เข้าสู่ระบบตอนที่ 5
แขกคนแรก
หลายวันผ่านไปหลังจากงานเลี้ยงในคืนนั้น ดอกเหมยที่เคยบานสะพรั่งเริ่มร่วงโรย ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสัญญาณของฤดูใหม่เช่นเดียวกับหัวใจของเธอที่ค่อย ๆ ปรับตัว
เฟิงเหม่ยหลินยังคงอยู่ในจวนไม่ออกไปไหนเช่นเคย เช้าอ่านหนังสือ บ่ายดื่มชา เย็นนั่งมองฟ้าอย่างเหม่อลอย ไม่มีจดหมาย ไม่มีแขก ไม่มีข่าวจากซูเยี่ยน
วันแล้ววันเล่า เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะไม่คาดหวัง แม้จะไม่ยอมรับตรง ๆ แต่ลึก ๆ เธอก็รู้ว่าเธอแอบรอ
จนเมื่อความเงียบนานพอ เธอก็เริ่มบอกกับตัวเองว่า
“บางทีความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากความแปลก อาจจบลงอย่างเงียบงันก็ได้”
แต่แล้วในเย็นวันนั้น ท้องฟ้ากำลังแต่งแต้มด้วยสีส้มอ่อนยามอาทิตย์ใกล้ตกดิน สายลมพัดหอบกลิ่นหอมจากดอกไม้ที่ปลูกริมระเบียง
เสียงสาวใช้วิ่งมาด้วยหน้าตาตื่น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูซูเยี่ยนมาขอพบเจ้าค่ะ”
เฟิงเหม่ยหลินชะงักนิ้วที่กำลังจะพลิกหน้าหนังสือ เธอเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ช้า ๆ สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่เก็บไว้ไม่มิด
“เจ้าว่าอะไรนะ ใครมา” เธอถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู
“คุณหนูซูเจ้าคะ คุณหนูซูเยี่ยนมาขอเข้าพบ”
ภายในศาลาหลังเรือน ซูเยี่ยนนั่งเรียบร้อยในชุดผ้าสีอ่อน ใบหน้าเปล่งปลั่งด้วยรอยยิ้มที่คุ้นตา สายตาของเธอสะท้อนความดีใจจริงใจไร้ความเสแสร้ง
เฟิงเหม่ยหลินเดินเข้ามาด้วยท่าทีสงบเช่นเคย แต่ในอกกลับรู้สึกอุ่นแปลบอย่างไม่รู้ตัว
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาแล้วเสียอีก” เธอเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
ซูเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้ทัน
“ข้าอยากมาหาดเจ้านานแล้ว แต่ท่านพี่ของข้าน่ะ จับตาข้าแน่นยิ่งกว่าจับตานักโทษเสียอีก”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า “ท่านพี่” เฟิงเหม่ยหลินก็มองอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย
“ท่านพี่ที่เจ้าว่าคือ แม่ทัพซูหมิงเฉินกระมัง”
ซูเยี่ยนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยอย่างหลบตาไม่ทัน ก่อนจะรีบพูดแก้เสียงเบา
“ก็ เขาเป็นพี่ชายบุญธรรมของข้า ข้าอยู่ที่จวนเดียวกับเขามาตั้งแต่เล็กนี่ เขาแค่ห่วงข้ามากไปหน่อย”
เฟิงเหม่ยหลินยกถ้วยชาขึ้นจิบ ปลายตาเหลือบมองคนตรงหน้าอย่างขัน ๆ
“ห่วงเสียจนเจ้าต้องหลบออกมาหาข้าแบบลับ ๆ เลยเชียว”
ซูเยี่ยนยิ้มเขินเล็กน้อย ก่อนจะพูดแก้ต่างอย่างจริงใจ
“ท่านพี่เป็นคนอบอุ่น ใจดี มีเมตตา ข้าคิดว่าเขาแค่ไม่เข้าใจเจ้า”
เฟิงเหม่ยหลินวางถ้วยชาลงเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่ง ๆ
“ข้าเชื่อว่าเขาใจดี แค่กับเจ้า” เธอเว้นจังหวะ มองหน้าซูเยี่ยน ก่อนจะพูดต่อ “ส่วนกับข้า เขาเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งเสียอีก”
ซูเยี่ยนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะอย่างเขิน ๆ
“ข้าว่า เขาก็ไม่ค่อยคุยกับใครอยู่แล้วนะ ไม่ใช่แค่กับเจ้าหรอก”
