ตอนที่ 5
แขกคนแรก
หลายวันผ่านไปหลังจากงานเลี้ยงในคืนนั้น ดอกเหมยที่เคยบานสะพรั่งเริ่มร่วงโรย ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสัญญาณของฤดูใหม่เช่นเดียวกับหัวใจของเธอที่ค่อย ๆ ปรับตัว
เฟิงเหม่ยหลินยังคงอยู่ในจวนไม่ออกไปไหนเช่นเคย เช้าอ่านหนังสือ บ่ายดื่มชา เย็นนั่งมองฟ้าอย่างเหม่อลอย ไม่มีจดหมาย ไม่มีแขก ไม่มีข่าวจากซูเยี่ยน
วันแล้ววันเล่า เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะไม่คาดหวัง แม้จะไม่ยอมรับตรง ๆ แต่ลึก ๆ เธอก็รู้ว่าเธอแอบรอ
จนเมื่อความเงียบนานพอ เธอก็เริ่มบอกกับตัวเองว่า
“บางทีความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากความแปลก อาจจบลงอย่างเงียบงันก็ได้”
แต่แล้วในเย็นวันนั้น ท้องฟ้ากำลังแต่งแต้มด้วยสีส้มอ่อนยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน สายลมพัดหอบกลิ่นหอมจากดอกไม้ที่ปลูกริมระเบียง
เสียงสาวใช้วิ่งมาด้วยหน้าตาตื่น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูซูเยี่ยนมาขอพบเจ้าค่ะ”
เฟิงเหม่ยหลินชะงักนิ้วที่กำลังจะพลิกหน้าหนังสือ เธอเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ช้า ๆ สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่เก็บไว้ไม่มิด
“เจ้าว่าอะไรนะ ใครมา” เธอถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู
“คุณหนูซูเจ้าคะ คุณหนูซูเยี่ยนมาขอเข้าพบ”
ภายในศาลาหลังเรือน ซูเยี่ยนนั่งเรียบร้อยในชุดผ้าสีอ่อน ใบหน้าเปล่งปลั่งด้วยรอยยิ้มที่คุ้นตา สายตาของเธอสะท้อนความดีใจจริงใจไร้ความเสแสร้ง
เฟิงเหม่ยหลินเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบเช่นเคย แต่ในอกกลับรู้สึกอุ่นแปลบอย่างไม่รู้ตัว
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาแล้วเสียอีก” เธอเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
ซูเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้ทัน
“ข้าอยากมาหาดเจ้านานแล้ว แต่ท่านพี่ของข้าน่ะ จับตาข้าแน่นยิ่งกว่าจับตานักโทษเสียอีก”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า “ท่านพี่” เฟิงเหม่ยหลินก็มองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย
“ท่านพี่ที่เจ้าว่าคือ แม่ทัพซูหมิงเฉินกระมัง”
ซูเยี่ยนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยอย่างหลบตาไม่ทัน ก่อนจะรีบพูดแก้เสียงเบา
“ก็ เขาเป็นพี่ชายบุญธรรมของข้า ข้าอยู่ที่จวนเดียวกับเขามาตั้งแต่เล็กนี่ เขาแค่ห่วงข้ามากไปหน่อย”
เฟิงเหม่ยหลินยกถ้วยชาขึ้นจิบ ปลายตาเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างขัน ๆ
“ห่วงเสียจนเจ้าต้องหลบออกมาหาข้าแบบลับ ๆ เลยเชียว”
ซูเยี่ยนยิ้มเขินเล็กน้อย ก่อนจะพูดแก้ต่างอย่างจริงใจ
“ท่านพี่เป็นคนอบอุ่น ใจดี มีเมตตา ข้าคิดว่าเขาแค่ไม่เข้าใจเจ้า”
เฟิงเหม่ยหลินวางถ้วยชาลงเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่ง ๆ
“ข้าเชื่อว่าเขาใจดี แค่กับเจ้า” เธอเว้นจังหวะ มองหน้าซูเยี่ยน ก่อนจะพูดต่อ “ส่วนกับข้า เขาเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งเสียอีก”
ซูเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะอย่างเขิน ๆ
“ข้าว่า เขาก็ไม่ค่อยคุยกับใครอยู่แล้วนะ ไม่ใช่แค่กับเจ้าหรอก”
