บทที่ 1 มู่หนิงชิงทะลุมิติ (ตอนปลาย)
มู่หนิงชิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ประหนึ่งปลดปลงกับชีวิต เริ่มต้นกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ห้องอย่างจริงจัง “สภาพบ้านที่เห็นตรงหน้า อืมม ขอใช้คำว่า ทรุดโทรมยิ่งนักก็แล้วกัน” จากนั้นจึงลองเพ่งสายตาเพื่อทดสอบดูว่า ความสามารถพิเศษของเธอที่ถูกเรียกขานว่า เนตรปีศาจ ติดตัวมาด้วยหรือไม่ ปรากฏว่าเธอยังมีความสามารถพิเศษนี้ติดตัวอยู่ ฟู่ววว ค่อยยังชั่ว แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าชีวิตในภายภาคหน้าจะลำบาก... “โชคยังดีที่เนตรปีศาจไม่หายไป ความรู้สึกของตัวละครในนิยาย ตอนทะลุมิติมาใหม่ๆ เป็นอย่างนี้เองสินะ แล้วฉันทะลุมาเป็นคาแร็คเตอร์ไหนเนี่ย นางเอก นางร้าย หรือว่าเป็นตัวประกอบใช้แล้วทิ้งกันแน่ น่าปวดหัวชะมัดโผล่มาที่ไหนก็ไม่รู้” บ่นจบก็ลงไปนอนแผ่หลาอีกรอบ ประตูห้องนอนถูกเปิดอีกครั้ง ซูซื่อ* หรือซูเหม่ยพร้อมด้วยมู่หนิงอันก้าวตรงมาหา ในมือของผู้เป็นมารดาถือชามใส่โจ๊กอยู่ “ชิงเอ๋อร์ ในที่สุดลูกก็ฟื้น แม่ดีใจเหลือเกิน ลูกยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่” สตรีรูปร่างผอมบางอายุราวสามสิบกว่าๆ ผิวซีดเหลืองใบหน้าซูบตอบ มีริ้วรอยลึกที่หางตา นางแต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีอ่อน มีรอยปะชุนหลายแห่งทว่าสะอาดสะอ้าน ในสายตาของมู่หนิงชิง หากหญิงสาวเบื้องหน้า มีน้ำหนักตัวมากกว่านี้อีกสักหน่อย คงสะสวยไม่น้อยเป็นแน่ “ชิงเอ๋อร์กินโจ๊กเสียหน่อยนะ ลูกนอนหลับไปหลายวันคงหิวแย่" น้ำเสียงของนางเปี่ยมล้นด้วยความห่วงใย สายตาอ่อนโยนและอบอุ่น มู่หนิงชิงขยับนั่งพิงหมอน รับถ้วยโจ๊กที่ใสจนนับเม็ดข้าวได้มาถือไว้ เธอเหลือบมองมารดาเจ้าของร่าง รวมถึงเด็กหญิงตัวน้อยนามมู่หนิงอันด้วยความเห็นใจ ท่าทางสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้คงไม่ดีนัก เดาได้จากลักษณะของโจ๊กในชาม “พวกท่านกินข้าวแล้วรึยัง…เจ้าคะ” เสียงของเธอยังคงแหบแห้ง ร่างกายยังคงระบม โดยเฉพาะบาดแผลที่ศีรษะ อาจต้องเวลาในการฟื้นตัวราวสองสามวันกว่าจะดีขึ้น “แม่กับน้องทานแล้ว ลูกไม่ต้องห่วง รีบกินโจ๊กตอนที่ยังร้อนเถอะ เสร็จแล้วจะได้ดื่มยา ท่านหมอหูบอกว่าลูกอาจมีเลือดคั่งในหัว ต้องดื่มยาเพื่อสลายเลือดเหล่านั้น เดี๋ยวแม่กลับมานะ" พูดจบซูซื่อก็ลุกขึ้นเพื่อไปต้มยามาให้บุตรสาว มู่หนิงชิงตักโจ๊กเข้าปากเงียบๆ ทว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องยาต้ม ในนิยายจีนโบราณทุกเรื่องที่เคยอ่าน ล้วนบอกว่ารสชาติขมจนแทบบ้วนทิ้ง นี่นางกำลังจะได้ลองลิ้มชิมรสกับตัวเองอย่างนั้นรึ จะตื่นเต้นหรือหวาดหวั่นดีล่ะ! โจ๊กใสแจ๋วหมดลงในชั่วอึดใจ เด็กหญิงตัวน้อยรับชามเปล่ามาจากมือของพี่สาว นำไปวางบนโต๊ะ พร้อมกับรินน้ำใส่ชามเล็กที่ใช้ดื่มก่อนหน้านี้กลับมาให้ “พี่ใหญ่ดื่มน้ำอีกหน่อยนะเจ้าคะจะได้อยู่ท้อง” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยบอกพี่สาวขณะยื่มชามใส่น้ำมาให้ ความรู้สึกสลดหดหู่ ถาโถมจิตใจของมู่หนิงชิงดั่งคลื่นซัด ครอบครัวนี้ช่างน่าเวทนานักต้องดื่มน้ำเพื่อช่วยให้หายหิว หญิงสาวเกิดความละอายใจ กับการใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อก่อนจะทะลุมิติมา ตัวเธอเคยกินแต่อาหารดีๆ แพงแค่ไหนหากอยากลิ้มรสต้องได้กินสมใจ อาหารหากไม่เลิศรสก็ไม่เคยคิดแตะ ตามประสาคนเรื่องมาก ถึงได้เปิดภัตตาคารระดับสูงเป็นของตัวเอง จุดประสงค์หลักคือเอาไว้สนองความชอบเรื่องอาหาร และจุดประสงค์รองคือเอาไว้บังหน้าอาชีพแท้จริงของตน… “ขอบใจนะอันเอ๋อร์” มู่หนิงชิงรับน้ำมาดื่มโดยไม่ลืมกล่าวขอบใจเด็กน้อย หลังจากดื่มหมดจึงเอ่ยปากถามไถ่ ถึงสาเหตุที่ร่างนี้ได้รับบาดเจ็บ เพราะเรื่องราวสุดท้ายที่เธอเห็น คือภาพที่มู่หนิงชิงกำลังเดินขึ้นเขา เพื่อไปหาสมุนไพรและของป่ามาขาย นางมองเห็นบางสิ่งเบื้องหน้าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากทางด้านหลัง จากนั้นสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลง เสียงเล็กสดใสของมู่หนิงอัน เริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้พี่สาวฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าท่าทางของเด็กน้อยดูจริงจังขณะบอกเล่าเรื่องราว มู่หนิงชิงเห็นแล้วอดเอ็นดูเจ้าตัวเล็กไม่ได้ “วันนั้นพี่ใหญ่แบกตะกร้าขึ้นเขาไปหาของป่ามาขายตามปกติ และบอกท่านแม่ว่าวันนี้จะเดินเข้าไปลึกสักหน่อย หากมีโชคอาจพบของดีเหมือนอย่างครอบครัวของท่านลุงจงบ้าง จนกระทั่งยามเว่ย (13:00-14:59) ท่านก็ไม่กลับลงมาเสียที ท่านแม่เป็นห่วงมาก เลยออกไปเรียกท่านพ่อและพี่รองที่ไร่ จากนั้นทุกคนก็ไปตามพี่ใหญ่บนเขา และพบท่านนอนหมดสติ หายใจรวยรินอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ท่านพ่ออุ้มท่านกลับมา ท่านแม่ไปตามท่านหมอหูมารักษาท่านเจ้าคะ… ฮึก ตอนนั้นพี่ใหญ่ชีพจรอ่อนมาก ท่านหมอหูบอกให้พวกเราทำใจ ฮึก ข้ากลัวมากเลยเจ้าค่ะ” มู่หนิงอันน้ำตาเอ่อท้น เริ่มสะอื้นไห้อีกครั้ง เด็กหญิงกลัวมากจริงๆ กลัวว่าพี่สาวจะเป็นอะไรไป มือเล็กผอมบางเอื้อมมาจับมือของพี่สาวไว้แน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นและเริ่มเล่าเรื่องราวที่เหลือ “ท่านพ่อท่านแม่อยู่เฝ้าท่านทั้งคืนเลย พอตอนเช้า ท่านหมอหูก็กลับมาตรวจอีกรอบ ตอนนั้นชีพจรของพี่ใหญ่กลับมาเต้นเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอหูประหลาดใจมากแต่ก็ดีใจมากเช่นเดียวกัน พูดว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ ดีจริงๆ อยู่หลายครั้งเลยเจ้าค่ะ” ดวงตากลมโตไร้เดียงสา รอยยิ้มน่ารักประดับใบหน้าเล็กมอมแมมของมู่หนิงอัน คนฟังพยักหน้าหลังฟังจบ กำมือซ้ายหลวมๆ เริ่มถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไปมาขณะใช้ความคิด ‘ดูท่าว่าตัวเราคงเข้ามาอยู่ในร่างนี้ ทันทีที่เจ้าของร่างสิ้นลมสินะ เป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ทำให้มู่หนิงชิงตัวจริงเสียชีวิต