บทที่ 8 เมื่อบ้านใหญ่ร้อนใจ
เงินจำนวนหกร้อยตำลึงจากการขายเห็ดหลินจือแดง เวลานี้นอนอุ่นอยู่ในมิติของมู่หนิงชิง หลังออกจากหอโอสถเสียนเย่า หญิงสาวกระซิบบอกราคาที่ขายได้ให้บุพการีฟัง ทั้งคู่ตื่นตะลึงจนแทบลมจับ คาดไม่ถึงว่าราคาของหลินจือแดงจะมากมายถึงเพียงนี้ ครั้นมู่เฟิงได้สติกลับมา จึงแนะนำว่าควรนำเงินไปฝากไว้กับร้านแลกเงินจะปลอดภัยกว่าเก็บไว้ตัว “ร้านแลกเงินที่ท่านพ่อพูดถึง เชื่อถือได้แน่ใช่หรือไม่เจ้าคะ” มู่หนิงชิงคิดถึงธนาคารในภพเดิมขึ้นมาทันที อาการคิดถึงค่อนไปทางเสียดายทรัพย์สิน ที่หามาได้เกิดขึ้นแวบหนึ่ง หากนางสามารถนำเงินทองเหล่านั้นมายังภพนี้ได้ล่ะก็ ครอบครัวสกุลมู่บ้านรองคงกลายเป็นมหาเศรษฐีของที่นี่ไปแล้ว… แต่ในเมื่อเอามาไม่ได้ นางเพียงแค่หาใหม่เสียก็สิ้นเรื่อง มู่หนิงชิงซะอย่าง! “เชื่อถือได้แน่นอนชิงเอ๋อร์ ผู้ที่เป็นเจ้าของร้านแลกเงินคือตระกูลจ้าวของหย่งหนานโหวเชียวนะ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเมืองอี้เฉิง“ มู่เฟิงเอ่ยตอบข้อข้องใจของบุตรสาว หลังจากเดินมาราวสองเค่อ ครอบครัวสกุลมู่บ้านรองก็มาถึงร้านแลกเงิน เฟิงฟู่เป่า หมู่บ้านเต๋อถัง วันนี้เป็นวันหยุดทำไร่เดือนละสองหนของสกุลมู่ สมาชิกบ้านใหญ่จึงนั่งรวมตัวกันอยู่ที่ลานบ้าน โดยมีมู่ซานนั่งจิบชาอยู่บนตั่ง หลัวซื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังโบกพัดด้วยความร้อนใจ มู่อวิ๋นนั่งตรงตำแหน่งเก้าอี้ทางขวามือของบิดา คิ้วของเขาขมวดเป็นปม หลังได้ยินสิ่งที่มารดากลับมาเล่าให้ฟังเมื่อวาน หากมู่เฟิงขอแยกบ้านออกไปจริง ตัวเขาคงตกที่นั่งลำบาก ค่าใช้จ่ายในสถานศึกษาของมู่อวิ๋นเทาในแต่ละปีมิใช่น้อยๆ ถ้าขาดเงินในส่วนของมู่เฟิงไป เกรงว่าบ้านใหญ่คงชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะเงินส่วนหนึ่งหลัวซื่อเก็บไว้ให้มู่อวี๋โหรวใช้เป็นสินเดิมยามแต่งออกไป “อาอวิ๋น นี่เมียของเจ้าหายหัวไปไหน จนป่านนี้แล้วยังไม่โผล่มาอีก ไม่รู้หรือว่าทุกคนกำลังรอนางอยู่! อาฉิง! ไปตามแม่ของเจ้ามาทีซิ มัวแต่ไปนวยนาดอยู่ไหนอีก! โหรวเอ๋อร์มาพัดให้ย่าที” หลัวซื่อที่กำลังอารมณ์ไม่ดี หันไปสั่งมู่อวี๋ฉิงบุตรสาวคนเล็กของมู่อวิ๋นเสียงเขียว ก่อนหันไปเรียกหลานสาวคนโต น้ำเสียงที่ใช้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “ท่านแม่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ“ ฉวนซื่อ หรือฉวนเหยา ภรรยาของมู่อวิ๋น เดินก้มหน้าเข้ามาที่ลานบ้าน ชายกระโปรงบางส่วนเปียกน้ำ เพราะเพิ่งกลับมาจากการนำผ้าไปซักที่แม่น้ำ “ข้านึกว่าเจ้าตกน้ำตายไปซะแล้ว! หายหัวไปตั้งแต่ยามเฉิน (07:00-08:59) นี่ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง กับข้าวกับปลาก็ยังไม่ได้ทำ ใช้ได้ที่ไหนกัน เมียเจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริงๆนะอาอวิ๋น” หลัวซื่อถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนโต เอ่ยปากบริภาษฉวนซื่ออย่างหงุดหงิด ตั้งแต่มู่หนิงชิงได้รับบาดเจ็บ ซูซื่อที่ปกติมีหน้าที่ทำความสะอาดบ้าน และทำอาหารให้คนบ้านใหญ่ จึงไม่ได้มาทำงานในส่วนนี้ หลายวันมานี้ฉวนซื่อจึงต้องรับหน้าที่ ทำงานในส่วนของซูซื่อทั้งหมด นางก้มหน้าหลุบตาต่ำฟังแม่สามีต่อว่าโดยไม่คิดโต้เถียง หากแต่สองมือภายใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น ”เจ้าพอได้แล้วอาอวี๋ อาเหยาก็มาแล้ว เลิกบ่นเสียทีเถอะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า“ มู่ซานที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยตัดบท ชายชราเหลือบมองสมาชิกทุกคนในครอบครัว “ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคน หันมาทำดีกับมู่เฟิงและซูเหม่ยให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเจ้าอาอวี๋ เพราะเท่าที่ข้าฟังหากมิใช่เพราะเจ้า ไปหาเรื่องลูกเมียของอาเฟิงก่อน เจ้ารองก็คงไม่เอ่ยปากเรื่องขอแยกบ้านออกมา ส่วนเรื่องอื่นข้าจะไปเจรจากับเจ้ารองเอง” “แต่ว่าท่านพี่ นังตัวขาดทุนมันกล้าเถียงข้าก่อนนะ ข้าถึงได้…” หลัวซื่อรู้สึกไม่ยินยอมรีบเอ่ยแย้งสามี “ข้าบอกให้เจ้าหุบปากอย่างไรอาอวี๋! แล้วเลิกเรียกชิงเอ๋อร์ว่านังตัวขาดทุนเสียที นางโตเป็นสาวแล้วอีกไม่นานก็ต้องออกเรือน หากแม้แต่คนในครอบครัวยังไม่ให้เกียรตินาง แล้วบ้านสามีในอนาคตจะให้เกียรตินางรึ? อีกอย่างเถ้าแก่ลิ่วเคยเปรยกับข้าว่า อยากจะสู่ขอชิงเอ๋อร์ให้คุณชายห่าวซินในปีหน้า เพราะฉะนั้นเจ้าที่เป็นย่า คงพอจะรู้นะว่าควรจะปฏิบัติกับนางเช่นไร พวกเจ้าทุกคนด้วย อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก!“ น้ำเสียงเน้นย้ำของมู่ซาน เอ่ยกำชับภรรยารวมถึงบุตรหลานทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้น ลิ่วห่าวซินปีนี้อายุสิบเก้าหนาว เป็นบุตรชายคนเล็กของลิ่วเหอ เจ้าที่ดินในหมู่บ้านเต๋อถัง แม้นว่าชายหนุ่มเป็นบุตรที่เกิดจากหนิวอี๋เหนียง ทว่าเถ้าแก่ลิ่วก็มีบุตรชายเพียงแค่สองคนและบุตรสาวหนึ่งคน ตัวลิ่วห่าวซินเองถือว่าเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคต เขาสอบได้ซิ่วไฉเมื่อปีที่แล้ว ส่วนคุณชายใหญ่ลิ่วจางหลงและคุณหนูลิ่วฟางเหนียง ซึ่งเกิดกับภรรยาเอก ปีนี้อายุยี่สิบแปดและยี่สิบสามตามลำดับ คุณชายใหญ่แต่งงานไปแล้วกับคุณหนูอิ่นจู บุตรสาวสหายสนิทของลิ่วเหอ ซึ่งเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาในเมืองอี้เฉิง ส่วนคุณหนูรองก็แต่งไปกับบุตรชายคหบดีใหญ่ เหลือเพียงคุณชายสามที่ยังไม่มีคู่บทที่ 78 ดำเนินแผนการ (ตอนปลาย) หลินฮองเฮานั่งชันเข่าหลังชิดผนังเตียง แขนสองข้างโอบกอดตนเองจากความเหน็บหนาว เสียงที่ดังรบกวนในตำหนักเย็นยามค่ำคืน ประหนึ่งเสียงของผีร้ายกรีดร้องคอยหลอกหลอน รบกวนสภาพจิตใจของนางจนแทบเสียสติอยู่รอมร่อ ดวงตาของนางแดงช้ำ จากการร้องไห้คร่ำครวญมาสองวันสองคืน จนน้ำตาแทบไหลเป็นสายเลือด จากที่เคยดูอ่อนเยาว์มีสง่าราศี บัดนี้ดูทรุดโทรมและแก่ขึ้นสิบปีภายในระยะเวลาสั้นๆ บาดแผลฉกรรจ์บนดวงหน้าสร้างความเจ็บปวดไม่น้อยในฤดูหนาว นางพยายามฝืนทนต่อความง่วงงุนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสุดท้ายแล้วร่างกายก็มิอาจต้านทานต่อความเหนื่อยล้า หลินเจาถิงผล็อยหลับในที่สุด เซียวหนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจสำรวจตำหนักเย็นอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นพบเป้าหมายที่ตามหา ดวงตาคู่งามทอประกายชั่วร้ายวาวโรจน์ในบัดดล เอี๊ยดดด เสียงบานประตูห้องของหลินฮองเฮาเปิดออก ตามด้วยเสียงแแมวร้องฟังดูวังเวง เมี้ยวววว เมี้ยววววว…คนบนเตียงสะดุ้งตื่นอย่างเสียขวัญ รู้สึกถึงสัมผัสจากมือผอมแห้งเย็นยะเยือก กำลังลูบไล้ลงบนแก้มซ้ายของนาง "หลินเจาถิงงง หลินเจาถิงงงง" เสียงเยียบเย็นยานคางฟังแล้วขนหัวลุก คล้ายดังแว่วมาจาก
บทที่ 78 ดำเนินแผนการ (ตอนต้น) หากคำกล่าวของแม่เล้าเป็นเรื่องจริง บุรุษผู้นี้อาจเป็นตัวช่วยที่เขากำลังมองหา "พานักสังคีตคนนั้นมาให้นายท่านของข้าดูตัวทันที หลังจากที่เขาเล่นดนตรีเสร็จ" ผู้ติดตามโยนถุงเงินให้แม่เล้า อีกฝ่ายรับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง คาดเดาจากน้ำหนัก ก็พอรู้ว่าจำนวนเงินในถุงคงไม่ใช่น้อยๆ "แน่นอนเจ้าค่ะนายท่าน" ครึ่งชั่วยามถัดมา แม่เล้าก็เดินมาเคาะประตูห้องรับรองส่วนตัวของลูกค้าเงินหนัก เพื่อขออนุญาตพาเอ้อร์หลิงเข้าไปพบตามที่รับปากไว้ "นายท่าน ข้าน้อยพาคนมาแล้วเจ้าค่ะ" ผู้ติดตามเปิดประตูออก แม่เล้าก้าวเข้าไปก่อน ตามด้วยร่างสูงของเอ้อร์หลิงในชุดสีขาวบริสุทธิ์ สวมหน้ากากสีขาวเข้ากันกับชุดปิดบังใบหน้าครึ่งบน เพียงแค่ได้เห็นรูปร่างและท่วงท่าอันสง่างามราวคุณชายจากตระกูลใหญ่ บุรุษหลังฉากพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยปากสั่งให้เขาถอดเสื้อคลุมและหน้ากากออก ทว่าคำตอบที่ได้รับ คนฟังถึงกับคิ้วกระตุก "ข้าน้อยต้องขออภัยนายท่านด้วยจริงๆขอรับ เนื่องจากตัวข้าน้อย ขายเพียงความสามารถทางดนตรีและการร่ายรำ หาใช่ขายเรือนกาย ขอนายท่านโปรดอภัยให้ด้วยขอรับ" เอ้อร์หลิงประสานมือค้อมเอวอย่างน