เฟิงเหม่ยหลินหลุดหัวเราะในลำคออย่างเบา ๆ รอยยิ้มผ่อนคลายลงราวกับบรรยากาศรอบตัวละลายความตึงเครียดไปโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก ขอแค่เขาอย่าคิดว่าข้าจะกัดเจ้าก็พอ”
ทั้งสองนั่งพูดคุยกันเรื่อย ๆ จากเรื่องในอดีต ถึงเรื่องไร้สาระในปัจจุบัน เสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยไปตามสายลมเหมือนเพลงโบราณที่ไม่มีใครเคยได้ยินจากริมศาลานี้มาก่อน ถึงแม้จะมีเพียงเสียงพูดและเสียงหัวเราะของซูเยี่ยนฝ่ายเดียวก็ตาม
จวบจนตะวันลับขอบฟ้า ซูเยี่ยนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและเตรียมตัวกลับจวน
“วันนี้ข้าต้องกลับก่อนแล้ว แต่วันหลัง ข้าจะมาหาเจ้าอีกแน่นอน”
นางหันมายิ้มให้เธอ ดวงตาเปล่งประกายสดใส
“และครั้งหน้า ข้าจะเอาขนมมาด้วย ขนมที่ข้าชอบกินที่สุด เจ้าต้องลองนะ”
เฟิงเหม่ยหลินเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะตอบเบา ๆ
“ข้าจะรอ”
คำตอบเรียบง่าย แต่แฝงด้วยบางสิ่งที่เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะพูดมันกับใคร
และในยามที่ซูเยี่ยนหันหลังกลับไป เฟิงเหม่ยหลินยังคงนั่งอยู่ในศาลา มองกลีบดอกเหมยที่ปลิวลงบนโต๊ะชาช้า ๆ
“บางที การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่ว่าใครเชื่อ และใครยอมฟังเราจริง ๆ”
วันรุ่งขึ้น แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านบางของศาลาหลังเรือน กลิ่นชาหอมอ่อนลอยคลุ้งในอากาศ และวันนี้ไม่ได้มีแค่ชา
“วันนี้ข้านำขนมที่เคยบอกเจ้ามาแล้ว เจ้าลองชิมดูสิ”
เสียงใสดังมาก่อนตัว ซูเยี่ยนในชุดสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกล่องไม้ขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แววตานางเปล่งประกายราวกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่
เฟิงเหม่ยหลินเงยหน้าจากหนังสือ เหลือบมองขนมที่อยู่กล่องไม้ในมือซูเยี่ยนแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หน้าตามันแปลกดี”
เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ขนมในกล่องเป็นก้อนกลม ๆ สีเทาน้ำตาล ดูไม่ประณีตเหมือนขนมชั้นสูงที่เธอคุ้นเคย ไม่มีลวดลาย ไม่มีทองเปลว ไม่มีความหรูหรา มีเพียงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของถั่วบด
“เจ้าอย่าตัดสินแค่ที่หน้าตาสิ ต้องชิมรสชาติก่อนแล้วจะรู้ว่าขนมนี่อร่อยจริง ๆ”
ซูเยี่ยนว่าพลางหยิบขนมก้อนหนึ่งส่งให้ เฟิงเหม่ยหลินมองมันอยู่นาน ก่อนจะรับมากัดคำเล็ก ๆ แล้วหยุดนิ่ง
“…”
เธอเคี้ยวช้า ๆ ขณะที่ซูเยี่ยนมองตาไม่กะพริบ
“เป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่”
เฟิงเหม่ยหลินกลืนขนมในปากลง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“อืม อร่อยกว่าที่คิด”
รอยยิ้มของซูเยี่ยนปรากฏขึ้นทันที นางหัวเราะเบา ๆ อย่างภูมิใจที่เธอชอบ
“ข้าบอกแล้วว่าอร่อย”
ทั้งสองนั่งลงที่มุมศาลาเหมือนเมื่อวาน ชาเริ่มริน ขนมเริ่มหมด เรื่องราวในแต่ละวันของซูเยี่ยนก็เริ่มไหลมาอย่างไม่หยุด
เธอเล่าเรื่องสาวใช้ในจวนที่เผลอทำหลอดเทียนหกใส่ผ้าไหมของแม่บ้านใหญ่ เล่าเรื่องแมวที่ชอบแอบนอนใต้โต๊ะแล้วตื่นมากัดผ้ารองนั่ง หรือแม้แต่เรื่องตลกในตำราศิลปะที่เธออ่านผิดจนกลายเป็นชื่ออาหาร
