บทที่ 8 เมื่อบ้านใหญ่ร้อนใจ
เงินจำนวนหกร้อยตำลึงจากการขายเห็ดหลินจือแดง เวลานี้นอนอุ่นอยู่ในมิติของมู่หนิงชิง หลังออกจากหอโอสถเสียนเย่า หญิงสาวกระซิบบอกราคาที่ขายได้ให้บุพการีฟัง ทั้งคู่ตื่นตะลึงจนแทบลมจับ คาดไม่ถึงว่าราคาของหลินจือแดงจะมากมายถึงเพียงนี้ ครั้นมู่เฟิงได้สติกลับมา จึงแนะนำว่าควรนำเงินไปฝากไว้กับร้านแลกเงินจะปลอดภัยกว่าเก็บไว้ตัว “ร้านแลกเงินที่ท่านพ่อพูดถึง เชื่อถือได้แน่ใช่หรือไม่เจ้าคะ” มู่หนิงชิงคิดถึงธนาคารในภพเดิมขึ้นมาทันที อาการคิดถึงค่อนไปทางเสียดายทรัพย์สิน ที่หามาได้เกิดขึ้นแวบหนึ่ง หากนางสามารถนำเงินทองเหล่านั้นมายังภพนี้ได้ล่ะก็ ครอบครัวสกุลมู่บ้านรองคงกลายเป็นมหาเศรษฐีของที่นี่ไปแล้ว… แต่ในเมื่อเอามาไม่ได้ นางเพียงแค่หาใหม่เสียก็สิ้นเรื่อง มู่หนิงชิงซะอย่าง! “เชื่อถือได้แน่นอนชิงเอ๋อร์ ผู้ที่เป็นเจ้าของร้านแลกเงินคือตระกูลจ้าวของหย่งหนานโหวเชียวนะ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเมืองอี้เฉิง“ มู่เฟิงเอ่ยตอบข้อข้องใจของบุตรสาว หลังจากเดินมาราวสองเค่อ ครอบครัวสกุลมู่บ้านรองก็มาถึงร้านแลกเงิน เฟิงฟู่เป่า หมู่บ้านเต๋อถัง วันนี้เป็นวันหยุดทำไร่เดือนละสองหนของสกุลมู่ สมาชิกบ้านใหญ่จึงนั่งรวมตัวกันอยู่ที่ลานบ้าน โดยมีมู่ซานนั่งจิบชาอยู่บนตั่ง หลัวซื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังโบกพัดด้วยความร้อนใจ มู่อวิ๋นนั่งตรงตำแหน่งเก้าอี้ทางขวามือของบิดา คิ้วของเขาขมวดเป็นปม หลังได้ยินสิ่งที่มารดากลับมาเล่าให้ฟังเมื่อวาน หากมู่เฟิงขอแยกบ้านออกไปจริง ตัวเขาคงตกที่นั่งลำบาก ค่าใช้จ่ายในสถานศึกษาของมู่อวิ๋นเทาในแต่ละปีมิใช่น้อยๆ ถ้าขาดเงินในส่วนของมู่เฟิงไป เกรงว่าบ้านใหญ่คงชักหน้าไม่ถึงหลัง เพราะเงินส่วนหนึ่งหลัวซื่อเก็บไว้ให้มู่อวี๋โหรวใช้เป็นสินเดิมยามแต่งออกไป “อาอวิ๋น นี่เมียของเจ้าหายหัวไปไหน จนป่านนี้แล้วยังไม่โผล่มาอีก ไม่รู้หรือว่าทุกคนกำลังรอนางอยู่! อาฉิง! ไปตามแม่ของเจ้ามาทีซิ มัวแต่ไปนวยนาดอยู่ไหนอีก! โหรวเอ๋อร์มาพัดให้ย่าที” หลัวซื่อที่กำลังอารมณ์ไม่ดี หันไปสั่งมู่อวี๋ฉิงบุตรสาวคนเล็กของมู่อวิ๋นเสียงเขียว ก่อนหันไปเรียกหลานสาวคนโต น้ำเสียงที่ใช้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “ท่านแม่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ“ ฉวนซื่อ หรือฉวนเหยา ภรรยาของมู่อวิ๋น เดินก้มหน้าเข้ามาที่ลานบ้าน ชายกระโปรงบางส่วนเปียกน้ำ เพราะเพิ่งกลับมาจากการนำผ้าไปซักที่แม่น้ำ “ข้านึกว่าเจ้าตกน้ำตายไปซะแล้ว! หายหัวไปตั้งแต่ยามเฉิน (07:00-08:59) นี่ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง กับข้าวกับปลาก็ยังไม่ได้ทำ ใช้ได้ที่ไหนกัน เมียเจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริงๆนะอาอวิ๋น” หลัวซื่อถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนโต เอ่ยปากบริภาษฉวนซื่ออย่างหงุดหงิด ตั้งแต่มู่หนิงชิงได้รับบาดเจ็บ ซูซื่อที่ปกติมีหน้าที่ทำความสะอาดบ้าน และทำอาหารให้คนบ้านใหญ่ จึงไม่ได้มาทำงานในส่วนนี้ หลายวันมานี้ฉวนซื่อจึงต้องรับหน้าที่ ทำงานในส่วนของซูซื่อทั้งหมด นางก้มหน้าหลุบตาต่ำฟังแม่สามีต่อว่าโดยไม่คิดโต้เถียง หากแต่สองมือภายใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น ”เจ้าพอได้แล้วอาอวี๋ อาเหยาก็มาแล้ว เลิกบ่นเสียทีเถอะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า“ มู่ซานที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยตัดบท ชายชราเหลือบมองสมาชิกทุกคนในครอบครัว “ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคน หันมาทำดีกับมู่เฟิงและซูเหม่ยให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเจ้าอาอวี๋ เพราะเท่าที่ข้าฟังหากมิใช่เพราะเจ้า ไปหาเรื่องลูกเมียของอาเฟิงก่อน เจ้ารองก็คงไม่เอ่ยปากเรื่องขอแยกบ้านออกมา ส่วนเรื่องอื่นข้าจะไปเจรจากับเจ้ารองเอง” “แต่ว่าท่านพี่ นังตัวขาดทุนมันกล้าเถียงข้าก่อนนะ ข้าถึงได้…” หลัวซื่อรู้สึกไม่ยินยอมรีบเอ่ยแย้งสามี “ข้าบอกให้เจ้าหุบปากอย่างไรอาอวี๋! แล้วเลิกเรียกชิงเอ๋อร์ว่านังตัวขาดทุนเสียที นางโตเป็นสาวแล้วอีกไม่นานก็ต้องออกเรือน หากแม้แต่คนในครอบครัวยังไม่ให้เกียรตินาง แล้วบ้านสามีในอนาคตจะให้เกียรตินางรึ? อีกอย่างเถ้าแก่ลิ่วเคยเปรยกับข้าว่า อยากจะสู่ขอชิงเอ๋อร์ให้คุณชายห่าวซินในปีหน้า เพราะฉะนั้นเจ้าที่เป็นย่า คงพอจะรู้นะว่าควรจะปฏิบัติกับนางเช่นไร พวกเจ้าทุกคนด้วย อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก!“ น้ำเสียงเน้นย้ำของมู่ซาน เอ่ยกำชับภรรยารวมถึงบุตรหลานทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้น ลิ่วห่าวซินปีนี้อายุสิบเก้าหนาว เป็นบุตรชายคนเล็กของลิ่วเหอ เจ้าที่ดินในหมู่บ้านเต๋อถัง แม้นว่าชายหนุ่มเป็นบุตรที่เกิดจากหนิวอี๋เหนียง ทว่าเถ้าแก่ลิ่วก็มีบุตรชายเพียงแค่สองคนและบุตรสาวหนึ่งคน ตัวลิ่วห่าวซินเองถือว่าเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคต เขาสอบได้ซิ่วไฉเมื่อปีที่แล้ว ส่วนคุณชายใหญ่ลิ่วจางหลงและคุณหนูลิ่วฟางเหนียง ซึ่งเกิดกับภรรยาเอก ปีนี้อายุยี่สิบแปดและยี่สิบสามตามลำดับ คุณชายใหญ่แต่งงานไปแล้วกับคุณหนูอิ่นจู บุตรสาวสหายสนิทของลิ่วเหอ ซึ่งเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาในเมืองอี้เฉิง ส่วนคุณหนูรองก็แต่งไปกับบุตรชายคหบดีใหญ่ เหลือเพียงคุณชายสามที่ยังไม่มีคู่บทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนปลาย) ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามปิดลง เริ่มเค้นความทรงจำของมู่หนิงชิงในวันสุดท้าย… ช่วงสายของวันนั้น มู่หนิงชิงสะพายตะกร้าขึ้นหลัง เดินเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพรและผักป่าตามปกติ เดินอยู่ราวสามเค่อจึงมุ่งไปยังตำแหน่งที่เคยพบกอเผือก กอเผือกอีกแล้ว!! ทว่ากลับชะงักฝีเท้า เพราะได้ยินเสียงร้องครวญครางของสตรีอยู่ไม่ไกล หญิงสาวก้าวไปข้างหน้ามือบางแหวกใบของต้นเผือกออก และได้เห็นบั้นท้ายของบุรุษ กำลังกระแทกใส่หว่างขาสตรี ที่ยืนพิงต้นไม้ยกขาข้างหนึ่งเกี่ยวเอวของเขาไว้ นางไม่เห็นหน้าของคนทั้งสองด้วยซ้ำ เพราะรีบหมุนตัวกลับมาจากภาพบัดสีที่ได้ประจักษ์กับตา เท้าของนางบังเอิญเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง นางไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะได้ยินหรือไม่ หลังผละมาจากตรงนั้น หญิงสาวเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยพบกลุ่มเห็ดโคนที่ขึ้นเป็นประจำ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่นางถูกลอบทำร้ายจากด้านหลัง…จนเสียชีวิตในที่สุด มู่หนิงชิงเปิดเปลือกตาขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อนิจจา…มู่หนิงชิง เจ้าต้องมาตายเพราะโดนคนสารเลวที่แอบมาเล่นชู้กันในป่าสังหาร เพียงเพื่อปกปิดความเลวระยำของพวกมัน!“ ดวงตาข
บทที่ 15 ผู้ต้องสงสัย (ตอนต้น) สัญญาเช่าพื้นที่หน้าร้านฝูจิ่นเริ่มขึ้นวันมะรืน ตามคำขอของมู่หนิงชิง หญิงสาวยังได้สั่งทำฉากกั้น โต๊ะไม้และกล่องใส่อาหาร สำหรับไว้ใช้ในวันเปิดร้าน จากร้านขายเครื่องเรือนในเครือตระกูลฟ่านอีกด้วย ส่วนภาชนะที่นางจะใช้สำหรับใส่เกี๊ยวซ่าขาย คือกระทงใบกล้วย หลังกลับมาจากในเมือง มู่หนิงชิงขอให้มารดาพาไปหาบ้านที่ปลูกกล้วยเพื่อขอซื้อใบ ขากลับเดินผ่านไร่ของบ้านใหญ่สกุลมู่ ก็ได้เห็นมู่ซาน มู่อวิ๋นเทารวมถึงหลัวซื่อ ซึ่งปกติไม่เคยมาช่วยงานที่ไร่ กำลังวุ่นวายอยู่กับการรดน้ำและกำจัดวัชพืช