คงไม่ใช่อุบัติเหตุลื่นล้มศีรษะกระแทกพื้นเสียแล้วกระมัง' มู่หนิงชิงอนุมานในใจแววตาเย็นชาขึ้นหลายส่วน * ซื่อ : เป็นคำที่ใช้เรียกสตรีที่ออกเรือนแล้วตามหลังแซ่เดิม เช่น ซูเหม่ย = ซูซื่อบทที่ 78 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนปลาย) หญิงสาวปรือตาฉ่ำน้ำตอบรับเขาอย่างลืมตัว "เจ้าเก่งเหลือเกิน อื้ออ ถูกใจข้ายิ่งนัก แรงอีกหน่อย อ๊าา ข้าเกือบถึงอีกแล้ว" เสียงครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาว ดังเข้าหูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งรออยู่ข้างห้อง มือแกร่งกำเข้ากันแน่นจนข้อนิ้วลั่น ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง ก่อนยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว ผู้ติดตามที่มาด้วยยืนก้มหลุบตาต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ผ่านไปแล้วสามเค่อ การเคลื่อนไหวในห้องข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าเสียงครวญครางด้วยความเมามันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างเสียดแทงหูของผู้ได้ยินยิ่งนัก ปัง! "มันจะทำกันนานเกินไปแล้วนะ!" เขาตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง เค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนอย่างหงุดหงิด ผู้ติดตามยังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจา ทว่าต่างแอบคิดเหมือนกันไม่มีผิด 'ดูท่าเจ้าหนุ่มนั่นคงมีฝีไม้ลายมือเรื่องอย่างว่าน่าดู นางถึงได้ครางเสียงหลงขนาดนี้…' ราวสองเค่อต่อมาเสียงการเคลื่อนไหวก็เงียบลง ร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องของหญิงสาว นอนทับอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม นางหอบหายใจจากความเหนื่อยอ่
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนต้น) "หัวหน้าหมอหลวงฟ่งปรุงยาถอนพิษได้หรือไม่" สุรเสียงของซวินเหิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะรับสั่งถาม หวายกงกงส่ายหน้า “ท่านหมอฟ่งกำลังตรวจสอบหาที่มาของพิษอยู่พะย่ะค่ะ หากไม่ทราบว่าเป็นพิษชนิดใด ก็มิอาจปรุงยาถอนได้ ระหว่างนี้จึงได้ทำการฝังเข็มเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษไว้ก่อน“ "กงกงโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่" รับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังห้องนอน และกลับออกมาพร้อมกล่องใบเล็กในมือ ก้มลงกระซิบบางอย่างกับหวายกงกง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องฮ่องเต้ประชวรได้ถูกแจ้งแก่ขุนนางที่มารอประชุมเช้า ราชกิจทั้งหลายถูกโอนไปให้องค์รัชทายาทรับผิดชอบแทนชั่วคราว ตำหนักหวงหยาง องค์ชายห้าซวินเหอเยี่ยนสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หลังจากกลับออกมาจากวังหลวง ทั้งที่ปกติพระบิดาของเขามีพระวรกายแข็งแรงมาตลอด นานๆครั้งถึงจะเป็นหวัดเพราะต้องลมเย็นสักครา ทว่าจู่ๆกลับทรงประชวรหนักจนถึงขั้นมิอาจเข้าประชุมเช้า ครั้นจะขอเข้าเยี่ยมพระอาการ กลับถูกหวายกงกงห้ามไว้ โดยอ้างว่าที่ฝ่าบาทประชวร เป็นเพราะทรงเสียพระทัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา รวมทั้งเรื่องของฮองเฮาและตระกูลหลิน หัวหน้าหมอหลวงฟ่งกำชับให