เฟิงเหม่ยหลินหลุดหัวเราะในลำคออย่างเบา ๆ รอยยิ้มผ่อนคลายลงราวกับบรรยากาศรอบตัวละลายความตึงเครียดไปโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก ขอแค่เขาอย่าคิดว่าข้าจะกัดเจ้าก็พอ”
ทั้งสองนั่งพูดคุยกันเรื่อย ๆ จากเรื่องในอดีต ถึงเรื่องไร้สาระในปัจจุบัน เสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยไปตามสายลมเหมือนเพลงโบราณที่ไม่มีใครเคยได้ยินจากริมศาลานี้มาก่อน ถึงแม้จะมีเพียงเสียงพูดและเสียงหัวเราะของซูเยี่ยนฝ่ายเดียวก็ตาม
จวบจนตะวันลับขอบฟ้า ซูเยี่ยนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและเตรียมตัวกลับจวน
“วันนี้ข้าต้องกลับก่อนแล้ว แต่วันหลัง ข้าจะมาหาเจ้าอีกแน่นอน”
นางหันมายิ้มให้เธอ ดวงตาเปล่งประกายสดใส
“และครั้งหน้า ข้าจะเอาขนมมาด้วย ขนมที่ข้าชอบกินที่สุด เจ้าต้องลองนะ”
เฟิงเหม่ยหลินเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะตอบเบา ๆ
“ข้าจะรอ”
คำตอบเรียบง่าย แต่แฝงด้วยบางสิ่งที่เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะพูดมันกับใคร
และในยามที่ซูเยี่ยนหันหลังกลับไป เฟิงเหม่ยหลินยังคงนั่งอยู่ในศาลา มองกลีบดอกเหมยที่ปลิวลงบนโต๊ะชาช้า ๆ
“บางที การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่ว่าใครเชื่อ และใครยอมฟังเราจริง ๆ”
วันรุ่งขึ้น แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านบางของศาลาหลังเรือน กลิ่นชาหอมอ่อนลอยคลุ้งในอากาศ และวันนี้ไม่ได้มีแค่ชา
“วันนี้ข้านำขนมที่เคยบอกเจ้ามาแล้ว เจ้าลองชิมดูสิ”
เสียงใสดังมาก่อนตัว ซูเยี่ยนในชุดสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกล่องไม้ขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แววตานางเปล่งประกายราวกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่
เฟิงเหม่ยหลินเงยหน้าจากหนังสือ เหลือบมองขนมที่อยู่กล่องไม้ในมือซูเยี่ยนแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หน้าตามันแปลกดี”
เธอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ขนมในกล่องเป็นก้อนกลม ๆ สีเทาน้ำตาล ดูไม่ประณีตเหมือนขนมชั้นสูงที่เธอคุ้นเคย ไม่มีลวดลาย ไม่มีทองเปลว ไม่มีความหรูหรา มีเพียงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของถั่วบด
“เจ้าอย่าตัดสินแค่ที่หน้าตาสิ ต้องชิมรสชาติก่อนแล้วจะรู้ว่าขนมนี่อร่อยจริง ๆ”
ซูเยี่ยนว่าพลางหยิบขนมก้อนหนึ่งส่งให้ เฟิงเหม่ยหลินมองมันอยู่นาน ก่อนจะรับมากัดคำเล็ก ๆ แล้วหยุดนิ่ง
“…”
เธอเคี้ยวช้า ๆ ขณะที่ซูเยี่ยนมองตาไม่กะพริบ
“เป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่”
เฟิงเหม่ยหลินกลืนขนมในปากลง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ
“อืม อร่อยกว่าที่คิด”
รอยยิ้มของซูเยี่ยนปรากฏขึ้นทันที นางหัวเราะเบา ๆ อย่างภูมิใจที่เธอชอบ
“ข้าบอกแล้วว่าอร่อย”
ทั้งสองนั่งลงที่มุมศาลาเหมือนเมื่อวาน ชาเริ่มริน ขนมเริ่มหมด เรื่องราวในแต่ละวันของซูเยี่ยนก็เริ่มไหลมาอย่างไม่หยุด
เธอเล่าเรื่องสาวใช้ในจวนที่เผลอทำหลอดเทียนหกใส่ผ้าไหมของแม่บ้านใหญ่ เล่าเรื่องแมวที่ชอบแอบนอนใต้โต๊ะแล้วตื่นมากัดผ้ารองนั่ง หรือแม้แต่เรื่องตลกในตำราศิลปะที่เธออ่านผิดจนกลายเป็นชื่ออาหาร
