บทที่ 5 ท่านย่าจากบ้านใหญ่
ซูซื่อยกมือทาบอก สูดหายใจเสียงดัง คาดไม่ถึงว่าบุตรสาว จะกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านคนจากบ้านใหญ่อย่างไม่กลัวเกรง ชิงเอ๋อร์ของนางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ "เจ้า! นังเด็กอกตัญญู กล้าเถียงข้าอย่างนั้นรึ! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ถึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ในเมื่อมารดาของเจ้าสั่งสอนเจ้าไม่ดี ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าเอง!" หลัวซื่อเงื้อมือขึ้นสูง ก้าวอาดๆเข้าไปหามู่หนิงชิงด้วยสีหน้าดุร้าย ทางด้านมู่หนิงชิงก็ตั้งท่ารอ เตรียมพร้อมสวนกลับอยู่เช่นเดียวกัน ในเสี้ยวเวลาที่หลัวซื่อฟาดฝ่ามือลงมาเต็มแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่ซูซื่อ พุ่งเข้ามารับฝ่ามือนั้นแทนบุตรสาวพอดิบพอดี "ท่านแม่ อย่าตีชิงเอ๋อร์เจ้าค่ะ!!!" เพียะ!! เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าของซูซื่อดังลั่น "ท่านแม่!!" บุตรสาวทั้งสองของซูซื่อต่างร้องเสียงหลง รีบรุดเข้าไปดูมารดาที่ทรุดลงไปกองกับพื้น บริเวณมุมปากมีหยาดเลือดไหลซึม "ท่านย่าตีท่านแม่ทำไมเจ้าคะ ฮือออ" มู่หนิงอันเบะปากสะอื้นไห้ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม มู่หนิงชิงประคองมารดาให้ลุกขึ้น หันกลับมามองหลัวซื่อด้วยแววตามาดร้าย ‘ยัยคางคกแก่กล้าทำร้ายคนในครอบครัวข้า ฝากไว้ก่อนเถอะ รอให้ร่างกายข้าแข็งแรงขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยก่อน ได้เจอดีแน่’ มู่อวี๋โหรวหยุดแสร้งสำออย ครั้นเห็นว่าหลัวซื่อลงมือกับคนบ้านรองสมใจ หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน คว่ำตะกร้าของมู่หนิงชิง จนผักป่าและเห็ดที่เก็บมากระจัดกระจายเต็มพื้น ก่อนเขวี้ยงตะกร้าทิ้ง ทว่าไร้ร่องรอยของเห็ดหลินจือแดง "ฮึ! สมน้ำหน้า ท่านแม่ของเจ้าอยากเอาตัวมารับฝ่ามือของท่านย่าเองช่วยไม่ได้ แล้วนี่อะไรมีแต่ของไร้ค่าทั้งนั้น" ซูซื่อดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นชัดๆว่าเห็ดหลินจือแดงสองดอกใหญ่ อยู่ในตะกร้าของบุตรสาวก่อนหน้านี้ นางหันหน้ามองบุตรสาวเป็นเชิงถาม ทว่ามู่หนิงชิงมิได้เอ่ยสิ่งใด ทำเพียงส่ายหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทางด้านหลัวซื่อที่ยังไม่ยอมรามือ อ้าปากเตรียมอาละวาดด่าทออีกรอบ แต่กลับถูกเสียงของมู่เฟิงขัดขวางเสียก่อน "ท่านแม่ มาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น! ไยข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นแบบนี้ อาเหม่ย! หน้าเจ้าไปโดนอะไรมา" "ฮึก ท่านแม่ถูกท่านย่าตีเจ้าค่ะท่านพ่อ ฮึก ท่านย่าต้องการจะตีพี่ใหญ่ แต่ท่านแม่วิ่งเข้ามารับแทน" เจ้าหัวผักกาดน้อยรีบเอ่ยฟ้องบิดาทั้งที่ยังสะอื้นไห้ สีหน้าของมู่เฟิงเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ ยามได้ฟังคำจากปากบุตรสาวคนเล็ก เขามองมารดาของตนด้วยสายเย็นชาระคนขุ่นเคือง ซึ่งเป็นสายตาที่หลัวซื่อไม่เคยเห็นมาก่อน "ท่านแม่ ท่านต้องมีคำอธิบายที่ดีให้ข้า ว่าเหตุใดถึงต้องลงมือกับชิงเอ๋อร์ ทั้งที่อาการป่วยของนางเพิ่งจะดีขึ้น หลายปีที่ผ่านมา ข้ากับอาเหม่ยยอมให้ท่านกับคนบ้านใหญ่ ใช้งานพวกเราเยี่ยงทาสโดยไม่เคยปริปากบ่น เพราะเห็นแก่บุญคุณที่ท่านพ่อยอมให้ข้ากับอาเหม่ยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ยามที่พวกเราตกที่นั่งลำบากกลับมาจากเมืองหลวง แต่ถ้าท่านยังไม่เลิกรังแกพวกนาง ข้ากับลูกเมียคงต้องขอแยกบ้าน" “อะไรนะอาเฟิง นี่เจ้ากล้าขอแยกบ้านอย่างนั้นหรือ?!” หลัวซื่อแทบไม่เชื่อหูตนเอง เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากบุตรชายคนรอง งานในไร่ส่วนใหญ่ เป็นน้ำพักน้ำแรงของมู่เฟิงและมู่หนิงเฉิง