ในขณะที่ปากก็พ่นคำผรุสวาทไม่หยุด ซูซื่อเห็นทั้งสามแล้วก็ทอดถอนใจ ก่อนหันหลังมุ่งหน้ากลับบ้าน มู่หนิงชิงเพ่งเนตรปีศาจมองเข้าไปภายในบ้าน เพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง พบว่ามู่อวี๋โหรวกำลังนอนเล่นอยู่บนตั่งเตียง สั่งให้น้องสาวช่วยเย็บเสื้อคลุมบุรุษตัวหนึ่งแทนตน ทว่าไร้เงาของฉวนซื่อที่ยามนี้ปกติต้องอยู่บ้าน… หลังกลับมาถึงบ้าน มู่หนิงชิงชวนบิดาและน้องทั้งสอง ไปเดินเล่นบนเขาโดยทิ้งแม่ไก่สายดุไว้เฝ้าบ้าน! นางต้องการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างนี้ หากจะไปคนเดียวมู่เฟิงและซูซื่อคงไม
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนปลาย) เวลานี้ดวงตาของคู่งามของฟ่านฮุ่ยเจิน เป็นประกายระยับราวกับดวงดาวยามค่ำคืน นางยิ้มไม่หุบขณะชิมน้ำจิ้มแต่ละรส และเมื่อเกี๊ยวซ่าตัวสุดท้ายหมดลง… "อ๊ะ! หมดแล้วหรือ เอ่อ แม่นางมู่ หากข้าจะขอเพิ่มอีกสักจาน ท่านยังพอมีเกี๊ยวเหลือหรือไม่" น้ำเสียงเว้าวอน สีหน้าค่อนไปทางออดอ้อนเล็กน้อยของฟ่านฮุ่ยเจิน เรียกรอยยิ้มกว้างของมู่หนิงชิงได้อีกครั้ง "หากคุณหนูฟ่านต้องการ ข้าจะไปทอดเพิ่มให้ท่านทันที เพียงแต่ว่า…ท่านจะอนุญาตให้ข้ามาตั้งแผงขาย ยังหน้าร้านฝูจิ่นได้หรือไม่หรือเจ้าคะ" "ได้สิ! ได้แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าจะร่างสัญญาเช่าให้ท่าน ระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานต่อไป เอ่อ ข้าอยากรู้ว่าวันนี้ท่านนำเกี๊ยวสดมาเยอะหรือไม่ หากข้าจะขอประเดิมอาหารของท่านเป็นเจ้าแรก ด้วยการเหมาเกี๊ยวซ่าที่ท่านนำมา ในวันนี้ทั้งหมดจะเป็นไปได้ไหม ทุกคนในครอบครัวของข้าต้องชื่นชอบเป็นแน่" ฟ่านฮุ่ยเจินที่ติดอกติดใจความอร่อยล้ำเลิศนี้ เอ่ยปากถามมู่หนิงชิงอย่างตรงไปตรงมา แม่ค้าหน้าใหม่ระบายยิ้มจนตาโค้ง พยักหน้าเป็นคำตอบด้วยความยินดี สัญญาเช่าหน้าร้านฝูจิ่นถูกร่างขึ้นระหว่างรอเกี๊ยวซ่าจานถัดไป
บทที่ 14 เกี๊ยวซ่ากับสัญญาเช่า (ตอนต้น) เสียงแม่ไก่ร้องปลุกสมาชิกในบ้าน ยามแสงทองเรืองรองสาดส่องย้อมขอบฟ้า ร่างบางบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนก้าวลงจากเตียง หลังจากที่ทุกคนในบ้านล้างหน้าล้างตาและทานมื้อเช้าเป็นที่เสร็จสรรพ ทั้งห้าชีวิตก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปขึ้นเกวียน มู่หนิงชิงย่อตัวเอ่ยกับแม่ไก่แสนรู้ทั้งสาม ที่เดินมาส่งยังหน้าบ้านว่า “ฝากบ้านด้วยนะทุกคน ใครมาด้อมๆ มองๆ ดูแล้วไม่น่าไว้ใจ พวกเจ้าจัดการได้เลย!!!” กะต๊าก!!! แม่ไก่ทั้งสามตัวส่งเสียงตอบรับ ก่อนเดินแยกย้ายไปตามมุมต่างๆของบ้านเพื่อเฝ้าระวัง มู่หนิงชิงยกยิ้มด้วยความชอบใจ ในขณะที่บุพการีและน้องทั้งสองยืนอ้าปากค้างดวงตาเบิกโพลง “แม่ไก่จากแดนเทพช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นอกจากออกไข่ใบใหญ่วันละสองฟองแล้ว ยังเฝ้าบ้านได้อีกด้วย“ มู่หนิงเฉิงเผยสีหน้าเหลือเชื่อ มองตามหลังแม่ไก่ตาแทบถลน สมาชิกทุกคนของสกุลมู่บ้านรอง ช่วยกันถือของที่จะนำไปในเมืองกันคนละอย่างสองอย่าง เพื่อไปให้ทันขึ้นเกวียนรอบแรก ครั้นจงหู่เห็นพวกเขาหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปด้วย จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย คำตอบที่ได้รับกลับมา อยู่เหนือความคาดหมายของชราเล็กน้อย แต่กระนั
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนปลาย) แต๊กๆๆๆๆๆๆ!! เสียงรัวตะกร้อตีมือดังขึ้นในครัว ดึงความสนใจของซูซื่อที่กำลังเย็บชายกระโปรงใหม่ให้มู่หนิงอัน นางหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เดินมาดูแม่ครัวคนใหม่ของบ้าน ซึ่งมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกในมือ “นั่นมัน? เอ่อ…” “ท่านเทพให้มาเจ้าค่ะ” ร่างบางเงยหน้าบอกมารดา ก่อนก้มหน้ารัวตะกร้อในมือต่อ “ชิงเอ๋อร์ทำอะไรหรือให้แม่ช่วยดีกว่า ร่างกายลูกยังไม่แข็งแรง ออกแรงมากจะหน้ามืดเอานะ” “ใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่” ซูซื่อยืนมองบุตรสาว รัวมือตีสิ่งที่อยู่ในชามใบใหญ่ด้วยความสนใจ ราวครึ่งเค่อต่อมา น้ำจิ้มสีเหลืองนวลข้นเหนียวก็เป็นอันเสร็จ มู่หนิงชิงเหงื่อซึมทั่วกรอบหน้า อ้าปากหอบหายใจ พลางนวดข้อมือจากความเมื่อยขบ ขณะหันมายิ้มให้กับมารดา “มายองเนสเสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เหลือแค่ปรุงรสอีกนิดหน่อยเท่านั้น“ “มา มาอะไรนะชิงเอ๋อร์?!” ซูซื่อถามชื่อของน้ำจิ้มสีนวลนั้นซ้ำ นางไม่เคยได้ยินชื่อเรียกน้ำจิ้มแบบนี้มาก่อน “มา ยอง เนสสสส เจ้าค่ะ” มู่หนิงชิงเอ่ยทวนทีละคำให้มารดาฟังอีกรอบชัดๆ คนฟังพยักหน้าพลางกล่าวทวนคำบุตรสาว “อ่าา มา ยอง เนสซึ” “คิกๆๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ
บทที่ 13 วางแผนขายเกี๊ยวซ่า (ตอนต้น) มู่หนิงชิงเดินกลับมาหาครอบครัว ด้วยสภาพครบสามสิบสองไม่ขาดไม่เกิน นางบอกกับมู่เฟิงว่ารุ่ยอ๋องเรียกไปคุยเรื่องเห็ดหลินจือแดงไม่มีอะไรที่น่ากังวล ในชั่วขณะนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดเทียบที่หน้าร้านฝูจิ่น หญิงสาวอายุราวสิบหกหนาว รูปร่างอรชรในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีฟ้าอ่อนก้าวออกมาจากตัวรถ ใบหน้าสะคราญอ่อนหวานน่าทะนุถนอม มีรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบาส่งให้หญิงสาวดูเป็นมิตร สาวใช้ก้าวลงมาก่อน ยื่นมือเพื่อรอประคองคุณหนูของตน ครั้นหลงจู๊ร้านฝูจิ่น เห็นว่าเป็นผู้ใดจึงปรี่เข้ามาทักทายด้วยความนอบน้อม “คุณหนูใหญ่ สบายดีนะขอรับ สมุดบัญชีเตรียมไว้ที่ห้องทำงานแล้วขอรับ” “ขอบคุณหลงจู๊ฝางมากเจ้าค่ะ…ไม่ทราบว่าลูกจ้างในร้านดูแลพวกท่านดีหรือไม่” ใบหน้าอ่อนหวานของ ฟ่านฮุ่ยเจิน หันมาหาครอบครัวของมู่เฟิง พร้อมเอ่ยถามในสิ่งทำเป็นประจำกับลูกค้าทุกคนของร้าน ชาวบ้านทุกคนในตลาดต่างรู้ดีว่า ตระกูลฟ่านเป็นตระกูลคหบดีใหญ่ ที่ร่ำรวยมากของเมืองอี้เฉิง นายท่านผู้เฒ่าฟ่าน สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยมือของตนเอง พื้นเพเป็นเพียงพ่อค้าขายของหาบเร่มาก่อน ทว่าขยันขันแข็งฉลาดเฉลียว รู
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ อึดใจต่อมาเสียงทุ้มกังวานของซวินเหิงเยว่ก็ดังขึ้น เรียกสติของมู่หนิงชิงให้ตื่นจากภวังค์ “อะ แฮ่ม! เปิ่นหวางน่ามองขนาดนั้นเชียว แม่นางมู่ถึงได้จ้องตาไม่กะพริบแบบนี้" "ขะ ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว" หญิงสาวสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อเรียกสติ นางเผลอมองนานไปหน่อย "หึ! รู้ตัวก็ดี รินชาเอาเองนะ มือเปิ่นหวางไม่ว่าง” มือแกร่งของอ๋องหนุ่ม ดันถาดชุดน้ำชามาให้หญิงสาว โดยไม่หันมองหน้านางด้วยซ้ำ "…" มู่หนิงชิง 'กวน…มาก' "ขอบพระทัยเพคะ แต่ชาของท่านอ๋องหม่อมฉันไม่อาจเอื้อมที่จะดื่มเพคะ…คือว่าสูงส่งเกินไปลิ้นของหม่อมไปถึงไม่ถึง ปกติดื่มแต่น้ำต้มสุก" ที่นางไม่กล้าดื่มเพราะกลัวโดนวางยาพิษต่างหาก "เฮอะ! มิใช่กลัวว่าจะโดนเปิ่นหวางวางยาพิษหรอกรึ!" ซวินเหิงเยว่แค่นเสียง เอ่ยวาจาประชด คล้ายรู้ทันความคิดของหญิงสาว "หม่อมฉันจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ไม่มี๊! ไม่มี! ท่านอ๋องเป็นถึงเจ้าเมือง จะทรงคิดร้ายต่อประชาชนของตนเองได้อย่างไรกัน ใช่หรือไม่เพคะ…เอ่อ ไม่ทราบว่าที่ท่านอ๋องเชิญหม่อมฉันมาพบ มีเรื่องอะไรจะถามไถ่หรือเพคะ" นางปฏิเสธเสียงสูงพลางรีบเอ่ยเข
