LOGINตอนที่ ๓
แสงตะวันอ่อนละมุนของต้นยามเฉินอาบไล้ทั่วนครเสวียนหยาง มหานครอันเป็นหัวใจของดินแดนต้าหรง วันนี้ท้องฟ้ากระจ่างใส ก็ถึงเวลาเคลื่อนขบวนรถม้าจากจวนจวิ้นอันโหว มุ่งหน้าไปยังจวนราชครูโจวเพื่อร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่จัดขึ้นในวันนี้
สวีฮูหยิน โจวหรูเจี๋ย ฮูหยินแห่งจวิ้นอันโหว สวีฉีฟ่าน อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา ผู้บัญชาการทหารกว่าสามแสนนายของกองทัพเฮยหลงแห่งต้าหรง กำลังยืนอยู่ข้างรถม้าคันงามหน้าจวนโดยมีบุตรสาวคนโต สวีเจียงหลัว บุตรสาวคนรอง สวีเจียงหลี และบุตรชายคนเล็ก สวีเฉียวเฟิ่ง พร้อมกับสาวใช้และคนคุ้มกันอีกกลุ่มใหญ่ เตรียมออกเดินทาง
แต่ระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถม้าคันโตที่นั่งได้ทั้งครอบครัวใหญ่อยู่นั้น เด็กชายวัยสิบสามหนาวกลับทำหน้าบึ้งตึงพลางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
“ท่านแม่ข้าไม่ไปได้หรือไม่”
สวีฮูหยินทอดถอนใจยาว เหลือบมองบุตรชายคนเล็กอย่างระอา เพราะเป็นทายาทผู้เดียวของตระกูลจึงถูกท่านปู่และท่านย่าของเขาตามใจและให้ท้ายจนเสียคนไปแล้วจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้ หากนางยังตามใจเขาอีกคนต่อไปก็ยากจะแก้ไขนิสัยเสียนี้ได้แล้ว
“ไม่ได้หรอกเสี่ยวเฟิ่ง เจ้าหนีหน้าท่านตามาหลายครั้งแล้ว วันนี้แม้แต่เอ้อร์หลีเจี่ยของเจ้าที่ชอบหมกตัวในเรือนยังยอมออกจากเรือนเพื่อไปพบท่านตา เจ้าอย่าดื้อดึงเลย”
เฉียวเฟิ่งทำสีหน้าเบ้ปาก บ่นงึมงำในใจ ‘ท่านตาเอาแต่บังคับข้าคัดตำรา น่าเบื่อจะตายไป!’
“ข้าขี่ม้าไปเองมิได้หรือท่านแม่?” เฉียวเฟิ่งยังต่อรองด้วยความหวังเล็กๆ ว่ามารดาจะตามใจตนเองเช่นหลายครั้งที่เขาออดอ้อน
“ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าก็รู้ว่าถนนในเมืองหลวงพลุกพล่านเพียงใด หากเจ้าทำผู้คนบาดเจ็บ ต่อให้บิดาของเจ้าเป็นสหายสนิทกับฮ่องเต้ ก็ยากจะช่วยเจ้าได้นะเสี่ยวเฟิ่ง” สวีฮูหยินกล่าวเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย
“แต่ท่านแม่...” เด็กชายแทบจะทิ้งกายลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นอยู่แล้ว และในขณะนั้นเอง...
“ขึ้นรถม้า อาเฟิ่ง!” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น ไม่หนัก ไม่เบา ทั้งสงบ และเยือกเย็น ทว่าเฉียบขาดและทรงอำนาจกว่าสวีฮูหยินอยู่เจ็ดส่วน!
