ตอนที่ 4
นางร้ายก็ยังคงเป็นนางร้าย
เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารยามเคลื่อนผ่านโถงหน้าจวนแม่ทัพ ยามวิกาลเพิ่งจะเริ่มต้น แต่เรือนหลักกลับสว่างไสวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพียงเพราะข่าวลือหนึ่งประโยค
“คุณหนูเฟิงนั่งสนทนาอย่างสนิทสนมกับคุณหนูซูเยี่ยนตลอดทั้งงานเลี้ยง”
ก็กลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่กระแทกใจของสองบุรุษผู้คอยปกป้องนางมาตลอด
จวนแม่ทัพใหญ่ ภายในห้องโถงไม้สัก ซูเยี่ยนนั่งเรียบร้อยบนเบาะนุ่ม ดวงตาใสไร้พิษภัย ขณะที่เบื้องหน้าของนาง มีชายสองคนยืนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
หลี่อวี้เหิง หรือองค์ชายสามเขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีเข้ม ใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงแรงกดดัน
ซูหมิงเฉิน แม่ทัพหนุ่มผู้สงบนิ่ง แต่ดวงตาเยือกเย็นกว่าคืนที่ไร้ดาว
“เจ้าไปนั่งข้างเฟิงเหม่ยหลิน ด้วยความเต็มใจ หรือถูกนางบังคับ”
หลี่อวี้เหิงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงเขากดต่ำจนแทบสะท้อนพื้นไม้
ซูเยี่ยนพยักหน้าช้า ๆ “ข้านั่งข้างนางเอง และไม่มีผู้ใดบังคับ”
“เจ้าไม่กลัวนางหรือ” ซูหมิงเฉินถามต่อ ดวงตาคมเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“เจ้าลืมแล้วหรือ ว่าเหตุการณ์ตกน้ำคราวนั้น นางเป็นคนวางแผน”
ซูเยี่ยนส่ายหน้าอย่างยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปตอบซูหมิงเฉิน
“ข้ามิได้ลืมท่านพี่ แต่ข้าไม่กลัวนางแล้ว”
คำตอบนั้นทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดในพริบตา
“ข้าอยากสนิทกับนางมานานแล้ว” ซูเยี่ยนพูดเสียงเบา ดวงตาเปล่งประกายบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นางกล้าทำ กล้าพูด เป็นตัวของตัวเองอย่างที่ข้าไม่เคยกล้าเลยสักครั้ง อีกอย่างเมื่อคืนนี้นางสงบ เรียบง่าย และเปิดใจคุยกับข้าโดยไม่ประชดหรือแสร้งอะไรเลย และตอนที่จะจากกัน นางยังเอ่ยชวนข้าด้วย ว่าหากข้าเหงา ให้ข้าไปหานางที่จวนได้”
“ห้ามเด็ดขาด” เสียงของหลี่อวี้เหิงดังขึ้นทันที “เจ้าอย่าได้คิดไปเยือนจวนสกุลเฟิงเพียงลำพัง”
“ใช่” ซูหมิงเฉินเสริมทันควัน “แม้เจ้าจะคิดว่านางจะเปลี่ยนไปเพียงใด เจ้าก็อย่าลืมว่านางคือคนที่เคยผลักเจ้าให้ตกสระ เคยใส่ร้าย เคยกลั่นแกล้งเจ้าไม่เว้นแต่ละวัน”
ซูเยี่ยนเม้มริมฝีปาก ไม่ใช่ว่านางลืมเรื่องพวกนั้นที่เฟิงเหม่ยหลินเคยทำกับนาง แต่ในคืนนี้ นางกลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างในแววตาของเฟิงเหม่ยหลิน บางสิ่งที่นางเองก็ไม่อาจอธิบายได้
“แต่ข้าเชื่อว่านางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” ซูเยี่ยนกล่าวเสียงเบา “อย่างน้อย ข้าก็อยากจะเชื่อและอยากให้โอกาสนางอีกครั้ง”
หลี่อวี้เหิงหรี่ตา มองซูเยี่ยนอย่างใช้ความคิด ซูหมิงเฉินหันไปมององค์ชายสาม ราวกับกำลังถามความเห็น
“ไม่ นางอาจจะเปลี่ยนสีหน้า เปลี่ยนถ้อยคำได้ แต่จิตใจของเฟิงเหม่ยหลิน ข้าไม่เชื่อว่านางเปลี่ยนง่าย ๆ หรอก” องค์ชายสามกล่าวอย่างหนักแน่น
“ถ้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวเพราะนางอีก ข้าเตือนว่าเจ้าอย่าก้าวเข้าไปใกล้นางอย่างเด็ดขาด”
คำสั่งของหลี่อร้เหิงนั้นชัดเจนราวกับคำพิพากษา
ซูเยี่ยนก้มหน้ารับคำ แม้ในใจยังเต็มไปด้วยคำถาม คำพูด รอยยิ้ม และสายตาที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นในตัวเฟิงเหม่ยหลิน มีแต่นาง ที่ได้สัมผัสมันเมื่อคืน
สายลมเช้านี้อบอุ่นกว่าทุกวัน กลีบดอกเหมยที่โปรยลงบนระเบียงหน้าเรือนล้วนบางเบาราวปุยนุ่น
เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่เงียบ ๆ ที่มุมศาลาภายในเรือน มือข้างหนึ่งเปิดหนังสือ แต่ดวงตากลับไม่ได้อ่านเลยแม้แต่อักษรเดียว เพราะตอนนี้ใจเธอลอยไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
‘จะมาหาแน่นอน’ คำพูดของซูเยี่ยนเมื่อคืน ยังคงวนเวียนในหัว แต่จนแล้วจนรอด เงาร่างของหญิงสาวผู้อ่อนโยนคนนั้นก็ไม่ปรากฏขึ้นตามสัญญา
เธอไม่คิดจะเรียกร้องอะไร และไม่คิดว่าซูเยี่ยนจะมาจริงๆ แต่เธอแค่รู้สึกว่าเงียบเกินไปหน่อย
“ข้าว่าคุณหนูซูคงไม่กล้ามาแน่แล้วล่ะ” เสียงสาวใช้คนหนึ่งดังแว่วขึ้นจากมุมใกล้ศาลาอีกด้าน พวกนางคิดว่าเจ้านายไม่อยู่จึงคุยกันอย่างเผลอไผล
“จริงสิ ข้าได้ยินว่าองค์ชายสามกับท่านแม่ทัพสั่งห้ามนางเด็ดขาด” อีกคนเสริมเบา ๆ พลางลดเสียงลงนิดราวกับกลัวลมจะพัดไปถึงหูเธอ
“ก็ดูสิ คุณหนูของเรากลับมาไม่กี่วันก็ทำเรื่องให้คนทั้งเมืองพูดถึงอีกแล้ว”
“ตอนแรกใครจะไปคิดว่าอยู่ดี ๆ จะตีสนิทกับคุณหนูซูน่ะ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนตามด้วยประโยคที่แทงเข้าอกยิ่งกว่าคำหยาบคาย
“จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะ ข้าเห็นชัด ๆ ว่านี่มันเป็นแผนแน่นอน”
“ตีสนิทคุณหนูซูเสียหน่อย จะได้เข้าหาองค์ชายสามได้ง่ายขึ้นอย่างไรเล่า”
“ใช่ข้าก็ว่าอย่างงั้น เหมือนเดิมทุกอย่างแถมยังร้ายลึกยิ่งกว่าเก่าเสียอีก”
เฟิงเหม่ยหลินนิ่งงัน ปลายนิ้วหยุดพลิกหน้ากระดาษ หนังสือในมือตกลงบนตักโดยไม่รู้ตัว
ลมเช้าไม่เย็นอีกต่อไป มันกลายเป็นความว่างเปล่าที่บาดผิวจนชา
“นี้ฉันกำลังวางแผนตีสนิทเพื่อเข้าหาองค์ชายสามงั้นเหรอ” เธอยกมือกอดอก หลุบตาลงช้า ๆ ถอนหายใจเบา ๆ อย่างไม่รู้จะขำหรือจะเหนื่อยดี “นี่ฉัน ร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
เธอพูดกับตัวเองเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินเองด้วยซ้ำ แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายหม่นลง
“ไม่มีใครเชื่อ ว่าเฟิงเหม่ยหลินจะเปลี่ยนได้ ไม่มีใครคิด ว่าคนที่เคยทำผิด จะมีโอกาสใหม่ แต่ก็ใช่เพราะถ้าเป็นเฟิงเหม่ยหลินคนนั้นคงไม่เปลี่ยน แต่เธอไม่ใช่แต่ก็ไม่มีใครรู้”
เธอเอื้อมหยิบถ้วยชา แต่ปลายนิ้วกลับสั่นเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างปลงๆ
“แม้แต่ความเงียบของฉัก ก็ยังถูกมองว่าเป็นการซ่อนมีด แล้วฉันควรจะทำยังไง”
เธอไม่ถามใครเพราะรู้ว่าคงไม่มีใครตอบเธอได้
ตอนที่ 20คำปลอบใจจากแม่ทัพแสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านผ้าของรถม้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทอแสงอบอุ่นให้กับบรรยากาศเงียบงันภายในเหม่ยหลินนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเบาะรถม้า ใบหน้าเรียบเฉย สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้า ไม่แม้แต่จะสบตากับใคร แม้ซูเยี่ยนและเหวินซีจะพยายามพูดคุย เปลี่ยนเรื่องเล่า หรือหยอกล้อคลายความตึงเครียด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนวิญญาณบางส่วนของเธอ ยังคงติดอยู่ที่บ้านร้างเมื่อคืน“เหม่ยหลิน” เสียงของซูเยี่ยนดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่จับมือเธอไว้แน่น “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า ข้ารอดเพราะเจ้า”แต่เหม่ยหลินกลับค่อย ๆ ก้มหน้าลงมองมือของตนเอง ที่แขนเธอยังมีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดหุ้มบาดแผลเอาไว้เธอขยับริมฝีปากช้า ๆ “ข้าฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ” เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวกับลมที่พัดผ่านกลางใจคนทั้งรถม้าซูเยี่ยนชะงัก หันไปมองเหวินซี ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้ากอดเธอแน่นในเวลาเดียวกัน“เจ้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าปกป้องพวกข้า” เสียงทั้งสองคนดังสลับกัน พยายามกล่อมความรู้สึกในใจของหญิงสาวผู้กำลังสั่นเทาอยู่เงียบ ๆและเมื่ออ้อมกอดอบอุ่นโอบเธอไว้ สิ่งที่เธอกดไว้ในใจมาต