เฟิงเหม่ยหลินยังคงฟังเงียบ ๆ เช่นเคย ใบหน้าของเธอดูสงบนิ่งไม่ต่างจากหญิงงามในภาพวาด จนถ้ามองผ่าน ๆ คงนึกว่าอีกฝ่ายพูดอยู่คนเดียว
“เจ้านี่ช่างพูดเสียจริง” เฟิงเหม่ยหลินคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา
แต่หากใครมองดี ๆ จะเห็นว่า มุมปากของเฟิงเหม่ยหลินคล้ายจะกระตุกยิ้มเบา ๆ เมื่อซูเยี่ยนเล่าเรื่องแมวกับปลาทอด
ดวงตาเรียวของนางแอบคลี่อ่อนลงเพียงครู่ เมื่ออีกฝ่ายหัวเราะจนแทบสำลักชา ราวกับว่าการฟังเรื่องไร้สาระวันละนิด กำลังเยียวยาบางอย่างในหัวใจของคนที่เคยเงียบเกินไป
ตะวันคล้อยลงอีกวัน เมื่อถึงเวลาต้องลาจาก ซูเยี่ยนลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใส
“พรุ่งนี้ข้าจะลองทำขนมเองดูบ้าง แล้วจะเอามาให้เจ้าลองชิม”
เฟิงเหม่ยหลินเลิกคิ้ว ก่อนจะพูดล้อเธอด้วยเสีงนิ่งๆ
“เจ้าแน่ใจนะว่าข้าจะไม่ปวดท้อง”
ซูเยี่ยนหัวเราะเสียงใส
“เรื่องนั้นเจ้าต้องลองกินแล้วบอกข้าเองแหละ”
นางพูดก่อนจะหันไป แล้วเดินออกจากศาลาด้วยท่าทีเบิกบาน ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ และกลิ่นหอมของขนมถั่วบดที่ยังคลุ้งอยู่
เฟิงเหม่ยหลินมองตามหลังอย่างเงียบ ๆ มือยังถือขนมอีกก้อนแน่นแต่ไม่ได้กินทันที
เธอวางมันลงเบา ๆ บนถาด แล้วพึมพำกับตัวเอง
“อย่างน้อย วันนี้ก็ไม่เงียบเกินไป”
บทส่งท้ายหลายปีผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิหมุนเวียนมาอีกครั้ง แต่จวนแม่ทัพกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังไปทั่วทั้งสวน ลูกชายคนโตของซูหมิงเฉินและเฟิงเหม่ยหลินอายุสิบสามปีแล้ว รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมดุดันถอดแบบจากพ่อทุกกระเบียดนิ้ว ขณะนี้กำลังยืนอยู่กลางลานฝึกดาบ ใบหน้าจริงจังไม่ต่างจากตอนหมิงเฉินยังเป็นแม่ทัพหนุ่มหมิงเฉินในชุดฝึกยืนประจันหน้าลูกชาย มือใหญ่ถือดาบไม้ ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความเข้มงวด “จับดาบให้มั่น อย่าปล่อยให้ศัตรูเห็นความลังเลของเจ้า”เด็กหนุ่มยกดาบขึ้นอย่างมั่นคง ก้าวเท้าเข้าโจมตีด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมพลัง เสียงฟันดาบไม้เสียงดัง ก่อนหมิงเฉินจะเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มพึงพอใจฉายบนใบหน้าเข้ม “ดีขึ้นมาก อีกไม่นานเจ้าจะใช้ดาบได้เฉียบคมยิ่งกว่าพ่อ”กลางศาลา เฟิงเหม่ยหลินนั่งจิบชาพร้อมลูกสาววัยสิบขวบที่ฉลาดและแสนซน ดวงตากลมโตเปล่งประกาย รอยยิ้มและความเจ้าเล่ห์เหมือนแม่ เธอนั่งมองพี่ชายฝึกดาบ พลางเอ่ยถามเสียงใส “ท่านแม่ เมื่อไรข้าจะได้ฝึกดาบกับพ่อเหมือนท่านพี่บ้าง”เฟิงเหม่ยหลินยิ้มบาง ลูบผมนุ่มของลูกสาวเบา ๆ “เจ้าฉลาดพอ ๆ กับแม่แล้ว ฝึกดาบคงไม่ใช่สิ่งที่เจ
ตอนที่ 73 ลูกสาวแม่ทัพยามค่ำในฤดูใบไม้ผลิ จวนแม่ทัพถูกปกคลุมด้วยความตึงเครียดและความตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อเสียงฝีเท้าบ่าวไพร่ดังเร่งรีบไปมาหน้าห้องคลอด บรรยากาศวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ลูกชายคนโตลืมตาดูโลกซูเยี่ยนที่ท้องอ่อนยืนพิงอี้เหิง มือหนึ่งจับท้องของตน อีกมือกุมมือสามีแน่นอย่างลุ้นไปพร้อมกับเพื่อนรักเหวินซียืนอยู่ไม่ไกล มือถือพัดแต่พัดแรงจนเส้นไหมขาดเล็กน้อย สีหน้าแสดงถึงความตื่นเต้นสุดขีดองค์รัชทายาทมานั่งจิบชาช้า