เฟิงเหม่ยหลินยังคงฟังเงียบ ๆ เช่นเคย ใบหน้าของเธอดูสงบนิ่งไม่ต่างจากหญิงงามในภาพวาด จนถ้ามองผ่าน ๆ คงนึกว่าอีกฝ่ายพูดอยู่คนเดียว
“เจ้านี่ช่างพูดเสียจริง” เฟิงเหม่ยหลินคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา
แต่หากใครมองดี ๆ จะเห็นว่า มุมปากของเฟิงเหม่ยหลินคล้ายจะกระตุกยิ้มเบา ๆ เมื่อซูเยี่ยนเล่าเรื่องแมวกับปลาทอด
ดวงตาเรียวของนางแอบคลี่อ่อนลงเพียงครู่ เมื่ออีกฝ่ายหัวเราะจนแทบสำลักชา ราวกับว่าการฟังเรื่องไร้สาระวันละนิด กำลังเยียวยาบางอย่างในหัวใจของคนที่เคยเงียบเกินไป
ตะวันคล้อยลงอีกวัน เมื่อถึงเวลาต้องลาจาก ซูเยี่ยนลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส
“พรุ่งนี้ข้าจะลองทำขนมเองดูบ้าง แล้วจะเอามาให้เจ้าลองชิม”
เฟิงเหม่ยหลินเลิกคิ้ว ก่อนจะพูดล้อเธอด้วยเสีงนิ่งๆ
“เจ้าแน่ใจนะว่าข้าจะไม่ปวดท้อง”
ซูเยี่ยนหัวเราะเสียงใส
“เรื่องนั้นเจ้าต้องลองกินแล้วบอกข้าเองแหละ”
นางพูดก่อนจะหันไป แล้วเดินออกจากศาลาด้วยท่าทีเบิกบาน ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ และกลิ่นหอมของขนมถั่วบดที่ยังคลุ้งอยู่
เฟิงเหม่ยหลินมองตามหลังอย่างเงียบ ๆ มือยังถือขนมอีกก้อนแน่นแต่ไม่ได้กินทันที
เธอวางมันลงเบา ๆ บนถาด แล้วพึมพำกับตัวเอง
“อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่เงียบเกินไป”
ตอนที่ 20คำปลอบใจจากแม่ทัพแสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านผ้าของรถม้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา ทอแสงอบอุ่นให้กับบรรยากาศเงียบงันภายในเหม่ยหลินนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเบาะรถม้า ใบหน้าเรียบเฉย สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เช้า ไม่แม้แต่จะสบตากับใคร แม้ซูเยี่ยนและเหวินซีจะพยายามพูดคุย เปลี่ยนเรื่องเล่า หรือหยอกล้อคลายความตึงเครียด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเหมือนวิญญาณบางส่วนของเธอ ยังคงติดอยู่ที่บ้านร้างเมื่อคืน“เหม่ยหลิน” เสียงของซูเยี่ยนดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่จับมือเธอไว้แน่น “เจ้าทำเพื่อช่วยข้า ข้ารอดเพราะเจ้า”แต่เหม่ยหลินกลับค่อย ๆ ก้มหน้าลงมองมือของตนเอง ที่แขนเธอยังมีผ้าพันแผลสีขาวสะอาดหุ้มบาดแผลเอาไว้เธอขยับริมฝีปากช้า ๆ “ข้าฆ่าคนไปแล้วจริง ๆ” เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจน ราวกับลมที่พัดผ่านกลางใจคนทั้งรถม้าซูเยี่ยนชะงัก หันไปมองเหวินซี ก่อนทั้งสองจะพุ่งเข้ากอดเธอแน่นในเวลาเดียวกัน“เจ้าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าปกป้องพวกข้า” เสียงทั้งสองคนดังสลับกัน พยายามกล่อมความรู้สึกในใจของหญิงสาวผู้กำลังสั่นเทาอยู่เงียบ ๆและเมื่ออ้อมกอดอบอุ่นโอบเธอไว้ สิ่งที่เธอกดไว้ในใจมาต
ตอนที่ 19 โจรป่าบุกเสียงฝนที่เคยซัดสาดตลอดคืนเริ่มเบาลงจนกลายเป็นเสียงพรำเบา ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เหลือเพียงกลิ่นดินเปียกชื้นที่โชยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ผุพังท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน ภายในบ้านร้างหลังเก่าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลับใหลบนที่นอนที่ทำอย่างง่าย ๆ กลับมีเพียงชายคนหนึ่งที่ยังคงลืมตาหมิงเฉิน ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเงามืด ใกล้กับองค์ชายอี้เหิง สายตาของเขาหลุบต่ำอย่างใจเย็น แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงตื่นตัว เขาเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขารู้จัก “ความเงียบผิดปกติ” ได้ดีเสียงฝีเท้าเบา ๆ แว่วมาแทบจะไม่ต่างจากเสียงฝนหยด แต่สำหรับเขา มันชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง“มีคนกำลังมา” เขากระซิบเบา ๆ ให้กับอี้เหิง ก่อนจะขยับมือทำสัญญาณไปทางทหารองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งทันใดนั้น กลุ่มทหารเริ่มตื่นตัวอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับด้ามดาบ แต่อีกข้างยังไม่ยกขึ้นรอคำสั่งหมิงเฉินขยับลุกขึ้น ก่อนจะเดินเบา ๆ ไปยังมุมที่เหล่าหญิงสาวนอนอยู่ เขาหยุดอยู่หน้าเหม่ยหลิน และโน้มตัวลงแตะไหล่เธอเบา ๆเธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ทันทีที่เห็นแววตาจริงจังของเขา เธอก็เงียบลง“ท่านมีอะไร” เธ
ตอนที่ 18ขี่ม้ากลับเมืองหลวงแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องผ่านกลุ่มแมกไม้สองข้างทาง ถนนที่ทอดยาวจากเมืองเจียงหลินกลับสู่เมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าเป็นจังหวะและเสียงล้อรถม้าที่บดไปตามทางดินแต่ที่เป็นจุดสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเหม่ยหลินหญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึกตัวใหญ่ขององค์ชายสามจริง ๆ ม้าสีดำขลับสูงใหญ่ แข็งแกร่งแม้จะไม่ได้พยศ แต่ก็ไม่ใช่ม้าสำหรับสุภาพสตรีเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพที่เห็นกลับช่างเหมาะเจาะหญิงสาวในชุดคุณหนูตระกูลใหญ่ ปักลวดลายอย่างประณีต เธอนั่งอยู่บนเบาะม้าอย่างมั่นคง ผมยาวถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกเรียบ ๆ แต่กลับดูสง่างามเกินใคร ริมฝีปากทาสีอ่อนเฉดชมพูระเรื่อ รับกับใบหน้าเรียวที่ไม่ต้องยิ้มก็ตรึงสายตาคนได้ทั้งขบวนท่าทางการนั่งหลังตรงนั้นไม่ได้บ่งบอกความอ่อนช้อยตามแบบคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับแฝงความ นิ่ง เรียบ และเย่อหยิ่งอย่างเงียบงันคนมองไม่อาจละสายตาได้ไม่เว้นแม้แต่พวกสาวใช้ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนั้นเข้าพวกนางก็เริ่มมีเสียงซุบซิบกันขึ้นมาเบา ๆ“คุณหนูเฟิงนั่งบนหลังม้าขององค์ชายสามเชียว นั่นม้าศึกนะ”“นางคงยั่วยวนองค์ชายจ
ตอนที่ 17 มีคนมาสู่ขอเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าโปร่งใส ลมเย็นพัดเบา ๆ แต่บรรยากาศสงบในยามเช้ากลับถูกรบกวนด้วยเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาที่หน้าจวน ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายงดงาม พร้อมด้วยบุตรชายทั้งหลายที่ถูกแต่งตัวเสียจนแทบไม่เหลือเค้าของลูกชาวเมือง“คุณหนูเฟิงออกมายังเจ้าคะ” เสียงของหญิงกลางคนพวกนั้นถาม“ลูกข้าร่ำเรียนที่สำนักหลวง ท่านหญิงลองคุยดูได้นะเจ้าคะ”“ลูกชายข้าเองก็เพิ่งสอบได้ที่หนึ่งในเมือง”เสียงเหล่าแม่ ๆ ดังอื้ออึงจนข้ารับใช้ในจวนต้องรีบมาตามพวกเธอออกไปดูเหม่ยหลินที่ยังงุนงงกับบรรยากาศก็เดินออกมาที่หน้าจวนพร้อมกับหมิงเฉินและซูเยี่ยน ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกมาจากประตูหลัก สายตาทั้งหมดก็จับจ้องมาที่เธอราวกับเจอเป้าหมายทองคำ“นั่นนางใช่หรือไม่”“ใช่จริง ๆ ด้วย นางสวยมาก สวยกว่าที่ข่าวเล่าอีก”“ใช่ และนางช่างดูสง่างาม”เหม่ยหลินเบิกตากว้างก่อนจะชะงักเท้า เหล่าบรรดาแม่ ๆ พร้อมลูกชายเริ่มพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ประหนึ่งกำลังจะเข้าร่วมงานเลือกเขยหลวงเธอเบี่ยงตัวถอยหลังทันที ก่อนจะหันขวับไปมองหมิงเฉิน แล้วพึมพำอย่างร้อนรน“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
ตอนที่ 16ความสามารถที่คาดไม่ถึงแสงแดดอ่อนยามสายส่องลอดต้นไม้ใหญ่ข้างทางสาดเข้ามาในรถม้าเป็นระยะ รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางผ่านป่าเขา บนถนนที่เต็มไปด้วยก้อนหินและหลุมบ่อจนนั่งแทบไม่ติดเบาะเฟิงเหม่ยหลินเอนหลังพิงเบาะไม้ พลางถอนหายใจยาว นางหลับตาอย่างอ่อนล้า ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว“เมื่อไรจะถึงกันนะ ข้าอยากลงไปเดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด”ซูเยี่ยนที่นั่งข้าง ๆ อดยิ้มขำไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อดทนอีกนิด พรุ่งนี้ก็ถึงเมืองเจียงหลินแล้ว เจ้าเก่งอยู่แล้วนี่ เหลือแค่อึดใจเดียวเอง”เหวินซีที่นั่งฝั่งตรงข้ามหยิบพัดขึ้นมากางด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง“เฟิงเหม่ยหลินคนเมื่อวาน ที่ตบคุณหนูจนทรุดไปนอนกองอยู่กับพื้นนั่นหายไปไหนแล้วนะ หรือว่าตัวจริงคือเฟิงเหม่ยหลินขี้บ่นคนนี้กันแน่”เหม่ยหลินลืมตาช้า ๆ หันขวับไปมองเหวินซีด้วยแววตานิ่งสนิท ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของนาง เพราะในตอนนี้เธอเวียนหัวเกินกว่าจะเถียงกลับได้“…”ซูเยี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยื่นน้ำให้เหม่ยหลิน “เจ้าหลับไปสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวถึงที่พักจะได้มีแรงเดินเล่น”เหม่ยหลินเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางรับถ้วยน้ำไปจิบช้า
ตอนที่ 15เสียงบ่นระหว่างเดินทางเสียงฝีเท้าม้าชะลอลงพร้อมกับเสียงโบกมือสั่งของทหารหน้าขบวน“หยุดพักที่นี่ครึ่งชั่วยาม”รถม้าหลายคันค่อย ๆ จอดเรียงรายใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทาง มีเสียงนกเบา ๆ จากลำธารใกล้ ๆ ดังคลอไปกับเสียงแมลงยามเย็น สายลมพัดแผ่วจนชายผ้าคลุมบางสะบัดพลิ้วเหม่ยหลินก้าวลงจากรถม้าด้วยความโล่งอกสุดหัวใจ “ข้านึกว่าข้าจะตายคารถม้าแล้วจริง ๆ”ซูเยี่ยนลงตามหลังมาก่อนจะหัวเราะ “ถ้าเจ้าบ่นแบบนี้อีกวันนี้ข้าคงหูชาแน่”เหวินซีเดินถือพัดเข้ามาสมทบ “แต่ก็ดีที่พักตรงนี้ มีลำธารใกล้ ๆ ข้าเองก็อยากล้างหน้าเสียหน่อย”“เจ้าจะตามข้ามาไหม” ซูเยี่ยนหันมาชวนเหม่ยหลิน“ข้า” เธอลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็ได้ แต่อย่าลากข้าลงไปเล่นน้ำก็พอ”ซูเยี่ยนหัวเราะคิก “เจ้าชั่งรู้ใจข้าดีเหลือเกิน”ทั้งสามเดินแยกออกไปที่ลำธาร ปล่อยให้เหล่าทหารจัดเตรียมจุดพัก จัดเวรยาม และจุดเตาถ้วยน้ำชาหลังล้างหน้าและเปลี่ยนลมหายใจให้สดชื่น เหม่ยหลินก็แยกตัวออกมาเล็กน้อย เดินไปนั่งยังโขดหินริมน้ำ ละสายตาไปยังผิวน้ำที่ไหลเอื่อย สะท้อนแสงเย็นยามตะวันใกล้ตกดินเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่หมิงเฉินจะเดินมาหย