สวีเฉียวเฟิ่งสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปสบตากับผู้เป็นพี่สาวคนโตที่อายุมากกว่าเขาอยู่สามหนาว สวีเจียงหลัว ผู้มีใบหน้าหวานละมุนงดงามราวเทพธิดา หากสายตาของนางกลับคมดุประหนึ่งนางพญาหงส์ในตำนาน
“ต้าหลัวเจี่ย...” เฉียวเฟิ่งเสียงอ่อยลงทันที ไม่กล้าต่อรองอีก รีบก้าวขึ้นรถม้าแต่โดยดีเพราะจากประสบการณ์ หากเขายังมัวชักช้าอาจถูกคนสนิทของพี่สาวใหญ่จับโยนขึ้นไปแทนการเดิน
สวีฮูหยินเห็นภาพนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างพอใจ หันไปกล่าวกับบุตรสาวคนโตด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“มีแต่เจ้านี่ล่ะ ต้าหลัว ที่ปราบเจ้าตัวแสบนี้ได้”
เจียงหลัวยิ้มบางเบาหากแต่ดูสง่างามนัก “รีบออกเดินทางเถอะเจ้าค่ะท่านแม่ หากสายไปจะไม่ทันเวลาน้ำชาของท่านตา”
“เอ้อร์หลี เจ้าก็ขึ้นรถเถอะ” เจียงหลัวหันไปบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่าดูห่างเหิน
“เจ้าค่ะ ต้าหลัวเจี่ย” สวีเจียงหลีก้มหน้านอบน้อม รับคำสั้นๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าอย่างเงียบงัน ภายในใจกลับรู้สึกหวั่นเกรงต่อพี่สาวใหญ่ของตนอย่างบอกไม่ถูก
สวีฮูหยินยิ้มพึงใจ มองบุตรสาวทั้งสองด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะตามขึ้นรถม้าเป็นคนสุดท้ายมีลูกสาวเช่นนี้ก็สมควรแล้วที่บิดาจะรักเอ็นดูเจียงหลัวมากกว่าผู้ใด
พอทุกคนขึ้นรถม้าพร้อม รถม้าคันใหญ่เริ่มเคลื่อนออกจากจวนจวิ้นอันโหวไปตามถนนใหญ่ใจกลางนครเสวียนหยาง สองข้างทางคลาคล่ำด้วยผู้คนมากมาย เสียงสนทนาคึกคัก รถม้าน้อยใหญ่วิ่งสวนกันเนืองแน่นสมกับเป็นมหานครหลวงแห่งต้าหรง
ไม่นานนักขบวนรถม้าก็มาจอดเทียบหน้าจวนราชครูโจวอันโอ่อ่า ผู้ซึ่งแม้ปลดเกษียณมาแล้วสองปี แต่ชื่อเสียงเกียรติยศยังคงไม่จางหาย
สวีฮูหยินนำบุตรทั้งสามลงจากรถม้า เดินผ่านประตูใหญ่ของจวนเข้าสู่สวนสวยอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ร่วมงานนับห้าสิบชีวิต ไม่รวมบ่าวรับใช้ที่ติดตามเจ้านายมา
“ท่านพ่อ...” สวีฮูหยินย่อกายคารวะบิดาอย่างอ่อนช้อย
“ท่านตาเจ้าคะ” สวีเจียงหลัวนำเจียงหลีกับเฉียวเฟิ่งก้าวตามไปคารวะท่านตา
“หรูเจี๋ย ต้าหลัว เอ้อร์หลี เสี่ยวเฟิ่งพวกเจ้ามาแล้วรึ!”
โจวเซิงเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นทันทีที่เห็นหลานสาวสุดรักปรากฏกาย เขาไม่เคยปิดบังว่ารักใคร่และภูมิใจในตัวสวีเจียงหลัวผู้เป็นหลานคนโตเพียงใดเพราะเขาคิดเสมอว่าเจียงหลัวของงดงาม ฉลาดเฉลียวกว่าใครในใต้หล้า วันนี้เขาจะได้โอ้อวดนางให้ทุกคนประจักษ์!
