บทที่ 3 บะหมี่เนื้อตุ๋น
-กิจกรรมท้าทายประจำรอบ "ต้มไข่ยางมะตูมสิบฟองเริ่มต้นได้" มู่หนิงชิงเปิดน้ำใส่หม้อ หยิบไข่ไก่วางลงไปสิบใบ ใส่เกลือหนึ่งช้อนโต๊ะ ตั้งไฟรอจนกระทั่งน้ำเดือดนางจึงตั้งเวลาไปที่สามนาทีครึ่ง ระหว่างนั้นก็ใช้เนตรปีศาจของตน เพ่งดูระดับความสุกของไข่ไปด้วย จะหาว่านางโกงไม่ได้นะ ไม่มีกติกาบอกว่าห้ามใช้ความสามารถพิเศษ ในการทำกิจกรรมท้าทาย เมื่อครบเวลาก็รีบปิดไฟ เทน้ำร้อนออก เปิดน้ำเย็นใส่หม้อแทนทันที แช่ไข่ทิ้งไว้ในน้ำเย็นครู่หนึ่ง จึงหยิบไข่ฟองแรกมาปอก ใช้มีดหั่นครึ่งเพื่อตรวจดูระดับความสุก “เยสสส!!! ไข่ต้มยางมะตูมสวยงาม” ไข่ที่เหลืออีกเก้าฟองถูกปอกเปลือกใส่จาน และหั่นครึ่งเพื่อตรวจสอบด้วยความว่องไว หากทิ้งไว้นานกว่านี้ไข่แดงจะสุกมากขึ้น “เสร็จแล้ว ผ่านหรือไม่ซินดี้” -ผลการท้าทาย ต้มไข่ยางมะตูมทั้งสิบฟองประสบความสำเร็จ ท่านต้องการรับรางวัลพิเศษ แม่ไก่พันธุ์ไข่สายดุเลยหรือไม่ “คิกๆ ชอบจริงๆชื่อพันธุ์เนี่ย ขอบใจซินดี้ ขอฝากไว้ก่อนแล้วกัน สะดวกเมื่อไหร่จะมารับนะ” มู่หนิงชิงละมือจากจานไข่ หันไปหั่นผักที่ใช้เป็นเครื่องเคียงสำหรับบะหมี่เนื้อตุ๋น นางใช้เวลาตุ๋นเนื้อราวหนึ่งชั่วยามก่อนที่จะเปิดฝาเพื่อชิมรสชาติ “อืมมม อร่อยมากอ่ะ ขนาดว่าไม่ได้ทำเนื้อตุ๋นกินเองนานแล้วนะเนี่ย ฝีมือไม่ตกจริงๆ ชิงชิง" หลายคนที่รู้จักมู่หนิงชิงต่างสงสัยว่า คนรักการกินอย่างนางไยถึงไม่อ้วน เหตุผลเป็นเพราะเจ้าตัวออกกำลังกาย และฝึกซ้อมการต่อสู้หนักทุกวัน เพื่อรักษารูปร่างให้ปราดเปรียว มีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งยามต้องออกไปปฏิบัติภารกิจโจรกรรม เอ้ย จารกรรม เมื่อถึงเวลา เนื้อตุ๋นที่เตรียมไว้ก็ได้ที่ นางจึงเริ่มลวกบะหมี่ใส่ชามทั้งห้าใบ ตามด้วยตักชิ้นเนื้อที่เปื่อยนุ่ม จนแทบจะละลายในปากยามสัมผัสลงไปวาง เคียงข้างกับไข่ต้มยางมะตูมสองชิ้น โรยหน้าด้วยงาคั่วคลุกผักซอย ตักน้ำซุปใส่เป็นขั้นตอนสุดท้าย อืมม น้ำลายไหล ร่างบางยกชามบะหมี่ออกมาวางบนโต๊ะใกล้หน้าต่างในห้องนอน ก่อนขยี้ผมตัวเองให้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย มองคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน จากนั้นจึงรุดออกไปจากห้องด้วยท่าทางตื่นเต้นตกใจ “ท่านพ่อ! ท่านแม่เจ้าคะ! ตื่นเถิดเจ้าค่ะ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในห้องลูกเจ้าค่ะ!” มู่เฟิงลุกพรวดพุ่งมาที่ประตูทันทียามได้ยินเสียงบุตรสาว “ชิงเอ๋อร์! เกิดอะไรขึ้นลูก บอกพ่อมา” “ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยตามลูกมาที่ห้องทีเถิดเจ้าค่ะ มีสิ่งที่ท่านต้องเห็น” เมื่อก้าวพ้นประตูห้องนอน กลิ่มหอมของบะหมี่เนื้อตุ๋นลอยเข้าจมูก มู่หนิงชิงลอบยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ นางหวังว่าทุกคนในบ้าน จะมีความสุขกับอาหารที่นางทำเองกับมือ “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ลูกนอนหลับฝันไปว่า มีท่านเทพผู้หนึ่งมาหา และบอกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในป่า เป็นเพราะความประมาทของท่านเอง ท่านจึงขอมอบพรวิเศษให้ลูกหนึ่งข้อเพื่อทดแทน แต่สิ่งที่ขอต้องไม่ใช่เงินทอง ลูกจึงขอท่านไปว่า ขอให้บ้านของเรามีอาหารดีๆกินทุกวัน วันละมื้อก็ยังดีเจ้าค่ะ ท่านเทพพยักหน้าบอกว่าพรที่ลูกขอสมปรารถนาแล้ว จากนั้นลูกก็สะดุ้งตื่น และพบว่ามีบะหมี่ห้าชามนี้ตั้งอยู่เจ้าค่ะ” 'โกหกขาวเพื่อครอบครัวไม่บาป ท่านเทพที่ข้าเอามาแอบอ้างโปรดอย่าถือสานะเจ้าคะ' เรื่องราวที่ฟังดูแล้วเหลือเชื่อเช่นนี้ ทำเอาผู้เป็นบิดามารดายืนตัวแข็งดวงตาเบิกกว้าง ทว่าบะหมี่ทั้งห้าชามตรงหน้าเป็นของจริง อีกทั้งที่บ้านก็ไม่มีเนื้อเลยสักชิ้น แล้วเนื้อตุ๋นในชามจะมาจากที่ใดได้ มู่เฟิงคุกเข่าลงกับพื้น พนมมือสวดมนต์ขอบคุณสวรรค์ ซูซื่อคุกเข่าลงทำตามสามี ตัวมู่หนิงชิงเองจึงทำบ้างเพื่อความเนียน เมื่อกล่าวขอบคุณสวรรค์เสร็จสรรพ พี่สาวจึงไปปลุกน้องทั้งสองคน จากห้องนอนถัดไปมากินบะหมี่ด้วยกัน เด็กน้อยเดินงัวเงียตามพี่สาวมาแต่โดยดี ครั้นได้กลิ่นและมองเห็นชามบะหมี่ ตั้งอยู่บนโต๊ะกินข้าวเป็นที่เรียบร้อยก็ตื่นเต็มตา “เนื้ออ! พวกเรามีเนื้อกินด้วยหรือเจ้าคะท่านพ่อ?!” มู่หนิงอันตาโต หันไปถามบิดาเสียงสูง เด็กหญิงทั้งดีใจและประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีเนื้อให้กิน นานเท่าไหร่แล้วที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ไม่ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อ… “เฉิงเอ๋อร์ อันเอ๋อร์ รีบๆนั่งลงกินบะหมี่ตอนที่ยังร้อนเถอะ ถ้าไม่ร้อนจะไม่อร่อยเอานะ” พี่สาวแสนดีรีบขยับชามบะหมี่มาวางตรงหน้าเด็กทั้งสอง เมื่อมู่เฟิงตักน้ำแกงเข้าปากทุกคนจึงขยับตะเกียบ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทำเอามู่หนิงชิงถึงกับหน้าเสีย “ฮึก ฮึก” เสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงดังขึ้น ริมฝีปากเล็กสั่นเทาขณะเคี้ยวอาหารในปาก “อันเอ๋อร์! น้องร้องไห้ทำไม บะหมี่ไม่อร่อยหรือ” คนทำบะหมี่เอ่ยถามอย่างร้อนรน รสชาติอาหารของนางแย่มากเลยหรือ มู่หนิงชิงใจคอไม่ดีรีบผินหน้า มองสำรวจสมาชิกในครอบครัวที่เหลือ เวลานี้ขอบตาของทุกคนรื้นน้ำ ซูซื่อน้ำตาไหลจากหางตา ขณะคีบชิ้นเนื้อขึ้นมาจากชาม “อร่อยมากจริงๆ ฮึก ตั้งแต่เกิดมา แม่ไม่เคยกินบะหมี่เนื้อตุ๋น ฮึก อร่อยมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก น้ำแกงรสชาติกลมกล่อมละมุนลิ้น เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี ไข่ต้มยางมะตูมก็อร่อย