ตอนที่ 19 โจรป่าบุกเสียงฝนที่เคยซัดสาดตลอดคืนเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเสียงพรำเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เหลือเพียงกลิ่นดินเปียกชื้นที่โชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ผุพังท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ภายในบ้านร้างหลังเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลับใหลบนที่นอนที่ทำอย่างง่าย ๆ กลับมีเพียงชายคนหนึ่งที่ยังคงลืมตาหมิงเฉิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเงามืด ใกล้กับองค์ชายอี้เหิง สายตาของเขาหลุบต่ำอย่างใจเย็น แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงตื่นตัว เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขารู้จัก “ความเงียบผิดปกติ” ได้ดีเสียงฝีเท้าเบา ๆ แว่วมาแทบจะไม่ต่างจากเสียงฝนหยด แต่สำหรับเขา มันชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง“มีคนกำลังมา” เขากระซิบเบา ๆ ให้กับอี้เหิง ก่อนจะขยับมือทำสัญญาณไปทางทหารองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งทันใดนั้น กลุ่มทหารเริ่มตื่นตัวอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับด้ามดาบ แต่อีกข้างยังไม่ยกขึ้นรอคำสั่งหมิงเฉินขยับลุกขึ้น ก่อนจะเดินเบา ๆ ไปยังมุมที่เหล่าหญิงสาวนอนอยู่ เขาหยุดอยู่หน้าเหม่ยหลิน และโน้มตัวลงแตะไหล่เธอเบา ๆเธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่เห็นแววตาจริงจังของเขา เธอก็เงียบลง“ท่านมีอะไร” เธ
ตอนที่ 18ขี่ม้ากลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านกลุ่มแมกไม้สองข้างทาง ถนนที่ทอดยาวจากเมืองเจียงหลินกลับสู่เมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะและเสียงล้อรถม้าที่บดไปตามทางดินแต่ที่เป็นจุดสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเหม่ยหลินหญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ขององค์ชายสามจริง ๆ ม้าสีดำขลับสูงใหญ่ แข็งแกร่งแม้จะไม่ได้พยศ แต่ก็ไม่ใช่ม้าสำหรับสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพที่เห็นกลับช่างเหมาะเจาะหญิงสาวในชุดคุณหนูตระกูลใหญ่ ปักลวดลายอย่างประณีต เธอนั่งอยู่บนเบาะม้าอย่างมั่นคง ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่างามเกินใคร ริมฝีปากทาสีอ่อนเฉดชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้าเรียวที่ไม่ต้องยิ้มก็ตรึงสายตาคนได้ทั้งขบวนท่าทางการนั่งหลังตรงนั้นไม่ได้บ่งบอกความอ่อนช้อยตามแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแฝงความ นิ่ง เรียบ และเย่อหยิ่งอย่างเงียบงันคนมองไม่อาจละสายตาได้ไม่เว้นแม้แต่พวกสาวใช้ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนั้นเข้าพวกนางก็เริ่มมีเสียงซุบซิบกันขึ้นมาเบา ๆ“คุณหนูเฟิงนั่งบนหลังม้าขององค์ชายสามเชียว นั่นม้าศึกนะ”“นางคงยั่วยวนองค์ชายจ
ตอนที่ 17 มีคนมาสู่ขอเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าโปร่งใส ลมเย็นพัดเบา ๆ แต่บรรยากาศสงบในยามเช้ากลับถูกรบกวนด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาที่หน้าจวน ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบุตรชายทั้งหลายที่ถูกแต่งตัวเสียจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกชาวเมือง“คุณหนูเฟิงออกมายังเจ้าคะ” เสียงของหญิงกลางคนพวกนั้นถาม“ลูกข้าร่ำเรียนที่สำนักหลวง ท่านหญิงลองคุยดูได้นะเจ้าคะ”“ลูกชายข้าเองก็เพิ่งสอบได้ที่หนึ่งในเมือง”เสียงเหล่าแม่ ๆ ดังอื้ออึงจนข้ารับใช้ในจวนต้องรีบมาตามพวกเธอออกไปดูเหม่ยหลินที่ยังงุนงงกับบรรยากาศก็เดินออกมาที่หน้าจวนพร้อมกับหมิงเฉินและซูเยี่ยน ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมาจากประตูหลัก สายตาทั้งหมดก็จับจ้องมาที่เธอราวกับเจอเป้าหมายทองคำ“นั่นนางใช่หรือไม่”“ใช่จริง ๆ ด้วย นางสวยมาก สวยกว่าที่ข่าวเล่าอีก”“ใช่ และนางช่างดูสง่างาม”เหม่ยหลินเบิกตากว้างก่อนจะชะงักเท้า เหล่าบรรดาแม่ ๆ พร้อมลูกชายเริ่มพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งกำลังจะเข้าร่วมงานเลือกเขยหลวงเธอเบี่ยงตัวถอยหลังทันที ก่อนจะหันขวับไปมองหมิงเฉิน แล้วพึมพำอย่างร้อนรน“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ตอนที่ 16ความสามารถที่คาดไม่ถึงแสงแดดอ่อนยามสายส่องลอดต้นไม้ใหญ่ข้างทางสาดเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางผ่านป่าเขา บนถนนที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อจนนั่งแทบไม่ติดเบาะเฟิงเหม่ยหลินเอนหลังพิงเบาะไม้ พลางถอนหายใจยาว นางหลับตาอย่างอ่อนล้า ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว“เมื่อไรจะถึงกันนะ ข้าอยากลงไปเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด”ซูเยี่ยนที่นั่งข้าง ๆ อดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อดทนอีกนิด พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองเจียงหลินแล้ว เจ้าเก่งอยู่แล้วนี่ เหลือแค่อึดใจเดียวเอง”เหวินซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามหยิบพัดขึ้นมากางด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง“เฟิงเหม่ยหลินคนเมื่อวาน ที่ตบคุณหนูจนทรุดไปนอนกองอยู่กับพื้นนั่นหายไปไหนแล้วนะ หรือว่าตัวจริงคือเฟิงเหม่ยหลินขี้บ่นคนนี้กันแน่”เหม่ยหลินลืมตาช้า ๆ หันขวับไปมองเหวินซีด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของนาง เพราะในตอนนี้เธอเวียนหัวเกินกว่าจะเถียงกลับได้“…”ซูเยี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นน้ำให้เหม่ยหลิน “เจ้าหลับไปสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวถึงที่พักจะได้มีแรงเดินเล่น”เหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางรับถ้วยน้ำไปจิบช้า
ตอนที่ 15เสียงบ่นระหว่างเดินทางเสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงโบกมือสั่งของทหารหน้าขบวน“หยุดพักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”รถม้าหลายคันค่อย ๆ จอดเรียงรายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง มีเสียงนกเบา ๆ จากลำธารใกล้ ๆ ดังคลอไปกับเสียงแมลงยามเย็น สายลมพัดแผ่วจนชายผ้าคลุมบางสะบัดพลิ้วเหม่ยหลินก้าวลงจากรถม้าด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ “ข้านึกว่าข้าจะตายคารถม้าแล้วจริง ๆ”ซูเยี่ยนลงตามหลังมาก่อนจะหัวเราะ “ถ้าเจ้าบ่นแบบนี้อีกวันนี้ข้าคงหูชาแน่”เหวินซีเดินถือพัดเข้ามาสมทบ “แต่ก็ดีที่พักตรงนี้ มีลำธารใกล้ ๆ ข้าเองก็อยากล้างหน้าเสียหน่อย”“เจ้าจะตามข้ามาไหม” ซูเยี่ยนหันมาชวนเหม่ยหลิน“ข้า” เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ แต่อย่าลากข้าลงไปเล่นน้ำก็พอ”ซูเยี่ยนหัวเราะคิก “เจ้าชั่งรู้ใจข้าดีเหลือเกิน”ทั้งสามเดินแยกออกไปที่ลำธาร ปล่อยให้เหล่าทหารจัดเตรียมจุดพัก จัดเวรยาม และจุดเตาถ้วยน้ำชาหลังล้างหน้าและเปลี่ยนลมหายใจให้สดชื่น เหม่ยหลินก็แยกตัวออกมาเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโขดหินริมน้ำ ละสายตาไปยังผิวน้ำที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงเย็นยามตะวันใกล้ตกดินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่หมิงเฉินจะเดินมาหย