ๆ ที่โต๊ะไม้ข้างทางเดิน ที่เก้าอี้ข้าง ๆ พระองค์มีเด็กชายสองคนนั่งกินขนมอยู่อยู่ นั่นคือลูกชายของเหม่ยหลินกับซูเยี่ยน พระองค์มองไปที่เด็กชายทั้งสองพร้อมยิ้มบาง ๆก่อนจะหันไปกล่าวล้อ “ข้าว่าแม้คราวนี้เป็นลูกคนที่สอง แต่บรรยากาศไม่ต่างจากครั้งคนแรกเลย ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าดูตื่นเต้นกว่าเดิมเสียอีก”ภายในห้องคลอด แสงตะเกียงสว่างไสว หมิงเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือเฟิงเหม่ยหลินแน่นเหมือนเดิม ดวงตาคมลึกเต็มไปด้วยความกังวลและความรักที่ไม่เคยจางหายเฟิงเหม่ยหลินแม้จะเหนื่อยหอบแต่ยังคงดวงตาคมที่เด็ดเดี่ยว เธอบีบมือสามีแน่น เสียงแผ่วแต่ชัดเจน “ครั้งนี้ ท่านก็ยังไม่ยอมออกไปเหมื
ตอนที่ 72 ลูกชายแม่ทัพภายในห้องพักของฮูหยินแม่ทัพ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ เฟิงเหม่ยหลินนอนพิงหมอนนุ่ม ใบหน้างดงามแม้ยังซีดเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคมเต็มไปด้วยประกายแห่งความรักเมื่อมองลูกชายตัวน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของหมิงเฉินหมิงเฉินในชุดแม่ทัพลำลอง นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างมั่นคง มือใหญ่ประคองลูกชายด้วยความทะนุถนอมราวกับของล้ำค่าที่สุดในโลก ดวงตาคมที่มักเด็ดขาดและแข็งกร้าวบนสนามรบ วันนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนซูเยี่ยนกับเหวินซียืนอยู่ปลายเตียง น้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ ซูเยี่ยนกระซิบกับเหวินซี “ดูสิ…หมิงเฉินอุ้มลูกเหมือนกลัวว่าลมจะพัดแรงไปหน่อยก็จะทำให้เจ้าตัวเล็กเจ็บ”เหวินซีหัวเราะเบา ๆ “ถ้ามีใครบอกว่านั่นคือแม่ทัพที่น่าเกรงขามที่สุดในแผ่นดิน ข้าคงไม่เชื่อถ้าไม่ได้เห็นกับตา”อี้เหิงก้าวเข้ามาใกล้ เอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าขออุ้มหลานได้หรือไม่แม่ทัพซู”หมิงเฉินหันมามองด้วยสายตาที่แม้ไม่ดุดันแต่ก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ยื่นลูกชายให้อี้เหิงอย่างช้า ๆ พร้อมกับกำชับเสียงทุ้มต่ำ “ระวังหัว ระวังตัวเขาด้วย ถ้าเจ้าทำให้เขาเจ็บแ
ตอนที่ 71 ตอนรับสมาชิกใหม่ยามบ่ายในจวนแม่ทัพ แสงแดดลอดผ่านม่านผ้าไหมสีอ่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่น กลิ่นดอกเหมยหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้ง ซูเยี่ยนกับเหวินซีเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส ตามหลังมาด้วยองค์ชายสามอี้เหิงที่ถือห่อผ้าไหมซึ่งมีของขวัญสำหรับทารกน้อย และองค์รัชทายาทที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายเฟิงเหม่ยหลินนั่งพิงหมอนบนเก้าอี้ไม้สลักลายมังกร มือเรียววางบนหน้าท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้นทุกวัน เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเข้ามา ดวงตาคมก็อ่อนลงทันทีซูเยี่ยนรีบเดินเข้ามานั่งข้างเธอ มือเรียวลูบหน้าท้องเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น “พี่สะใภ้ อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นแม่คนแล้ว ข้าตื่นเต้นแทนเจ้าจริง