รายได้จากขายพืชผล นางแบ่งให้เขาเพียงแค่สามส่วน ทั้งที่สมควรเป็นห้าส่วน ทว่ามู่เฟิงก็ไม่เคยปริปากบ่นเพราะเห็นแก่ความช่วยเหลือ ที่ผู้เป็นบิดาหยิบยื่นให้เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่หากมู่เฟิงแยกบ้านออกไป เงินทองที่เคยได้รับก็จะหดหายไปเป็นจำนวนมาก คงไม่พอค่าใช้จ่ายของสกุลมู่บ้านใหญ่ เพราะรายได้ส่วนหนึ่งจากมู่อวิ๋น บุตรชายคนโตของนางถูกส่งไปให้มู่อวิ๋นเทาผู้เป็นหลานชาย สำหรับใช้ในการเล่าเรียน ณ สำนักศึกษาในตัวเมืองอี้เฉิง หลานชายคนนี้เป็นความหวังของบ้านใหญ่ เชื่อมั่นว่าเขาจะสอบผ่านได้เป็นขุนนาง นำชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล…ไม่ได้! นางยอมให้มู่เฟิงแยกบ้านไม่ได้เด็ดขาด! "เจ้าคิดอยากจะแยกบ้านก็แยกได้อย่างนั้นหรือมู่เฟิง อย่าลืมว่าบ้านที่เจ้ากับลูกเมียใช้ซุกหัวนอนอยู่ทุกวันนี้ ท่านพ่อของเจ้าก็เป็นคนยกให้ ลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่เจ้ากับเมียของเจ้า อุ้มนังตัวขาดทุนนั่นกลับมาจากเมืองหลวง โดยไม่มีสมบัติติดตัวมาเลยสักชิ้น คิดอยากจะแยกบ้านมันไม่ง่ายนักหรอกนะ เจ้าเลิกคิดไปได้เลย ข้ากับพ่อเจ้าไม่มีวันยอม!" หลัวซื่อเชิดหน้ากล่าวกับบุตรชายเสียงแข็ง ก่อนหันไปเรียกมู่อวี๋โหรวให้ตามนางกลับบ้านบทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /2 วันเปิดร้านผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้รับแจกถั่วเคลือบน้ำตาลเสริมพลังปราณในกายเป็นสินค้าแนะนำ ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่า เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวจะช่วยเสริมพลังธาตุในกายได้อย่างไร รวี่เยว่จึงมอบลูกกวาดเสริมพลังของแต่ละธาตุให้แต่ละคนลองกินดู “ลูกกวาดอัคคีที่ท่านลุงเพิ่งกินเข้าไป จะช่วยให้ปราณธาตุไฟของท่านแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในทันที และคงอยู่ครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ท่านสามารถทดสอบพลังได้ทันที” รวี่เยว่ยืนเอามือไพล่หลัง บรรยายสรรพคุณสินค้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทรงพลังกึกก้องจนหลายคนไม่กล้าพูดแทรก ครั้นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งกินลูกกวาดสำหรับเสริมพลังธาตุไฟเข้าไป เริ่มต้นเดินพลังดูตามคำแนะนำ ฟึ่บ!! พลังธาตุไฟในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในพริบตา ตามสรรพคุณที่กล่าวมาจริงๆ! “โอ้ พลังธาตุของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่หนูเจ้าขายราคาเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!” ชายวัยกลางคนผู้มีพลังธาตุไฟ รีบควักถุงเงินออกจากมาแหวนยื่นให้รวี่เยว่ “เจ้าจะเหมาหมดคนเดียวได้อย่างไร! ข้าเองก็อยากได้เหมือนกัน” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้า
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /1 เมืองเทียนหวง เมืองหลวงอาณาจักรอู๋ซาง จวนเสนาธิการทหาร จดหมายจากแดนไกลลุกไหม้อยู่ในเตากำยาน กลางโถงรับรองของเรือนฟาหยาง ฮูหยินผู้เฒ่า เหวินกุ้ยเหริน มารดาของหวังเหลียง และมีศักดิ์เป็นป้าของ เหวินไป๋เหลียน ทอดมองหลานสาวคนโปรดที่เกิดจากเหวินไป๋เหลียนอย่างมาดหมาย ปีนี้หวังลู่เสียนอายุเก้าหนาว เด็กหญิงเกิดหลังหวังลี่ถิงเพียงหนึ่งเดือน จากที่เคยเป็นเพียงบุตรีของอนุ เวลานี้เด็กหญิงคือบุตรีของฮูหยินเอกอย่างสมบูรณ์ "เสียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปสำนักเพลิงจักรพรรดิแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยัง" ผู้เป็นย่าเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน หวังลู่เสียนหน้าตาพริ้มเพราตั้งแต่เด็ก ฉายแววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงามเหมือนมารดา อีกทั้งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อายุเพียงเก้าหนาวระดับตบะอยู่ที่หนิงชี่ขั้นปลายแล้ว สตรีสายเลือดตระกูลเหวินต่างหากที่สมควรมีชะตาหงส์ ไม่ใช่เด็กอีกคนตามคำทำนายของหอพยากรณ์!! "เสียนเอ๋อร์เตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่า…เสียนเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านย่าไปเลย" เด็กหญิงในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนหวาน เอ่ยวาจาฉอเลาะเอาใจหญิงชรา ใบหน้าเล็กถูไ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /2 ในโกดังเก็บสินค้าทางทิศตะวันตกของเมืองลวี่เฟิง ร่างเล็กของเด็กหญิงมีสภาพสะบักสะบอม ถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากเล็กมีผ้ายัดไว้ ข้างกายมีชายชุดดำยืนคุมเชิงอยู่สองคน เผยคังก้าวเข้ามาในโกดัง พิศมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา "อั่น เอ้าเอือง อ่วย อ้า อ้วย (ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าด้วย)" เด็กหญิงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าใครก้าวเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เอาผ้าอุดปากนางออก” เผยคังสั่งองครักษ์ หลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อย ครั้นปราศจากผ้าอุดปาก เด็กหญิงก็รีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองลวี่เฟิงทันที "ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย มีคนใจร้ายจับข้ามาเจ้าค่ะ" ทว่าคนฟังกลับปรายตามองร่างเล็กอย่างเย็นชา "ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะแม่หนู เพราะข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที" แววตาของรวี่เยว่เข้มขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากเผยคัง นอกจากชายวัยกลางคนตรงหน้ายังมีใครที่ต้องการชีวิตของนางอีกหรือ "มีคนสั่งท่านเจ้าเมืองมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ! ใครหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้…ข้าเป็นแ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /1 ชายชุดดำทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตา เด็กหญิงตรงหน้ามีธาตุมืด! หรือแท้จริงแล้ว นางคือเผ่ามนุษย์สายเลือดมารสวรรค์ชั้นสูงของตำหนักเทวาอนธการ!! หากเป็นอย่างที่คิด พูดได้คำเดียวว่า ซวยแล้ว! ซวยทั้งพวกเขาและผู้ว่าจ้าง ในมหาพิภพทงเทียนถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า หาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่าริอาจไปหาเรื่องคนตำหนักเทวาอนธการ! และอย่าไปยุยั่วคนตำหนักเทพอนันต์ ขนาดราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักร ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเขา!!! ความหวาดผวาจู่โจมจิตใจของนักฆ่าที่ยังรอดชีวิต เด็กหญิงตรงหน้าอายุเพียงเก้าหนาว ทว่าระดับตบะสูงถึงเจี๋ยตันขั้นกลาง แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่า คืออัคคีนิลกาฬในมือของนางต่างหาก!! การถูกช่วงชิงและควบคุมจิตวิญญาณ คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเกรงกลัวเป็นที่สุด พวกเขามิอาจไปผุดไปเกิด แต่กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของผู้ที่ช่วงชิงออกมาได้ และหากวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อย ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…ทรมานยิ่งกว่าตกนรก! “ข้าบอก ข้ายอมบอกแล้ว แต่ได้โปรดอย่าช่วงชิงจิตวิญญาณของข้าเลย” นักฆ่าอีกคนรีบส่งเสียงปากคอสั่น “จะ เจ้าเมืองเผยคังขอรับคุณหนู ที่ว่าจ้างพวกเราให้
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลัง
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"