บุตรชายหนึ่งเดียวของนาง หลี่หงจินหยางนั้น นางจะเป็นทั้งมารดา เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งสหายในทุกสถานการณ์ให้กับบุตรชายของนาง แต่การที่จะทำให้หลี่หงจินหยางอยู่ได้ด้วยหน้าที่อันหนักหน่วงในภายภาคหน้าได้นั้น การประคบประหงมย่อมเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เขาต้องเรียนรู้ในทุกๆเรื่องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายในตำหนักกลางบริเวณห้องรับประทานอาหารของครอบครัวสกุลหลี่ “ออกรบหรือเสด็จพ่อ” หลี่หงจินหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นไปทางหลี่ซ่งหมินภายในตำหนักกลางหลังจากทานอาหารร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย“ถูกต้อง” หลี่ซ่งหมินรับคำเรียบๆ ก่อนเอ่ยต่อเพื่อขยายความ“ขณะนี้มีข่าวกรองเกี่ยวกับพวกของแคว้นเว่ยที่สามารถหลบหนีไปได้เมื่อหลายปีก่อน พวกมันสามารถสร้างขุมกำลังเอาไว้ในเขตแดนต้าไห่ ข้าอยากให้เจ้
นางช่างโง่งมจริงดังคำเขากล่าว“ซ่งหมิน... ข้า...” หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด นางเพียงยืนก้มหน้าและเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น “หลงเอ๋อร์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกว่าเดิมเรียกนางจนนางต้องเงยหน้าขึ้นมองสบสายตา “ข้าเองที่เห็นแก่ตัว” หลี่ซ่งหมินขยับเพียงนิดเพื่อดึงร่างบางของหงเหม่ยหลงเข้ามาโอบกอดอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยต่อ“ข้าเห็นแก่ตัวจนละเลยสิ่งที่ควรจะเป็นไปของเมืองหลวง และข้าก็เป็นเช่นนี้ ข้าเลือกเกิดไม่ได้ ข้าเกิดมาเป็นโอรสสวรรค์ ข้าเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัว ข้าย่อมต้องเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม มีเพียงแต่เจ้า แค่เรื่องของเจ้า ที่ข้ามักจะเห็นแก่ตัว”ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้มมองใบหน้าของนางยามนี้เขายังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“การตั้งครรภ์ การสร้างทายาท เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับสตรี ข้าย่อมเข้าใจ แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้ใครมาทำหน้าที่นี้แทนเจ้า มีเพียงเจ้า...”หลี่ซ่งหมินหยุดเว้นคำพูดเพียงนิดก่อนดันร่างของหญิงสาวออกก่อนก้มหน้ามองนางและให้นางได้เงยหน้าสบตาหงเหม่ยหลงทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองไม่กล้ากล่าวสิ่งใดหลี่ซ่งหมินยังคงเอ่ยต
หลังจากที่หงเหม่ยหลงได้ตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องเห็นแก่ระบบเมืองหลวงตามกฎมณเฑียรบาลที่ควรจะเป็นเพื่อประโยชน์สูงสุดของหลี่หงจินหยางบุตรชายหนึ่งเดียวของนาง แต่ยามนี้ นางกลับทำใจไม่ได้ นางทำใจไม่ได้เอาเสียเลย เมื่อนึกถึงภาพของหลี่ซ่งหมินกำลังร่วมรักอยู่กับสตรีอื่น ใจของนางเหมือนจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆในขณะที่หงเหม่ยหลงกำลังก้มหน้าก้มตากำหนดจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนผู้หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงแท่นที่นางกำลังนั่งหมกหมุ่นอยู่ เมื่อนางกำลังควบคุมสติและสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงทุ่มต่ำคุ้นหูของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “เจ้าต้องการอย่างนี้หรือ”ทั้งน้ำเสียงและประโยคนั้นทำหงเหม่ยหลงถึงกับชะงักงันหันไปสบตากับเจ้าของเสียงในทันที“เจ้าต้องการอย่างนี้จริงๆใช่หรือไม่ หลงเอ๋อร์” ประโยคนั้นของหลี่ซ่งหมินแม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่หงเหม่ยหลงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเจือจางผสมผสานอยู่“ท่าน...” หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านควรจะอยู่ตำหนักของสนมมิใช่หรือ” และประโยคนั้นของหญิงสาวก็ทำหลี่ซ่งหมินชะงันไปในทันทีเช่นกัน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งสองโดย