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนปลาย) "หรานซิง พวกเราไม่มีเวลาแล้ว หากเจ้าไม่ยอมร่วมมือกับข้า ตำแหน่งฮองเฮาที่เจ้าใฝ่ฝันคงกลายเป็นของผู้อื่น รีบตัดสินใจเสีย!" รับสั่งสุรเสียงเด็ดขาดจนคนฟังสะดุ้งเฮือก พระชายาหลินหรานซิงกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น สูดหายใจลึกหลุบดวงเนตรลงต่ำ พยักหน้ารับปากคำขอของสวามีอย่างจำใจ "ขอบใจเจ้ามากชายารัก ขอบใจจริงๆ" ซวินเทียนอวิ๋นดึงร่างระหงของชายาเอกมากอดแนบอก พร่ำบอกขอบใจนางซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโล่งอก "แต่ว่า…จะไปหาคนผู้นั้นมาจากที่ไหนหรือเพคะ" หลินหรานซิงเอ่ยถามสวามีด้วยความกังวล แม้ภายในใจไม่ยินยอมแต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว นางก็ต้องให้ความร่วมมือ แม้ว่าหนทางนี้จะอันตราย "เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก็พอ" ช่วงสายของวันเดียวกันนั้น รถม้าไร้สัญลักษณ์จอดอยู่หน้าจวนเพื่อรอรับเอ้อร์หลิง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวสีดำคลุมทับ หันมาโบกมือร่ำลานายเหนือหัว และว่าที่นายหญิงด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป ราวหนึ่งครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันดังกล่าวได้จอดเทียบประตูทางเข้าด้านข้างหออ้ายเสิน หอโคมแดงชื่อดังของเมือ
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนต้น) จิตสังหารแผ่ออกรอบพระวรกายฮ่องเต้ กดข่มหลินฮองเฮาจนแทบหายใจไม่ออก ดวงเนตรนางหงส์สั่นระริกรูม่านตาหดเล็กจากความกลัวที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก โอรสสวรรค์ละพระหัตถ์จากดวงหน้าของหลินเจาถิง ยืนฟังนางแก้ตัวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน "ฝ่า ฝ่าบาททะ ทรงรับสั่งเรื่องอะไรเพคะ นักพรตอะไรกัน ทรงไปฟังใครที่ไหนมาเพคะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนอะไรกันหม่อมฉันไม่เข้าใจ" ท่าทางของนางลนลานเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ตัวนักพรตหวู่หุนเองตายไปนานแล้ว ถึงครอบครัวอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำนาง หนำซ้ำตอนที่ครอบครัวของนักพรตหวู่หุนเดินทางออกจากเมืองหลวง นางสั่งให้คนของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลิน ตรวจค้นข้าวของที่พวกเขานำติดตัวไปรวมถึงค้นตัวของทุกคน ไม่มีจดหมายหรือเอกสารใดๆ ซุกซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่หลินฮองเฮาไม่รู้ นั่นคือเรื่องที่นักพรตหวู่หุนได้แอบส่งภาพวาดสำคัญ ฝากพ่อค้าที่รู้จักกันกลับไปยังแดนเหนือเพื่อมอบให้หลานชาย ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะล้มป่วย "หลินเจ้าถิง ข้ามีคำสารภาพผิดของนักพรตหวู่หุนอยู่ในมือ ถึงเจ้ายืนกรานปฏิเสธก็หนีไม่พ้น ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายเจ้าต้องชดใช้ให
