บทที่ 1 มู่หนิงชิงทะลุมิติ
“ท่านแม่ เมื่อไหร่พี่ใหญ่จะตื่นหรือเจ้าคะ ฮึก อันเอ๋อร์เป็นห่วงพี่ใหญ่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่หลับไปสองวันแล้วนะเจ้าคะ ฮืออ” "เดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ตื่น หยุดร้องไห้เถิดนะเด็กดี แม่จะไปตักน้ำเสียหน่อย ลูกอยู่เฝ้าพี่ใหญ่ดีๆ นะ" เสียงสะอึกสะอื้นของเด็กผู้หญิง และเสียงตอบรับจากผู้เป็นมารดา ปลุกให้มู่หนิงชิงตื่นจากห้วงนิทราแสนหวาน เธอจำได้ว่าไม่ได้เปิดทีวีหรือคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ก่อนเข้านอน แล้วเสียงเด็กมาจากไหนกัน หรือว่าแม่บ้านของเธอแอบพาหลานมาด้วยเพราะคิดว่าเธอไม่อยู่ห้องวันนี้ ใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นทีต้องคุยกับป้าฮงให้รู้เรื่อง มู่หนิงชิงมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด เพราะถูกรบกวนจนตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุก เธอต้องการจะลืมตา ทว่ากลับเปิดเปลือกตาไม่ขึ้น จู่ๆ อาการปวดศีรษะรุนแรงจนแทบหมดสติเข้าจู่โจมในฉับพลัน ภาพความทรงจำของหญิงสาวอายุราวสิบห้าปีปรากฏขึ้นในหัว เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตหลั่งไหลต่อเนื่องยาวนาน เปรียบได้ดั่งซีรีส์เรื่องหนึ่ง การถ่ายทอดเรื่องราวและอาการปวดศีรษะของมู่หนิงชิง กินเวลากว่าสองชั่วโมง ท้ายที่สุดความรู้สึกทรมานแสนสาหัสก็หยุดลง มู่หนิงชิงหอบหายใจถี่ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวทั่วกรอบหน้า เธอสามารถลืมตาขึ้นได้ในที่สุด ภาพแรกที่เห็น คือหลังคาเก่าทรุดโทรม คานของเพดานทำขึ้นจากไม้และมีหญ้าแห้งมุงทับไว้ สภาพคล้ายจะพังมิพังแหล่ เรียวคิ้วงามมุ่นเข้าหากัน ความรู้สึกเจ็บปลาบเด่นชัดที่ท้ายทอย พิสูจน์ให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน มู่หนิงชิงยกมือขึ้นมาสัมผัสท้ายทอยด้านซ้ายที่กำลังปวดตุบๆ ปลายนิ้วคลำเจอก้อนบวมขนาดไข่ไก่เบอร์หนึ่ง “อ๊ะ เจ็บชะมัด!” “พี่ใหญ่ตื่นแล้ว! “เสียงเล็กตื่นเต้นของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างหู มู่หนิงชิงรีบหันไปมอง สายตาสบเข้ากับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือกอบ ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง ครั้นดวงตาสองคู่สบประสาน อาการหวาดผวาพลันเกิดขึ้นกับมู่หนิงชิง “กรี๊ดด ผะ ผีหลอก ผีเด็กหลอก! ฉันกลัวผี อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย! แล้วจะทำบุญกรวดน้ำไปให้” มู่หนิงชิงกรีดร้องสุดเสียง ลุกพรวดขึ้นมานั่ง ขยับถอยกรูดจนแผ่นหลังติดข้างฝา สีหน้าท่าทางตื่นตระหนกสุดชีวิต "กรี๊ดดดดดด" เจ้าตัวเล็กเองก็ตกใจเสียงกรี๊ดของพี่สาว นางเลยกรี๊ดตามผงะถอยหลังก้นจ้ำเบ้า ทว่าก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ พี่ใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่าาา” เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผี ขยับปากส่งเสียงเรียกมารดาด้วยความดีใจ ใบหน้าเล็กหันมาหามู่หนิงชิงที่นั่งชันเข่าขดตัวหลังชนฝา กลอกตาไปมาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย “พี่ใหญ่พูดจาแปลกประหลาดจริงๆ ด้วย กลางวันแสกๆ จะมีผีได้อย่างไร ต้องรอให้มืดก่อนเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า อันเอ๋อร์จะได้ไปบอกท่านแม่ให้ เสียงท่านแหบมากเลย เดี๋ยวอันเอ๋อร์ไปรินน้ำมาให้นะเจ้าคะ” เจ้าตัวน้อยดีอกดีใจที่ในที่สุดพี่สาวก็ตื่นขึ้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยวาจาฉะฉานเป็นชุด เดินไปรินน้ำจากกาใส่ถ้วยดินเผาที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ ใกล้หน้าต่าง และนำมายื่นให้พี่สาวด้วยรอยยิ้มน่ารัก ความจริงปีนี้มู่หนิงอันอายุหกหนาวแล้ว เพียงแต่ร่างกายของเด็กหญิงแคระแกร็นกว่าปกติเพราะขาดสารอาหาร ทว่าเจ้าตัวน้อยกลับรู้ความนัก ทั้งมีความจำดีมาก นางยังคงจดจำเรื่องที่ท่านหมอหูบอกกับบิดามารดาว่า “หากชิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้วมีอาการสับสน หรือจำอะไรไม่ได้ก็อย่าพึ่งตื่นตกใจไป นี่เป็นอาการซึ่งพบได้บ่อย ในคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง” มู่หนิงชิงที่เวลานี้ใจเย็นลง เพราะเริ่มตระหนักถึงสภาพการณ์ตรงหน้า เธอมองชามใส่น้ำในมือเด็กหญิงอย่างกระหาย พลันตัดสินใจทดลองบางสิ่งด้วยการเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนรับน้ำมาดื่ม “น้องชื่อมู่หนิงอัน?” เสียงแหบแห้งแตกระแหงมิต่างจากเป็ดเทศเอ่ยถามเด็กหญิง มู่หนิงอัน เป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในภาพความทรงจำที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ก่อนจะสติแตก “เจ้าค่ะ ชื่อของอันเอ๋อร์คือ มู่หนิงอัน ส่วนพี่ใหญ่ชื่อมู่หนิงชิง พี่รองชื่อมู่หนิงเฉิง” เด็กหญิงตอบกลับอย่างฉะฉาน คำตอบจากปากเด็กน้อยตรงหน้า ช่วยไขข้อข้องใจของมู่หนิงชิงให้กระจ่างชัด เธอตบเข่าฉาดสีหน้ามั่นอกมั่นใจ นั่นปะไร! เป็นอย่างที่สงสัยจริงๆ ตัวเธอทะลุมิติมาเหมือนอย่างในนิยายหลายเรื่องที่เคยอ่าน! แม่เจ้า! นี่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ปาฏิหาริย์จากจินตนาการของนักเขียนนิยายมีอยู่จริง อะเมซิ่งสุดๆ!! มือผอมบางยกขึ้นมาทาบอกด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ พลันฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ หรือว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์จากจี้หยกเหอเถียนสีแดง อายุเป็นพันปีที่ใส่นอนเพราะความเห่อชิ้นนั้น อย่าบอกนะว่าเธอเจอเข้ากับอภินิหารจากของโบราณ! หากเป็นอย่างที่คาดจริงก็เรียกว่าเจอแจ็คพ็อตเลยนะเนี่ย! มิน่าในตำราเก่าๆ ถึงมีคำกล่าวเตือนว่า ‘วัตถุโบราณยิ่งเก่ายิ่งลึกลับ บางชิ้นอาจมีคำสาปหรืออาถรรพ์ติดมา ขอให้ระวังเอาไว้' นี่แหละหนาที่เขาว่า ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ มู่หนิงชิงคิดเองตอบเองอยู่ในใจ เมื่อตั้งสมมุติฐานขึ้นมาได้ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ตกลงว่าตัวเธอทะลุมิติมาเฉยๆ หรือว่าตายไปแล้วเลยทะลุมิติมากันล่ะเนี่ย?! เมื่อคืนนี้ก่อนนอนก็ไม่ได้อ่านนิยายซักหน้า แล้วเธอทะลุมิติมาอยู่ในนิยายเรื่องไหนกัน หลายปีที่ผ่านมาอ่านไปหลายสิบเรื่องซะด้วย แล้วใครมันจะไปจดจำเนื้อหาของนิยายทุกเรื่องได้หมดกันเล่า เล่นอ่านไปซะหลายเรื่อง หลายแนวขนาดนั้น... แล้วถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้อยู่ในนิยายล่ะ?? โอ้ย! สับสนมึนงง คิดไม่ออก…ฮืออ เวรกรรมของคนสวยจริงๆ!! อยู่ดีๆ ก็งานเข้าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะถูกความสับสนที่หาคำตอบไม่ได้ถาโถมความคิด มู่หนิงชิงเลยเริ่มทึ้งหัวตนเอง มู่หนิงอันนั่งอ้าปากหวอ เอียงคอมองพี่สาวที่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวก่อนหน้านี้ และเปลี่ยนมาทึ้งหัวตัวเองตาปริบๆ หัวคิ้วเล็กของเด็กหญิงเริ่มมุ่นเข้ากันบ้าง “ท่านแม่เจ้าคะ…พี่ใหญ่ปวดหัวเจ้าค่าาา ดึงผมตัวเองใหญ่แล้ว” ร่างเล็กวางชามใส่น้ำลงกับเตียง ตะโกนเสียงดังขณะวิ่งดุ๊กดิ๊กออกไปตามมารดา “…” มู่หนิงชิง “เด็กคนนี้ท่าทางฉลาดใช้ได้เลยนะเนี่ย” เธอหยุดทึ้งหัวตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกเจ็บหนังหัว เอื้อมมือไปหยิบชามใส่น้ำมาดื่มด้วยความกระหาย "อึ้ก อึ้ก อ้าว หมดซะล่ะยังดื่มไม่พอเลย" เธอขยับตัวเพื่อจะลุกไปรินน้ำมาดื่มเพิ่ม ทว่าร่างกายเกิดโงนเงนจนต้องลงไปนั่งบนเตียงอีกรอบ "โอ้ย ไม่มีแรง ทำไมขาแข้งอ่อนแบบนี้" เธอรีบก้มสำรวจร่างกายตนเอง จึงเห็นว่าแขนขาเล็กมาก ผอมจนแทบเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก "โอ้โห ผอมมาก ผอมยังกับตะเกียบแน่ะ เฮ้อ! ทะลุมิติมารับบทชีวิตรันทดสินะ ชิงชิง”บทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนปลาย) ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามปิดลง เริ่มเค้นความทรงจำของมู่หนิงชิงในวันสุดท้าย… ช่วงสายของวันนั้น มู่หนิงชิงสะพายตะกร้าขึ้นหลัง เดินเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพรและผักป่าตามปกติ เดินอยู่ราวสามเค่อจึงมุ่งไปยังตำแหน่งที่เคยพบกอเผือก กอเผือกอีกแล้ว!! ทว่ากลับชะงักฝีเท้า เพราะได้ยินเสียงร้องครวญครางของสตรีอยู่ไม่ไกล หญิงสาวก้าวไปข้างหน้ามือบางแหวกใบของต้นเผือกออก และได้เห็นบั้นท้ายของบุรุษ กำลังกระแทกใส่หว่างขาสตรี ที่ยืนพิงต้นไม้ยกขาข้างหนึ่งเกี่ยวเอวของเขาไว้ นางไม่เห็นหน้าของคนทั้งสองด้วยซ้ำ เพราะรีบหมุนตัวกลับมาจากภาพบัดสีที่ได้ประจักษ์กับตา เท้าของนางบังเอิญเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง นางไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะได้ยินหรือไม่ หลังผละมาจากตรงนั้น หญิงสาวเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยพบกลุ่มเห็ดโคนที่ขึ้นเป็นประจำ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่นางถูกลอบทำร้ายจากด้านหลัง…จนเสียชีวิตในที่สุด มู่หนิงชิงเปิดเปลือกตาขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อนิจจา…มู่หนิงชิง เจ้าต้องมาตายเพราะโดนคนสารเลวที่แอบมาเล่นชู้กันในป่าสังหาร เพียงเพื่อปกปิดความเลวระยำของพวกมัน!“ ดวงตาข
บทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนต้น) สัญญาเช่าพื้นที่หน้าร้านฝูจิ่นเริ่มขึ้นวันมะรืน ตามคำขอของมู่หนิงชิง หญิงสาวยังได้สั่งทำฉากกั้น โต๊ะไม้และกล่องใส่อาหาร สำหรับไว้ใช้ในวันเปิดร้าน จากร้านขายเครื่องเรือนในเครือตระกูลฟ่านอีกด้วย ส่วนภาชนะที่นางจะใช้สำหรับใส่เกี๊ยวซ่าขาย คือกระทงใบกล้วย หลังกลับมาจากในเมือง มู่หนิงชิงขอให้มารดาพาไปหาบ้านที่ปลูกกล้วยเพื่อขอซื้อใบ ขากลับเดินผ่านไร่ของบ้านใหญ่สกุลมู่ ก็ได้เห็นมู่ซาน มู่อวิ๋นเทารวมถึงหลัวซื่อ ซึ่งปกติไม่เคยมาช่วยงานที่ไร่ กำลังวุ่นวายอยู่กับการรดน้ำและกำจัดวัชพืช ในขณะที่ปากก็พ่นคำผรุสวาทไม่หยุด ซูซื่อเห็นทั้งสามแล้วก็ทอดถอนใจ ก่อนหันหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน มู่หนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจมองเข้าไปภายในบ้าน เพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง พบว่ามู่อวี๋โหรวกำลังนอนเล่นอยู่บนตั่งเตียง สั่งให้น้องสาวช่วยเย็บเสื้อคลุมบุรุษตัวหนึ่งแทนตน ทว่าไร้เงาของฉวนซื่อที่ยามนี้ปกติต้องอยู่บ้าน… หลังกลับมาถึงบ้าน มู่หนิงชิงชวนบิดาและน้องทั้งสอง ไปเดินเล่นบนเขาโดยทิ้งแม่ไก่สายดุไว้เฝ้าบ้าน! นางต้องการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างนี้ หากจะไปคนเดียวมู่เฟิงและซูซื่อคงไม
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนปลาย) เวลานี้ดวงตาของคู่งามของฟ่านฮุ่ยเจิน เป็นประกายระยับราวกับดวงดาวยามค่ำคืน นางยิ้มไม่หุบขณะชิมน้ำจิ้มแต่ละรส และเมื่อเกี๊ยวซ่าตัวสุดท้ายหมดลง… "อ๊ะ! หมดแล้วหรือ เอ่อ แม่นางมู่ หากข้าจะขอเพิ่มอีกสักจาน ท่านยังพอมีเกี๊ยวเหลือหรือไม่" น้ำเสียงเว้าวอน สีหน้าค่อนไปทางออดอ้อนเล็กน้อยของฟ่านฮุ่ยเจิน เรียกรอยยิ้มกว้างของมู่หนิงชิงได้อีกครั้ง "หากคุณหนูฟ่านต้องการ ข้าจะไปทอดเพิ่มให้ท่านทันที เพียงแต่ว่า…ท่านจะอนุญาตให้ข้ามาตั้งแผงขาย ยังหน้าร้านฝูจิ่นได้หรือไม่หรือเจ้าคะ" "ได้สิ! ได้แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าจะร่างสัญญาเช่าให้ท่าน ระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานต่อไป เอ่อ ข้าอยากรู้ว่าวันนี้ท่านนำเกี๊ยวสดมาเยอะหรือไม่ หากข้าจะขอประเดิมอาหารของท่านเป็นเจ้าแรก ด้วยการเหมาเกี๊ยวซ่าที่ท่านนำมา ในวันนี้ทั้งหมดจะเป็นไปได้ไหม ทุกคนในครอบครัวของข้าต้องชื่นชอบเป็นแน่" ฟ่านฮุ่ยเจินที่ติดอกติดใจความอร่อยล้ำเลิศนี้ เอ่ยปากถามมู่หนิงชิงอย่างตรงไปตรงมา แม่ค้าหน้าใหม่ระบายยิ้มจนตาโค้ง พยักหน้าเป็นคำตอบด้วยความยินดี สัญญาเช่าหน้าร้านฝูจิ่นถูกร่างขึ้นระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานถัดไป
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนต้น) เสียงแม่ไก่ร้องปลุกสมาชิกในบ้าน ยามแสงทองเรืองรองสาดส่องย้อมขอบฟ้า ร่างบางบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนก้าวลงจากเตียง หลังจากที่ทุกคนในบ้านล้างหน้าล้างตาและทานมื้อเช้าเป็นที่เสร็จสรรพ ทั้งห้าชีวิตก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปขึ้นเกวียน มู่หนิงชิงย่อตัวเอ่ยกับแม่ไก่แสนรู้ทั้งสาม ที่เดินมาส่งยังหน้าบ้านว่า “ฝากบ้านด้วยนะทุกคน ใครมาด้อมๆ มองๆ ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ พวกเจ้าจัดการได้เลย!!!” กะต๊าก!!! แม่ไก่ทั้งสามตัวส่งเสียงตอบรับ ก่อนเดินแยกย้ายไปตามมุมต่างๆของบ้านเพื่อเฝ้าระวัง มู่หนิงชิงยกยิ้มด้วยความชอบใจ ในขณะที่บุพการีและน้องทั้งสองยืนอ้าปากค้างดวงตาเบิกโพลง “แม่ไก่จากแดนเทพช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นอกจากออกไข่ใบใหญ่วันละสองฟองแล้ว ยังเฝ้าบ้านได้อีกด้วย“ มู่หนิงเฉิงเผยสีหน้าเหลือเชื่อ มองตามหลังแม่ไก่ตาแทบถลน สมาชิกทุกคนของสกุลมู่บ้านรอง ช่วยกันถือของที่จะนำไปในเมืองกันคนละอย่างสองอย่าง เพื่อไปให้ทันขึ้นเกวียนรอบแรก ครั้นจงหู่เห็นพวกเขาหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปด้วย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย คำตอบที่ได้รับกลับมา อยู่เหนือความคาดหมายของชราเล็กน้อย แต่กระนั
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนปลาย) แต๊กๆๆๆๆๆๆ!! เสียงรัวตะกร้อตีมือดังขึ้นในครัว ดึงความสนใจของซูซื่อที่กำลังเย็บชายกระโปรงใหม่ให้มู่หนิงอัน นางหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เดินมาดูแม่ครัวคนใหม่ของบ้าน ซึ่งมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกในมือ “นั่นมัน? เอ่อ…” “ท่านเทพให้มาเจ้าค่ะ” ร่างบางเงยหน้าบอกมารดา ก่อนก้มหน้ารัวตะกร้อในมือต่อ “ชิงเอ๋อร์ทำอะไรหรือให้แม่ช่วยดีกว่า ร่างกายลูกยังไม่แข็งแรง ออกแรงมากจะหน้ามืดเอานะ” “ใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” ซูซื่อยืนมองบุตรสาว รัวมือตีสิ่งที่อยู่ในชามใบใหญ่ด้วยความสนใจ ราวครึ่งเค่อต่อมา น้ำจิ้มสีเหลืองนวลข้นเหนียวก็เป็นอันเสร็จ มู่หนิงชิงเหงื่อซึมทั่วกรอบหน้า อ้าปากหอบหายใจ พลางนวดข้อมือจากความเมื่อยขบ ขณะหันมายิ้มให้กับมารดา “มายองเนสเสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เหลือแค่ปรุงรสอีกนิดหน่อยเท่านั้น“ “มา มาอะไรนะชิงเอ๋อร์?!” ซูซื่อถามชื่อของน้ำจิ้มสีนวลนั้นซ้ำ นางไม่เคยได้ยินชื่อเรียกน้ำจิ้มแบบนี้มาก่อน “มา ยอง เนสสสส เจ้าค่ะ” มู่หนิงชิงเอ่ยทวนทีละคำให้มารดาฟังอีกรอบชัดๆ คนฟังพยักหน้าพลางกล่าวทวนคำบุตรสาว “อ่าา มา ยอง เนสซึ” “คิกๆๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนต้น) มู่หนิงชิงเดินกลับมาหาครอบครัว ด้วยสภาพครบสามสิบสองไม่ขาดไม่เกิน นางบอกกับมู่เฟิงว่ารุ่ยอ๋องเรียกไปคุยเรื่องเห็ดหลินจือแดงไม่มีอะไรที่น่ากังวล ในชั่วขณะนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดเทียบที่หน้าร้านฝูจิ่น หญิงสาวอายุราวสิบหกหนาว รูปร่างอรชรในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีฟ้าอ่อนก้าวออกมาจากตัวรถ ใบหน้าสะคราญอ่อนหวานน่าทะนุถนอม มีรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบาส่งให้หญิงสาวดูเป็นมิตร สาวใช้ก้าวลงมาก่อน ยื่นมือเพื่อรอประคองคุณหนูของตน ครั้นหลงจู๊ร้านฝูจิ่น เห็นว่าเป็นผู้ใดจึงปรี่เข้ามาทักทายด้วยความนอบน้อม “คุณหนูใหญ่ สบายดีนะขอรับ สมุดบัญชีเตรียมไว้ที่ห้องทำงานแล้วขอรับ” “ขอบคุณหลงจู๊ฝางมากเจ้าค่ะ…ไม่ทราบว่าลูกจ้างในร้านดูแลพวกท่านดีหรือไม่” ใบหน้าอ่อนหวานของ ฟ่านฮุ่ยเจิน หันมาหาครอบครัวของมู่เฟิง พร้อมเอ่ยถามในสิ่งทำเป็นประจำกับลูกค้าทุกคนของร้าน ชาวบ้านทุกคนในตลาดต่างรู้ดีว่า ตระกูลฟ่านเป็นตระกูลคหบดีใหญ่ ที่ร่ำรวยมากของเมืองอี้เฉิง นายท่านผู้เฒ่าฟ่าน สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยมือของตนเอง พื้นเพเป็นเพียงพ่อค้าขายของหาบเร่มาก่อน ทว่าขยันขันแข็งฉลาดเฉลียว รู
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ อึดใจต่อมาเสียงทุ้มกังวานของซวินเหิงเยว่ก็ดังขึ้น เรียกสติของมู่หนิงชิงให้ตื่นจากภวังค์ “อะ แฮ่ม! เปิ่นหวางน่ามองขนาดนั้นเชียว แม่นางมู่ถึงได้จ้องตาไม่กะพริบแบบนี้" "ขะ ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว" หญิงสาวสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติ นางเผลอมองนานไปหน่อย "หึ! รู้ตัวก็ดี รินชาเอาเองนะ มือเปิ่นหวางไม่ว่าง” มือแกร่งของอ๋องหนุ่ม ดันถาดชุดน้ำชามาให้หญิงสาว โดยไม่หันมองหน้านางด้วยซ้ำ "…" มู่หนิงชิง 'กวน…มาก' "ขอบพระทัยเพคะ แต่ชาของท่านอ๋องหม่อมฉันไม่อาจเอื้อมที่จะดื่มเพคะ…คือว่าสูงส่งเกินไปลิ้นของหม่อมไปถึงไม่ถึง ปกติดื่มแต่น้ำต้มสุก" ที่นางไม่กล้าดื่มเพราะกลัวโดนวางยาพิษต่างหาก "เฮอะ! มิใช่กลัวว่าจะโดนเปิ่นหวางวางยาพิษหรอกรึ!" ซวินเหิงเยว่แค่นเสียง เอ่ยวาจาประชด คล้ายรู้ทันความคิดของหญิงสาว "หม่อมฉันจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ไม่มี๊! ไม่มี! ท่านอ๋องเป็นถึงเจ้าเมือง จะทรงคิดร้ายต่อประชาชนของตนเองได้อย่างไรกัน ใช่หรือไม่เพคะ…เอ่อ ไม่ทราบว่าที่ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันมาพบ มีเรื่องอะไรจะถามไถ่หรือเพคะ" นางปฏิเสธเสียงสูงพลางรีบเอ่ยเข