บทที่ 12 พบหน้าพ่อหนุ่มลึกลับ เมื่อเกวียนของจงหู่จอดลง มู่หนิงชิงจึงขอให้บิดา ช่วยพาไปร้านขายข้าวสารและของแห้งอีกครั้ง นางอยากถามเถ้าแก่ของร้านฝูจิ่น เรื่องการขอตั้งแผงลอย ในชั่วขณะที่กำลังจะข้ามถนน หญิงสาวรู้สึกถึงการถูกจ้อง มาจากโรงเตี้ยมชื่อดังของย่านนั้น ครั้นแหงนมองขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมดังกล่าว สายตาของนางก็สบเข้ากับดวงตาสีเข้มคู่คมเย็นชาของคนคุ้นเคยเข้าพอดี ซวินเหิงเยว่ โบกพัดในมือเอื่อยเฉื่อย ยกมุมปากขึ้นบางเบา จับจ้องหญิงสาวสวมผ้าคาดปิดหน้าไม่วางตา “ไปพานางมาพบเปิ่นหวาง แล้วให้อย่าเอิกเกริก” ชายหนุ่มหุบพัดดังฉับ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน คนของรุ่ยอ๋องรับคำสั่งและรีบผละไป ปล่อยให้นายเหนือหัวนั่งจิบชาหลงจิ่งต้นฤดู ส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยท่าทางสบายใจ “ท่านอ๋องรู้จักสตรีผู้นั้นด้วยหรือ ถึงให้ชิวยวี่ไปเชิญมาพบ” ชายหนุ่มรูปงามผิวสีน้ำผึ้ง รูปตายาวเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลดูเด็ดขาด ทว่าแววตากลับอบอุ่นอ่อนโยน เอ่ยปากถามบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความข้องใจ สหายรักสูงศักดิ์ของเขาผู้นี้ ปกติเกลียดการถูกสตรีเข้าหาหรือตามวอแวเป็นที่สุด ทว่าวันนี้กลับเอ่ยปากสั่งให้องครักษ
บทที่ 11 ของขวัญจากท่านเทพ มู่เฟิงและซูซื่อพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงตอบ ผิดกับมู่หนิงเฉิงและมู่หนิงอัน ที่กำลังระบายยิ้มเต็มหน้าตามพี่สาว เจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสองก้าวเข้ามาข้างใน ก้มตัวลงค่อยๆ ยื่นมือน้อยๆ มาหาแม่ไก่เบื้องหน้า แม่ไก่ทั้งสามเหมือนจะเข้าใจเด็กๆ พวกมันก้มหัวลงให้พวกเขาสัมผัสด้วยความอ่อนโยน ก่อนก้าวเข้าไปซุกหน้าที่บ่าน้อยๆ ของพวกเขาอย่างนุ่มนวล พวงแก้มของเด็กทั้งคู่กลายเป็นสีระเรื่อด้วยความดีใจ ดวงตาไร้เดียงสาพร่างพราวจากความสุข เจ้าหัวผักกาดน้อยเงยหน้ามองพี่สาว ก่อนเอ่ยวาจาเป็นประโยคเดียวกัน "พี่ใหญ่ พวกข้าขอดูแลแม่ไก่สามตัวนี้ได้หรือไม่ขอรับ/เจ้าคะ" "ได้แน่นอนเฉิงเอ๋อร์ อันเอ๋อร์ รบกวนพวกเจ้าทั้งสองดูแลพวกมันให้ดีด้วยนะ" เด็กๆ ส่งเสียงขอบคุณอย่างพร้อมเพรียง หยัดกายขึ้นยืนและพาแม่ไก่สายดุทั้งสาม ออกไปยังหลังบ้านเพื่อให้อาหาร มู่หนิงชิงบอกพวกเด็กๆว่า แม่ไก่เหล่านี้กินธัญพืชและผักต่างๆได้ คืนนั้นมู่หนิงชิงจัดอาหารชุดใหญ่พิเศษ เพื่อฉลองอิสรภาพให้ครอบครัว พร้อมนำเหล้าองุ่นแดงรสเลิศ ออกมาจากมิติแห่งความอิ่มหนำให้มู่เฟิงและซูซื่อได้ลิ้มลอง "ชิงเอ๋อร์! ไยอาหารถึงได้มากมายเ