บทที่ 76 ปริศนาฆาตกรรมในวังหลัง (ตอนปลาย) ตำหนักเฟิ่งอัน ห้องบรรทมหลินฮองเฮา หน้าต่างห้องบรรทมถูกแง้มออก ร่างบางปีนเข้ามาด้านในโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ตามมาตรฐานจารชนมือฉกาจ แคปซูลยาสลบถูกจ่อใต้จมูกของฮองเฮา ราวห้าลมหายใจต่อมาเสียงฝ่ามือกระทบเนื้อก็ดังขึ้นต่อเนื่อง เพียะ! เพียะ! เพียะ!…เพียะ! เมื่อเห็นว่าใบหน้าของศัตรูบวมฉึ่งกลายเป็นหัวหมูเรียบร้อย กริชของเผ่าฮวาล่าที่ด้ามทำจากเขาสัตว์ฝังอัญมณี ซึ่งองค์หญิงลี่นาซามอบให้เป็นของขวัญ ถูกกรีดลงบนใบหน้าด้านขวาของหลินเจาถิง บริเวณเดียวกันกับใบหน้าของเฉินชิงเหอ ถือเป็นการเอาคืนเล็กน้อยให้บิดาของนาง ก่อนกลับมาจัดการให้สมน้ำสมเนื้ออีกทีที่หลัง จากนั้นจึงปีนขึ้นไปบนเตียง ดึงเอาร่างไร้ศีรษะของว่านไทเฮาออกมาจากมิติ วางลงข้างกายหลินเจาถิง จัดท่าให้ฮองเฮานอนกอดร่างไร้วิญญาณของคู่แค้นราวกับกำลังโอบกอดคนรัก…พรุ่งนี้ตื่นมาคงมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นในวังหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ยามรุ่งอรุณของวันถัดมา ท้องฟ้าสีครามปราศจากเมฆหมอกบดบัง แสงแดดอบอุ่นยามเช้าสาดส่องโลมไล้หิมะสีขาว เกิดประกายระยิบระยับพร่างพรางราวอัญมณีล้อแสง พาให้จิตใจผ่องใสสดชื่นในเช
บทที่ 76 ปริศนาฆาตกรรมในวังหลัง (ตอนต้น) หลังจากถูกเซียวหนิงชิงเล่นงานปางตายในคืนนั้น ว่านไทเฮาก็ย้ายตำหนักมาอยู่อีกฝากฝั่งของวังหลัง นางไม่กล้าพำนักอยู่ ณ ตำหนักเดิมอีกต่อไป ด้วยเพราะกลัววิญญาณร้ายจะตามมาหลอกหลอน นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ ซู่หมัวมัวและนางกำนัลคนสนิทอีกสองนาง จึงถูกสั่งให้มานอนเฝ้าหน้าเตียงเป็นเพื่อนว่านไทเฮา เซียวหนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจกวาดตามองไปทั่ววังหลัง เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆนางก็พบห้องบรรทมใหม่ของว่านซวงเถียน "ชิ คิดว่าหนีพ้นเงื้อมมือข้าไปได้อย่างนั้นรึยัยแก่ เตรียมตัวลงนรกไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวเสียเถอะ ซีซี พวกเราไปหายายแก่ว่านซวงเถียนกันเถอะนะ" เมี้ยวววว แมวทิพย์ตอบรับเสียงหวาน มันไม่เคยขัดใจนางทาสอยู่แล้ว ไปไหนไปกันซีซีพร้อมเสมอ หน้าต่างห้องบรรทมที่ลงกลอนจากภายใน ถูกแมวทิพย์ที่สามารถเดินทะลุผนังได้ปลดกลอนออก ผู้มาเยือนยามวิกาลย่องมาเข้าอย่างเงียบเชียบ จ่อแคปซูลยาสลบไปที่ใต้จมูกของซู่หมัวมัวและนางกำนัลอีกสองคน "เรียบร้อย จะได้ไม่มีใครมาขัดจังหวะช่วงเวลาเยี่ยมผู้ป่วยของคนสวย" ร่างบางก้าวข้ามตัวของหมัวมัวและปีนขึ้นไปบนเตียงของว่านไทเฮา ดวงตาเมล็