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ เมื่อเกวียนของจงหู่จอดลง มู่หนิงชิงจึงขอให้บิดา ช่วยพาไปร้านขายข้าวสารและของแห้งอีกครั้ง นางอยากถามเถ้าแก่ของร้านฝูจิ่น เรื่องการขอตั้งแผงลอย ในชั่วขณะที่กำลังจะข้ามถนน หญิงสาวรู้สึกถึงการถูกจ้อง มาจากโรงเตี้ยมชื่อดังของย่านนั้น ครั้นแหงนมองขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมดังกล่าว สายตาของนางก็สบเข้ากับดวงตาสีเข้มคู่คมเย็นชาของคนคุ้นเคยเข้าพอดี ซวินเหิงเยว่ โบกพัดในมือเอื่อยเฉื่อย ยกมุมปากขึ้นบางเบา จับจ้องหญิงสาวสวมผ้าคาดปิดหน้าไม่วางตา “ไปพานางมาพบเปิ่นหวาง แล้วให้อย่าเอิกเกริก” ชายหนุ่มหุบพัดดังฉับ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน คนของรุ่ยอ๋องรับคำสั่งและรีบผละไป ปล่อยให้นายเหนือหัวนั่งจิบชาหลงจิ่งต้นฤดู ส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยท่าทางสบายใจ “ท่านอ๋องรู้จักสตรีผู้นั้นด้วยหรือ ถึงให้ชิวยวี่ไปเชิญมาพบ” ชายหนุ่มรูปงามผิวสีน้ำผึ้ง รูปตายาวเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลดูเด็ดขาด ทว่าแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยน เอ่ยปากถามบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความข้องใจ สหายรักสูงศักดิ์ของเขาผู้นี้ ปกติเกลียดการถูกสตรีเข้าหาหรือตามวอแวเป็นที่สุด ทว่าวันนี้กลับเอ่ยปากสั่งให้องครักษ
บทที่ 11 ของขวัญจากท่านเทพ มู่เฟิงและซูซื่อพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงตอบ ผิดกับมู่หนิงเฉิงและมู่หนิงอัน ที่กำลังระบายยิ้มเต็มหน้าตามพี่สาว เจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสองก้าวเข้ามาข้างใน ก้มตัวลงค่อยๆ ยื่นมือน้อยๆ มาหาแม่ไก่เบื้องหน้า แม่ไก่ทั้งสามเหมือนจะเข้าใจเด็กๆ พวกมันก้มหัวลงให้พวกเขาสัมผัสด้วยความอ่อนโยน ก่อนก้าวเข้าไปซุกหน้าที่บ่าน้อยๆ ของพวกเขาอย่างนุ่มนวล พวงแก้มของเด็กทั้งคู่กลายเป็นสีระเรื่อด้วยความดีใจ ดวงตาไร้เดียงสาพร่างพราวจากความสุข เจ้าหัวผักกาดน้อยเงยหน้ามองพี่สาว ก่อนเอ่ยวาจาเป็นประโยคเดียวกัน "พี่ใหญ่ พวกข้าขอดูแลแม่ไก่สามตัวนี้ได้หรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ" "ได้แน่นอนเฉิงเอ๋อร์ อันเอ๋อร์ รบกวนพวกเจ้าทั้งสองดูแลพวกมันให้ดีด้วยนะ" เด็กๆ ส่งเสียงขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง หยัดกายขึ้นยืนและพาแม่ไก่สายดุทั้งสาม ออกไปยังหลังบ้านเพื่อให้อาหาร มู่หนิงชิงบอกพวกเด็กๆว่า แม่ไก่เหล่านี้กินธัญพืชและผักต่างๆได้ คืนนั้นมู่หนิงชิงจัดอาหารชุดใหญ่พิเศษ เพื่อฉลองอิสรภาพให้ครอบครัว พร้อมนำเหล้าองุ่นแดงรสเลิศ ออกมาจากมิติแห่งความอิ่มหนำให้มู่เฟิงและซูซื่อได้ลิ้มลอง "ชิงเอ๋อร์! ไยอาหารถึงได้มากมายเ