ท่านราชครูเกษียณวัยห้าสิบแปดหนาวคิดในใจ พลางกวาดสายตามองไปยังสวีเจียงหลัวและหลานชายหลานสาวอีกสองคนรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะเอ่ยเรียกสวีเจียงหลัวเพียงคนเดียวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมรักใคร่
“ต้าหลัว มาๆ มานั่งข้างท่านตาเร็ว”
“เจ้าค่ะ ท่านตา” เจียงหลัวก้าวเข้าไปนั่งข้างชายชราด้วยกิริยางดงามสูงส่งตามแบบสตรีผู้สูงศักดิ์ ใบหน้านางงามดุจดอกโบตั๋นผลิบาน ท่วงท่าการเคลื่อนไหวสง่างามจับใจดังหงส์เหิน
ราชครูโจวแนะนำหลานสาวคนโตของเขาแก่บรรดาแขกเหรื่อด้วยท่าทีภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เขาบรรยายความสามารถของเจียงหลัวตั้งแต่การดีดพิณ หมากล้อม จรดศาสตร์การครัวและบทกวี ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังเจียงหลัวด้วยความชื่นชมยินดี
ในขณะที่เจียงหลีได้แต่นั่งเงียบเชียบ นางก้มหน้าซ่อนสายตาหม่นหมองไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนหวานอันจืดจางของตนเองเป็นระยะ
‘ต้าหลัวเจี่ยช่างเป็นที่รักยิ่งนัก ส่วนข้าเล่า ต่อให้ข้าพยายามเพียงใด ก็ยังเป็นได้แค่เงาที่ถูกลืมในสายตาของทุกคน’
เสียงหัวเราะชื่นชมดังคลอไปทั่วสวน ขณะที่ใจของสวีเจียงหลียิ่งหม่นเศร้าลงทุกขณะ สายลมอบอุ่นพัดแผ่ว แต่ในอกของนางกลับหนาวเหน็บดุจอยู่กลางเหมันต์ที่มืดมนครั้นได้เวลาเหมาะสมสวีฮูหยินจึงพาบุตรสาวและบุตรชายล่ำลาท่านตาของพวกเขาเดินทางกลับจวน
บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ข้างนอก หลัวปัง ถังเหยียน และจิ่งกงกงรีบพังประตูเข้ามา ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตัวสั่นเครือ เลือดนองทั่วพื้นหิน ร่างหนึ่งบ้าคลั่ง อีกหนึ่งใกล้สิ้นสติ“เร็วเข้า! หลัวปัง อุ้มองค์ชายไปวางบนเตียง! ถังเหยียนรีบไปตามหมอหลวง!” จิ่งกงกงตะโกนสั่งเสียงสั่นในที่สุดข่าวก็ส่งไปถึงหย่งหมิงฮ่องเต้ พระองค์รีบโปรดให้หมอหลวงมารักษาชีวิตทั้งสองไว้ เพราะถึงอย่างไร อี้เฉินก็ยังเป็นพระโอรส ส่วนเจียงหลีก็เป็นบุตรสาวของขุนนางเอกทว่าตำหนักเหมันต์คืนนี้...เลือดแดงนองพื้นหินเป็นธาร ความสัมพันธ์ขององค์ชายสามกับเจียงหลี พังทลายจนสิ้นซาก แม้หมอหลวงจะยื้อชีวิตทั้งคู่ไว้ได้ แต่…อี้เฉินสูญสิ้นความเป็นชายไปชั่วชีวิต ส่วนเจียงหลีที่ถูกทุบตีจนแท้งและบอบช้ำทั้งกายใจ ก็กลายเป็นคนเสียสติ ไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกต่อไปตำหนักเหมันต์ที่เคยหรูหราสง่างาม บัดนี้กลับกลายเป็นคุกขังมืดหม่น หลังจากถูกปิดตายมาหลายเดือน เพียงสิบกว่าวันหลังเหตุการณ์คืนโลหิต บรรยากาศยิ่งหดหู่และอึมครึมราวถูกคำสาป กลิ่นคาวเลือดแม้จางไปแล้ว แต่ยังแทรกอยู่ในทุกอณูอากาศ ราวจะตอกย้ำให้ผู้ที่อยู่ภายในไม่อาจลืมเหตุการณ์อำมหิตคืนนั้นคืนที่องค์ชายสามทุบตีพ