บทที่ 78 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนปลาย) หญิงสาวปรือตาฉ่ำน้ำตอบรับเขาอย่างลืมตัว "เจ้าเก่งเหลือเกิน อื้ออ ถูกใจข้ายิ่งนัก แรงอีกหน่อย อ๊าา ข้าเกือบถึงอีกแล้ว" เสียงครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาว ดังเข้าหูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งรออยู่ข้างห้อง มือแกร่งกำเข้ากันแน่นจนข้อนิ้วลั่น ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง ก่อนยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว ผู้ติดตามที่มาด้วยยืนก้มหลุบตาต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ผ่านไปแล้วสามเค่อ การเคลื่อนไหวในห้องข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าเสียงครวญครางด้วยความเมามันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างเสียดแทงหูของผู้ได้ยินยิ่งนัก ปัง! "มันจะทำกันนานเกินไปแล้วนะ!" เขาตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง เค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนอย่างหงุดหงิด ผู้ติดตามยังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจา ทว่าต่างแอบคิดเหมือนกันไม่มีผิด 'ดูท่าเจ้าหนุ่มนั่นคงมีฝีไม้ลายมือเรื่องอย่างว่าน่าดู นางถึงได้ครางเสียงหลงขนาดนี้…' ราวสองเค่อต่อมาเสียงการเคลื่อนไหวก็เงียบลง ร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องของหญิงสาว นอนทับอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม นางหอบหายใจจากความเหนื่อยอ่
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนต้น) "หัวหน้าหมอหลวงฟ่งปรุงยาถอนพิษได้หรือไม่" สุรเสียงของซวินเหิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะรับสั่งถาม หวายกงกงส่ายหน้า “ท่านหมอฟ่งกำลังตรวจสอบหาที่มาของพิษอยู่พะย่ะค่ะ หากไม่ทราบว่าเป็นพิษชนิดใด ก็มิอาจปรุงยาถอนได้ ระหว่างนี้จึงได้ทำการฝังเข็มเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษไว้ก่อน“ "กงกงโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่" รับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังห้องนอน และกลับออกมาพร้อมกล่องใบเล็กในมือ ก้มลงกระซิบบางอย่างกับหวายกงกง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องฮ่องเต้ประชวรได้ถูกแจ้งแก่ขุนนางที่มารอประชุมเช้า ราชกิจทั้งหลายถูกโอนไปให้องค์รัชทายาทรับผิดชอบแทนชั่วคราว ตำหนักหวงหยาง องค์ชายห้าซวินเหอเยี่ยนสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หลังจากกลับออกมาจากวังหลวง ทั้งที่ปกติพระบิดาของเขามีพระวรกายแข็งแรงมาตลอด นานๆครั้งถึงจะเป็นหวัดเพราะต้องลมเย็นสักครา ทว่าจู่ๆกลับทรงประชวรหนักจนถึงขั้นมิอาจเข้าประชุมเช้า ครั้นจะขอเข้าเยี่ยมพระอาการ กลับถูกหวายกงกงห้ามไว้ โดยอ้างว่าที่ฝ่าบาทประชวร เป็นเพราะทรงเสียพระทัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา รวมทั้งเรื่องของฮองเฮาและตระกูลหลิน หัวหน้าหมอหลวงฟ่งกำชับให