ๆ”เฟิงเหม่ยหลินยกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความสนิทสนม “ถ้าเจ้าตื่นเต้นนัก ก็รีบแต่งกับองค์ชายสามเสียสิ แล้วรีบมีลูก ลูก ๆ ของข้ากับเจ้าจะได้โตมาเป็นเพื่อนเล่นกัน”ซูเยี่ยนหน้าแดงวูบทันที ก่อนจะหันไปมองอี้เหิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างเขินอาย “ข้า” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันพูดต่ออี้เหิงก็หัวเราะเบา ๆ พร้อมก้าวมานั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมเป็นประกายระหว่างมองซูเยี่ยนกับเฟิงเหม่ยหลิน “
ตอนที่ 70 จบสงครามด้วยจดหมายฉบับเดียวคืนนั้น หลังการกวาดล้างเสร็จสิ้น เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ในห้องลับของจวนแม่ทัพ มือเรียวเขียนจดหมายลงบนกระดาษอย่างใจเย็น“ถึงผู้นำกองกำลังตะวันออก ข้าคือเฟิงเหม่ยหลิน ฮูหยินแม่ทัพซู ข้าทราบว่าแผนของพวกท่านคือการใช้จังหวะที่ราชสำนักวุ่นวายเพื่อบุกเมืองหลวงหากพวกท่านยังไม่หยุดแผนนี้ ข้าจะสั่งให้ทางเมืองตะวันออกที่ข้าเคยเดินทางไป ใช้ไฟเผาทุกเส้นทางและป่าที่เป็นเสบียงของพวกท่านให้หมด ข้าสอนพวกเขาแล้วว่าจะหยุดไฟป่าไม่ให้ลามมาถึงบ้านเมืองของตนเองอย่างไร แต่ข้าไม่ได้สอนว่าจะหยุดไฟที่ไหม้ดินแดนของพวกท่านอย่างไรถ้าไม่อยากเห็นแผ่นดินของท่านกลายเป็นทะเลเพลิง ให้ถอนกองกำลังและลืมแผนการนี้ซะ”หมิงเฉินก้าวเข้ามาในห้องเงียบ ๆ เขาอ่านข้อความในจดหมาย สายตาคมจ้องภรรยาที่กำลังเขียนเสร็จ ก่อนจะยิ้มบางและพูดเสียงทุ้ม “ข้าบอกแล้ว เจ้าร้าย แต่ร้ายถูกที่เสมอ”เฟิงเหม่ยหลินพับจดหมายอย่างสงบ ดวงตาคมหันมาสบสายตาสามี “ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายความสงบของแผ่นดินนี้ และจะไม่ให้ใครพรากความสงบสุขของเราสองคนไปอีก”หมิงเฉินเดินเข้ามากอดร่างบอบบางไว้แน่น กระซิบเสียงหนักแน่น “ข้าจะจัดก
ตอนที่ 69 ปิดฉากพวกกบฏค่ำคืนหนึ่งหลังการวางแผนลับ ห้องลับในวังหลวงถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการ เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มือเรียววางพัดพู่กันลงบนโต๊ะอย่างสงบ แต่ในดวงตาคมกริบส่องแสงเย็นชาที่ทำให้ทุกคนในห้องสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ล่าหมิงเฉินยืนอยู่ด้านหลังเธฮ แขนแข็งแรงพาดไว้บนอก สีหน้าสงบนิ่งแต่ดวงตาคมลึกจับจ้องเธอด้วยรอยยิ้มบางอย่างภาคภูมิใจและหวงแหน เขาเคยพูดกับเธอครั้งหนึ่ง “เจ้าร้าย แต่ร้ายอย่างถูกที่ และนั่นทำให้เจ้าหยุดยั้งสิ่งที่ไม่มีใครทำได้” และคืนนี้ เขาได้เห็นว่าคำนั้นเป็นความจริงองค์รัชทายาทนั่งข้าง ๆ องค์ชายสาม ขณะฟังเฟิงเหม่ยหลินอธิบายแผนการอย่างละเอียดบนแผนที่“พวกมันคิดจะโค่นราชสำนักโดยใช้กองกำลังของแคว้นชิงลู่ ก็ดี” เธอกล่าวเสียงเรียบแต่เฉียบคม “ข้าจะปล่อยข่าวว่าหนึ่งในสามตระกูลที่สมรู้ร่วมคิดมีแผนจะหักหลังอีกสองตระกูล และเตรียมเจรจาลับกับแคว้นชิงลู่เพื่อตัดพวกมันออกจากข้อตกลง”องค์ชายสามหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า “พวกนั่นจะกัดกันเอง จนไม่มีใครไว้ใจใคร”เฟิงเหม่ยหลินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ใช่ ข้าจะให้พวกมันทำลายกันเองโดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงแม้หยดเลือดเดียว