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
กาลล่วงเลยไปอีกสองเดือน...หลังเหตุการณ์ปราบกบฏและการประหารใหญ่จบสิ้น บ้านเมืองเสวียนหยางกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ถนนหนทางคลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงหาบเร่ของพ่อค้าแม่ค้าดังก้องเป็นสัญญาณแห่งความมั่นคง ผู้คนต่างเอ่ยขอบคุณสวรรค์ที่บัลลังก์มังกรยังตั้งมั่น ปราศจากภัยร้ายคุกคามภายในตำหนักกวางผิง แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านม่านโปร่ง กลีบเหมยสีแดงสดร่วงโปรยแต่งแต้มพื้นหินให้ดูราวภาพวาด ชินอ๋องกับชินหวางเฟยกำลังจัดเตรียมสัมภาระด้วยตนเอง เตรียมเสด็จกลับสู่แคว้นเจียงหนานตามที่ตั้งใจไว้สวีเจียงหลัวนั่งคัดเลือกผ้าผืนงามด้วยดวงตาสงบนิ่ง บ่าวไพร่ขะมักเขม้นยกหีบสมบัติลงเกวียนอย่างขยันขันแข็ง แต่เพียงไม่นาน สีหน้าของนางพลันซีดเผือด ร่างอรชรทรงลงพิงโต๊ะ ข้าวของในมือร่วงกระจาย“ต้าหลัว!” ไป๋อี้หานตวัดกายเข้าประคองทันที แววตาคมดุจเพลิงสะท้อนความตระหนกขันทีรีบส่งเสียงตะโกน “ตามหมอหลวงมาเร็ว!”บรรยากาศทั้งเรือนตึงเครียดในพริบตา สิ่งอวิ๋นกับสืออวี่คุกเข่าหน้าซีดเผือดราวจะขาดใจ รอคอยด้วยลมหายใจอันสั่นไหว เสี่ยวผิงกับเสี่ยวจิ่ววิ่งวุ่นไปมาราวไร้ทิศทาง กระทั่งหมอหลวงผู้เฒ่าเร่งรุดเข้ามา จับชีพจรตรวจอย่างละเอียด
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ยามเขาขยับเร่งเร้า สายน้ำพลันแตกกระจายสูงขึ้นราวฝนซัด นางไม่อาจทรงกายได้อีกต่อไป ต้องโอบรอบแผ่นหลังแข็งแรงไว้แน่น ความอบอุ่นและแรงปรารถนาที่โถมทับเข้ามาทำให้ทุกสิ่งรอบกายเลือนหาย มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นถี่รัวเป็นหนึ่งเดียวเวลาล่วงไปไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด กว่าคลื่นน้ำจะสงบ ร่างบางก็อ่อนแรงแทบหมดสิ้น ได้แต่เอนพิงอกกว้าง หอบหายใจถี่แผ่ว ดวงตาคมกริบ ที่มักเย็นเยียบพลันพราวระยับด้วยหยาดน้ำใสไป๋อี้หานประคองเรือนร่างในอ้อมแขน กดจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ เสียงทุ้มพร่ากระซิบใกล้หู“ต้าหลัว…มีเพียงเจ้าที่ทำให้ข้าสูญสิ้นการควบคุมเช่นนี้”เจียงหลัวปรือตามองเขาอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าขาวนวลแดงซ่าน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทั้งอับอายทั้งอบอุ่นท่ามกลางไอหมอกขาวและน้ำอุ่นที่คลอเคลีย สองร่างยังโอบกอดกันแนบแน่น กระทั่งเสียงหยดน้ำจากเพดานก็คล้ายกลายเป็นทำนองกล่อมที่ปิดฉากค่ำคืนในอ่างหิน…ปิดฉากอันใดกัน!ยามที่เจียงหลัวถูกอุ้มขึ้นจากอ่าง ร่างของนางช่างเบาราวขนนกในอ้อมแขนกำยำ เสื้อคลุมน้ำตาลอ่อนเพียงพาดหลวม ๆ มิอาจปกปิดผิวขาวผ่องที่เปล่งประกายยามต้องแสงตะเกียง แต่เพียงสบตากับสามี นางก็รู้