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนปลาย) "หรานซิง พวกเราไม่มีเวลาแล้ว หากเจ้าไม่ยอมร่วมมือกับข้า ตำแหน่งฮองเฮาที่เจ้าใฝ่ฝันคงกลายเป็นของผู้อื่น รีบตัดสินใจเสีย!" รับสั่งสุรเสียงเด็ดขาดจนคนฟังสะดุ้งเฮือก พระชายาหลินหรานซิงกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น สูดหายใจลึกหลุบดวงเนตรลงต่ำ พยักหน้ารับปากคำขอของสวามีอย่างจำใจ "ขอบใจเจ้ามากชายารัก ขอบใจจริงๆ" ซวินเทียนอวิ๋นดึงร่างระหงของชายาเอกมากอดแนบอก พร่ำบอกขอบใจนางซ้ำไปซ้ำมาด้วยความโล่งอก "แต่ว่า…จะไปหาคนผู้นั้นมาจากที่ไหนหรือเพคะ" หลินหรานซิงเอ่ยถามสวามีด้วยความกังวล แม้ภายในใจไม่ยินยอมแต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว นางก็ต้องให้ความร่วมมือ แม้ว่าหนทางนี้จะอันตราย "เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก็พอ" ช่วงสายของวันเดียวกันนั้น รถม้าไร้สัญลักษณ์จอดอยู่หน้าจวนเพื่อรอรับเอ้อร์หลิง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวมีเสื้อคลุมกันหนาวสีดำคลุมทับ หันมาโบกมือร่ำลานายเหนือหัว และว่าที่นายหญิงด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป ราวหนึ่งครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันดังกล่าวได้จอดเทียบประตูทางเข้าด้านข้างหออ้ายเสิน หอโคมแดงชื่อดังของเมือ
บทที่ 77 ดิ้นรน (ตอนต้น) จิตสังหารแผ่ออกรอบพระวรกายฮ่องเต้ กดข่มหลินฮองเฮาจนแทบหายใจไม่ออก ดวงเนตรนางหงส์สั่นระริกรูม่านตาหดเล็กจากความกลัวที่ผุดขึ้นจากจิตใต้สำนึก โอรสสวรรค์ละพระหัตถ์จากดวงหน้าของหลินเจาถิง ยืนฟังนางแก้ตัวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน "ฝ่า ฝ่าบาททะ ทรงรับสั่งเรื่องอะไรเพคะ นักพรตอะไรกัน ทรงไปฟังใครที่ไหนมาเพคะ เรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนอะไรกันหม่อมฉันไม่เข้าใจ" ท่าทางของนางลนลานเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ตัวนักพรตหวู่หุนเองตายไปนานแล้ว ถึงครอบครัวอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเอาหลักฐานอะไรมาปรักปรำนาง หนำซ้ำตอนที่ครอบครัวของนักพรตหวู่หุนเดินทางออกจากเมืองหลวง นางสั่งให้คนของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลิน ตรวจค้นข้าวของที่พวกเขานำติดตัวไปรวมถึงค้นตัวของทุกคน ไม่มีจดหมายหรือเอกสารใดๆ ซุกซ่อนอยู่ทั้งสิ้น ทว่าสิ่งที่หลินฮองเฮาไม่รู้ นั่นคือเรื่องที่นักพรตหวู่หุนได้แอบส่งภาพวาดสำคัญ ฝากพ่อค้าที่รู้จักกันกลับไปยังแดนเหนือเพื่อมอบให้หลานชาย ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะล้มป่วย "หลินเจ้าถิง ข้ามีคำสารภาพผิดของนักพรตหวู่หุนอยู่ในมือ ถึงเจ้ายืนกรานปฏิเสธก็หนีไม่พ้น ชีวิตคนบริสุทธิ์มากมายเจ้าต้องชดใช้ให