งาคั่วกับผักซอยนี่ก็เข้ากันกับน้ำแกงยิ่ง นี่คงเป็นรสชาติที่สวรรค์รังสรรค์มาให้พวกเราสินะ” “อาเหม่ยพูดถูกจริงๆ ข้าก็คิดเช่นนั้น” มือใหญ่ของมู่เฟิงกุมมือภรรยา ขอบตาแดงจากน้ำตาที่เอ่อท้น “อร่อยมากจริงๆ ขอรับ” มู่หนิงเฉิงเอ่ยเสียงสั่นเครือ น้ำตาเม็ดเล็กไหลอาบแก้มของเด็กชาย มู่หนิงชิงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางนึกว่างานเลี้ยงจะล่มเสียแล้ว อร่อยจนถึงขั้นน้ำตาไหลขนาดนี้ นางค่อยรู้สึกฮึกเหิมหน่อย!! หนึ่งเค่อต่อมา บะหมี่เนื้อตุ๋นชามใหญ่ของทุกคนก็หมดเกลี้ยง ชามใส่บะหมี่สะอาดจนแทบไม่ต้องล้างเลยก็ว่าได้ ทุกคนมีสีหน้าเปรมปรีดิ์เปี่ยมด้วยความสุข นั่งลูบท้องตนเองเบาๆ ไม่ได้รู้สึกอิ่มท้องเช่นนี้มานานมากแล้ว… ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้ทานจนอิ่มหนำสำราญ คงเป็นงานแต่งบุตรชายคนโตเจ้าของที่ดินกระมังหากจำไม่ผิด มู่หนิงชิงเห็นว่าโอกาสกำลังเหมาะ จึงเอ่ยปากเข้าเรื่องสำคัญทันที “ข้ามีเรื่องอยากขอร้องทุกคนเจ้าค่ะ ข้าขอให้ทุกคนช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้พูดกับใครเด็ดขาดโดยเฉพาะกับบ้านใหญ่” สีหน้าท่าทางของมู่หนิงชิงเคร่งขรึมขณะเอื้อนเอ่ย กวาดตามองสมาชิกครอบครัวด้วยแววตาจริงจัง “พ่อสัญญาว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ!!” มู่เฟิงรับปากเป็นคนแรกบทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนปลาย) ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามปิดลง เริ่มเค้นความทรงจำของมู่หนิงชิงในวันสุดท้าย… ช่วงสายของวันนั้น มู่หนิงชิงสะพายตะกร้าขึ้นหลัง เดินเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพรและผักป่าตามปกติ เดินอยู่ราวสามเค่อจึงมุ่งไปยังตำแหน่งที่เคยพบกอเผือก กอเผือกอีกแล้ว!! ทว่ากลับชะงักฝีเท้า เพราะได้ยินเสียงร้องครวญครางของสตรีอยู่ไม่ไกล หญิงสาวก้าวไปข้างหน้ามือบางแหวกใบของต้นเผือกออก และได้เห็นบั้นท้ายของบุรุษ กำลังกระแทกใส่หว่างขาสตรี ที่ยืนพิงต้นไม้ยกขาข้างหนึ่งเกี่ยวเอวของเขาไว้ นางไม่เห็นหน้าของคนทั้งสองด้วยซ้ำ เพราะรีบหมุนตัวกลับมาจากภาพบัดสีที่ได้ประจักษ์กับตา เท้าของนางบังเอิญเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง นางไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะได้ยินหรือไม่ หลังผละมาจากตรงนั้น หญิงสาวเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยพบกลุ่มเห็ดโคนที่ขึ้นเป็นประจำ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่นางถูกลอบทำร้ายจากด้านหลัง…จนเสียชีวิตในที่สุด มู่หนิงชิงเปิดเปลือกตาขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อนิจจา…มู่หนิงชิง เจ้าต้องมาตายเพราะโดนคนสารเลวที่แอบมาเล่นชู้กันในป่าสังหาร เพียงเพื่อปกปิดความเลวระยำของพวกมัน!“ ดวงตาข
บทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนต้น) สัญญาเช่าพื้นที่หน้าร้านฝูจิ่นเริ่มขึ้นวันมะรืน ตามคำขอของมู่หนิงชิง หญิงสาวยังได้สั่งทำฉากกั้น โต๊ะไม้และกล่องใส่อาหาร สำหรับไว้ใช้ในวันเปิดร้าน จากร้านขายเครื่องเรือนในเครือตระกูลฟ่านอีกด้วย ส่วนภาชนะที่นางจะใช้สำหรับใส่เกี๊ยวซ่าขาย คือกระทงใบกล้วย หลังกลับมาจากในเมือง มู่หนิงชิงขอให้มารดาพาไปหาบ้านที่ปลูกกล้วยเพื่อขอซื้อใบ ขากลับเดินผ่านไร่ของบ้านใหญ่สกุลมู่ ก็ได้เห็นมู่ซาน มู่อวิ๋นเทารวมถึงหลัวซื่อ ซึ่งปกติไม่เคยมาช่วยงานที่ไร่ กำลังวุ่นวายอยู่กับการรดน้ำและกำจัดวัชพืช ในขณะที่ปากก็พ่นคำผรุสวาทไม่หยุด ซูซื่อเห็นทั้งสามแล้วก็ทอดถอนใจ ก่อนหันหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน มู่หนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจมองเข้าไปภายในบ้าน เพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง พบว่ามู่อวี๋โหรวกำลังนอนเล่นอยู่บนตั่งเตียง สั่งให้น้องสาวช่วยเย็บเสื้อคลุมบุรุษตัวหนึ่งแทนตน ทว่าไร้เงาของฉวนซื่อที่ยามนี้ปกติต้องอยู่บ้าน… หลังกลับมาถึงบ้าน มู่หนิงชิงชวนบิดาและน้องทั้งสอง ไปเดินเล่นบนเขาโดยทิ้งแม่ไก่สายดุไว้เฝ้าบ้าน! นางต้องการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างนี้ หากจะไปคนเดียวมู่เฟิงและซูซื่อคงไม
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนปลาย) เวลานี้ดวงตาของคู่งามของฟ่านฮุ่ยเจิน เป็นประกายระยับราวกับดวงดาวยามค่ำคืน นางยิ้มไม่หุบขณะชิมน้ำจิ้มแต่ละรส และเมื่อเกี๊ยวซ่าตัวสุดท้ายหมดลง… "อ๊ะ! หมดแล้วหรือ เอ่อ แม่นางมู่ หากข้าจะขอเพิ่มอีกสักจาน ท่านยังพอมีเกี๊ยวเหลือหรือไม่" น้ำเสียงเว้าวอน สีหน้าค่อนไปทางออดอ้อนเล็กน้อยของฟ่านฮุ่ยเจิน เรียกรอยยิ้มกว้างของมู่หนิงชิงได้อีกครั้ง "หากคุณหนูฟ่านต้องการ ข้าจะไปทอดเพิ่มให้ท่านทันที เพียงแต่ว่า…ท่านจะอนุญาตให้ข้ามาตั้งแผงขาย ยังหน้าร้านฝูจิ่นได้หรือไม่หรือเจ้าคะ" "ได้สิ! ได้แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าจะร่างสัญญาเช่าให้ท่าน ระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานต่อไป เอ่อ ข้าอยากรู้ว่าวันนี้ท่านนำเกี๊ยวสดมาเยอะหรือไม่ หากข้าจะขอประเดิมอาหารของท่านเป็นเจ้าแรก ด้วยการเหมาเกี๊ยวซ่าที่ท่านนำมา ในวันนี้ทั้งหมดจะเป็นไปได้ไหม ทุกคนในครอบครัวของข้าต้องชื่นชอบเป็นแน่" ฟ่านฮุ่ยเจินที่ติดอกติดใจความอร่อยล้ำเลิศนี้ เอ่ยปากถามมู่หนิงชิงอย่างตรงไปตรงมา แม่ค้าหน้าใหม่ระบายยิ้มจนตาโค้ง พยักหน้าเป็นคำตอบด้วยความยินดี สัญญาเช่าหน้าร้านฝูจิ่นถูกร่างขึ้นระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานถัดไป
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนต้น) เสียงแม่ไก่ร้องปลุกสมาชิกในบ้าน ยามแสงทองเรืองรองสาดส่องย้อมขอบฟ้า ร่างบางบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนก้าวลงจากเตียง หลังจากที่ทุกคนในบ้านล้างหน้าล้างตาและทานมื้อเช้าเป็นที่เสร็จสรรพ ทั้งห้าชีวิตก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปขึ้นเกวียน มู่หนิงชิงย่อตัวเอ่ยกับแม่ไก่แสนรู้ทั้งสาม ที่เดินมาส่งยังหน้าบ้านว่า “ฝากบ้านด้วยนะทุกคน ใครมาด้อมๆ มองๆ ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ พวกเจ้าจัดการได้เลย!!!” กะต๊าก!!! แม่ไก่ทั้งสามตัวส่งเสียงตอบรับ ก่อนเดินแยกย้ายไปตามมุมต่างๆของบ้านเพื่อเฝ้าระวัง มู่หนิงชิงยกยิ้มด้วยความชอบใจ ในขณะที่บุพการีและน้องทั้งสองยืนอ้าปากค้างดวงตาเบิกโพลง “แม่ไก่จากแดนเทพช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นอกจากออกไข่ใบใหญ่วันละสองฟองแล้ว ยังเฝ้าบ้านได้อีกด้วย“ มู่หนิงเฉิงเผยสีหน้าเหลือเชื่อ มองตามหลังแม่ไก่ตาแทบถลน สมาชิกทุกคนของสกุลมู่บ้านรอง ช่วยกันถือของที่จะนำไปในเมืองกันคนละอย่างสองอย่าง เพื่อไปให้ทันขึ้นเกวียนรอบแรก ครั้นจงหู่เห็นพวกเขาหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปด้วย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย คำตอบที่ได้รับกลับมา อยู่เหนือความคาดหมายของชราเล็กน้อย แต่กระนั
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนปลาย) แต๊กๆๆๆๆๆๆ!! เสียงรัวตะกร้อตีมือดังขึ้นในครัว ดึงความสนใจของซูซื่อที่กำลังเย็บชายกระโปรงใหม่ให้มู่หนิงอัน นางหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เดินมาดูแม่ครัวคนใหม่ของบ้าน ซึ่งมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกในมือ “นั่นมัน? เอ่อ…” “ท่านเทพให้มาเจ้าค่ะ” ร่างบางเงยหน้าบอกมารดา ก่อนก้มหน้ารัวตะกร้อในมือต่อ “ชิงเอ๋อร์ทำอะไรหรือให้แม่ช่วยดีกว่า ร่างกายลูกยังไม่แข็งแรง ออกแรงมากจะหน้ามืดเอานะ” “ใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” ซูซื่อยืนมองบุตรสาว รัวมือตีสิ่งที่อยู่ในชามใบใหญ่ด้วยความสนใจ ราวครึ่งเค่อต่อมา น้ำจิ้มสีเหลืองนวลข้นเหนียวก็เป็นอันเสร็จ มู่หนิงชิงเหงื่อซึมทั่วกรอบหน้า อ้าปากหอบหายใจ พลางนวดข้อมือจากความเมื่อยขบ ขณะหันมายิ้มให้กับมารดา “มายองเนสเสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เหลือแค่ปรุงรสอีกนิดหน่อยเท่านั้น“ “มา มาอะไรนะชิงเอ๋อร์?!” ซูซื่อถามชื่อของน้ำจิ้มสีนวลนั้นซ้ำ นางไม่เคยได้ยินชื่อเรียกน้ำจิ้มแบบนี้มาก่อน “มา ยอง เนสสสส เจ้าค่ะ” มู่หนิงชิงเอ่ยทวนทีละคำให้มารดาฟังอีกรอบชัดๆ คนฟังพยักหน้าพลางกล่าวทวนคำบุตรสาว “อ่าา มา ยอง เนสซึ” “คิกๆๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนต้น) มู่หนิงชิงเดินกลับมาหาครอบครัว ด้วยสภาพครบสามสิบสองไม่ขาดไม่เกิน นางบอกกับมู่เฟิงว่ารุ่ยอ๋องเรียกไปคุยเรื่องเห็ดหลินจือแดงไม่มีอะไรที่น่ากังวล ในชั่วขณะนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดเทียบที่หน้าร้านฝูจิ่น หญิงสาวอายุราวสิบหกหนาว รูปร่างอรชรในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีฟ้าอ่อนก้าวออกมาจากตัวรถ ใบหน้าสะคราญอ่อนหวานน่าทะนุถนอม มีรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบาส่งให้หญิงสาวดูเป็นมิตร สาวใช้ก้าวลงมาก่อน ยื่นมือเพื่อรอประคองคุณหนูของตน ครั้นหลงจู๊ร้านฝูจิ่น เห็นว่าเป็นผู้ใดจึงปรี่เข้ามาทักทายด้วยความนอบน้อม “คุณหนูใหญ่ สบายดีนะขอรับ สมุดบัญชีเตรียมไว้ที่ห้องทำงานแล้วขอรับ” “ขอบคุณหลงจู๊ฝางมากเจ้าค่ะ…ไม่ทราบว่าลูกจ้างในร้านดูแลพวกท่านดีหรือไม่” ใบหน้าอ่อนหวานของ ฟ่านฮุ่ยเจิน หันมาหาครอบครัวของมู่เฟิง พร้อมเอ่ยถามในสิ่งทำเป็นประจำกับลูกค้าทุกคนของร้าน ชาวบ้านทุกคนในตลาดต่างรู้ดีว่า ตระกูลฟ่านเป็นตระกูลคหบดีใหญ่ ที่ร่ำรวยมากของเมืองอี้เฉิง นายท่านผู้เฒ่าฟ่าน สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยมือของตนเอง พื้นเพเป็นเพียงพ่อค้าขายของหาบเร่มาก่อน ทว่าขยันขันแข็งฉลาดเฉลียว รู
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ อึดใจต่อมาเสียงทุ้มกังวานของซวินเหิงเยว่ก็ดังขึ้น เรียกสติของมู่หนิงชิงให้ตื่นจากภวังค์ “อะ แฮ่ม! เปิ่นหวางน่ามองขนาดนั้นเชียว แม่นางมู่ถึงได้จ้องตาไม่กะพริบแบบนี้" "ขะ ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว" หญิงสาวสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติ นางเผลอมองนานไปหน่อย "หึ! รู้ตัวก็ดี รินชาเอาเองนะ มือเปิ่นหวางไม่ว่าง” มือแกร่งของอ๋องหนุ่ม ดันถาดชุดน้ำชามาให้หญิงสาว โดยไม่หันมองหน้านางด้วยซ้ำ "…" มู่หนิงชิง 'กวน…มาก' "ขอบพระทัยเพคะ แต่ชาของท่านอ๋องหม่อมฉันไม่อาจเอื้อมที่จะดื่มเพคะ…คือว่าสูงส่งเกินไปลิ้นของหม่อมไปถึงไม่ถึง ปกติดื่มแต่น้ำต้มสุก" ที่นางไม่กล้าดื่มเพราะกลัวโดนวางยาพิษต่างหาก "เฮอะ! มิใช่กลัวว่าจะโดนเปิ่นหวางวางยาพิษหรอกรึ!" ซวินเหิงเยว่แค่นเสียง เอ่ยวาจาประชด คล้ายรู้ทันความคิดของหญิงสาว "หม่อมฉันจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ไม่มี๊! ไม่มี! ท่านอ๋องเป็นถึงเจ้าเมือง จะทรงคิดร้ายต่อประชาชนของตนเองได้อย่างไรกัน ใช่หรือไม่เพคะ…เอ่อ ไม่ทราบว่าที่ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันมาพบ มีเรื่องอะไรจะถามไถ่หรือเพคะ" นางปฏิเสธเสียงสูงพลางรีบเอ่ยเข
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ เมื่อเกวียนของจงหู่จอดลง มู่หนิงชิงจึงขอให้บิดา ช่วยพาไปร้านขายข้าวสารและของแห้งอีกครั้ง นางอยากถามเถ้าแก่ของร้านฝูจิ่น เรื่องการขอตั้งแผงลอย ในชั่วขณะที่กำลังจะข้ามถนน หญิงสาวรู้สึกถึงการถูกจ้อง มาจากโรงเตี้ยมชื่อดังของย่านนั้น ครั้นแหงนมองขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมดังกล่าว สายตาของนางก็สบเข้ากับดวงตาสีเข้มคู่คมเย็นชาของคนคุ้นเคยเข้าพอดี ซวินเหิงเยว่ โบกพัดในมือเอื่อยเฉื่อย ยกมุมปากขึ้นบางเบา จับจ้องหญิงสาวสวมผ้าคาดปิดหน้าไม่วางตา “ไปพานางมาพบเปิ่นหวาง แล้วให้อย่าเอิกเกริก” ชายหนุ่มหุบพัดดังฉับ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน คนของรุ่ยอ๋องรับคำสั่งและรีบผละไป ปล่อยให้นายเหนือหัวนั่งจิบชาหลงจิ่งต้นฤดู ส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยท่าทางสบายใจ “ท่านอ๋องรู้จักสตรีผู้นั้นด้วยหรือ ถึงให้ชิวยวี่ไปเชิญมาพบ” ชายหนุ่มรูปงามผิวสีน้ำผึ้ง รูปตายาวเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลดูเด็ดขาด ทว่าแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยน เอ่ยปากถามบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความข้องใจ สหายรักสูงศักดิ์ของเขาผู้นี้ ปกติเกลียดการถูกสตรีเข้าหาหรือตามวอแวเป็นที่สุด ทว่าวันนี้กลับเอ่ยปากสั่งให้องครักษ
บทที่ 11 ของขวัญจากท่านเทพ มู่เฟิงและซูซื่อพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงตอบ ผิดกับมู่หนิงเฉิงและมู่หนิงอัน ที่กำลังระบายยิ้มเต็มหน้าตามพี่สาว เจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสองก้าวเข้ามาข้างใน ก้มตัวลงค่อยๆ ยื่นมือน้อยๆ มาหาแม่ไก่เบื้องหน้า แม่ไก่ทั้งสามเหมือนจะเข้าใจเด็กๆ พวกมันก้มหัวลงให้พวกเขาสัมผัสด้วยความอ่อนโยน ก่อนก้าวเข้าไปซุกหน้าที่บ่าน้อยๆ ของพวกเขาอย่างนุ่มนวล พวงแก้มของเด็กทั้งคู่กลายเป็นสีระเรื่อด้วยความดีใจ ดวงตาไร้เดียงสาพร่างพราวจากความสุข เจ้าหัวผักกาดน้อยเงยหน้ามองพี่สาว ก่อนเอ่ยวาจาเป็นประโยคเดียวกัน "พี่ใหญ่ พวกข้าขอดูแลแม่ไก่สามตัวนี้ได้หรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ" "ได้แน่นอนเฉิงเอ๋อร์ อันเอ๋อร์ รบกวนพวกเจ้าทั้งสองดูแลพวกมันให้ดีด้วยนะ" เด็กๆ ส่งเสียงขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง หยัดกายขึ้นยืนและพาแม่ไก่สายดุทั้งสาม ออกไปยังหลังบ้านเพื่อให้อาหาร มู่หนิงชิงบอกพวกเด็กๆว่า แม่ไก่เหล่านี้กินธัญพืชและผักต่างๆได้ คืนนั้นมู่หนิงชิงจัดอาหารชุดใหญ่พิเศษ เพื่อฉลองอิสรภาพให้ครอบครัว พร้อมนำเหล้าองุ่นแดงรสเลิศ ออกมาจากมิติแห่งความอิ่มหนำให้มู่เฟิงและซูซื่อได้ลิ้มลอง "ชิงเอ๋อร์! ไยอาหารถึงได้มากมายเ