LOGINหลังออกจากคฤหาสน์สกุลโจวขบวนกลับจวนจวิ้นอันโจวได้แวะตลาดตะวันตกตามประสงค์สวีฮูหยิน นางอยากซื้อผ้าไหมกับเกาลัดหวานไว้ถวายบูชาในเทศกาลหน้าร้อนกับซื้อผลไม้เชื่อมไปฝากบิดาและมารดาของสามีเช่นเคย
ตลาดตะวันตกวันนี้คึกคักเป็นพิเศษกลิ่นเกาลัดคั่วหอมฟุ้งคลุ้งปนกับเสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องเชิญชวน
“สาลี่สดๆ จากสวนเจ้าค่ะ เชิญมาเลือกมาชิมดูกันก่อน”
“ซาลาเปาร้อนๆ ขอรับลูกละสองอีแปะเท่านั้น”
“ผลไม้เชื่อม หวานฉ่ำเพิ่งทำเสร็จเลยจ้า!”
ขบวนของสตรีสกุลสวีมิได้โดดเด่นนัก นอกจากสาวน้อยที่เดินเคียงผู้อาวุโสอย่างสง่างาม สวีฮูหยินเดินนำหน้า มีสวีเจียงหลอยูยู่ฝุ่งขวามือเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย ส่วนสวีเจียงหลีนั้นกลับถอยไปเดินรั้งท้ายอยู่ด้านซ้ายมือโดยมีเหล่าสาวใช้คู่ใจของทั้งสามแม่ลูกคอยถือห่อข้าวของจำนวนแปดนาง
ส่วนสวีเฉียวเฟิ่งแยกไปกับคนสนิทของเขาตามประชาเด็กผู้ชายที่ชอบดูกัดปลาตีไก่และการแข่งขันจิ้งหรีดมากกว่าจะเดินดูของสวยงาม
“ดูสิต้าหลัว ผ้าพับนี้เหมาะกับเจ้าจริง ๆ”
หลังก้าวเข้ามาในร้านขายผ้าเจ้าประจำ สวีฮูหยินหยิบผ้าสีฟ้าสดใสออกมาหนึ่งพับแล้วคลี่ออกโชว์เนื้อไหมละเอียดมันแวววาว เงาสะท้อนแดดกับเส้นไหมที่ถูกถักทอมาอย่างประณีตจนละลานตา
เจียงหลัวปรายตาดูผ้า รอยยิ้มบางประดับบนริมฝีปาก “ท่านแม่ช่างตาถึงยิ่งนักเจ้าค่ะ ผืนนี้งามมากจริงๆ” เจ้าของร้านรีบเสริมทันที
“คุณหนูใหญ่สวีเหมาะกับผ้าสีสดในนี้มากหากปักลายโบตั๋นสีแดงลงไปบนผืนผ้าจะยิ่งงดงามเจ้าค่ะ ดูสิเทียบแล้วช่างเข้ากับผิวและรูปโฉมของคุณหนูยิ่ง”
สวีฮูหยินหัวเราะเบา ๆ อย่างภาคภูมิใจ “ถ้าเช่นนั้นก็เอาผืนนี้เถอะต้าหลัว”
“เจ้าค่ะท่านแม่” เจียงหลัวรับคำอย่างสงบ ในใจของนางแม้ไม่ใคร่ชอบความโอ่อ่า แต่รู้ว่ามารดาเลือกสิ่งดีที่สุดเสมอจึงรับมาโดยไร้ขัดขืน
“เอ้อร์หลี เจ้าก็มาดูด้วยกันสิ” สวีฮูหยินหันไปชวนบุตรสาวคนรองที่ยืนเงียบขรึมอยู่ด้านหลัง
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” เจียงหลีฝืนยิ้มเดินเข้ามา แววตาดูอ่อนหวาน แต่ภายในใจของเด็กสาวนั้นเต็มไปด้วยความไม่พึงใจและริษยา
‘มีอะไรงดงามก็ยกให้ต้าหลัวเจี่ยก่อนเสมอ แล้วข้าเล่า?’ เงาแห่งความริษยาดำมืดเพิ่มขึ้นในหัวใจนางมากขึ้นทุกขณะ
ในขณะนั้นเองอาจิ้งสาวใช้คนสนิทของสวีเจียงหลีก็ขยับมากระซิบชิดใบหูผู้เป็นนายสาวหวังเติมเชื้อไฟ
“คุณหนูรอง ท่านก็เหมาะกับผ้าสีฟ้าสดใสเช่นกันนะเจ้าคะ แต่เหตุใดฮูหยินมักเลือกแต่ของดีให้คุณหนูใหญ่ไปก่อนทุกครั้งเลยเจ้าค่ะ”
ยิ่งพอได้ฟังคำพูดยั่วยุเป่าหูนั้นของสาวใช้คนสนิทลอยมาไม่เลิก เจียงหลีขบฟันแน่น ภายในใจร้อนระอุ ทว่าภายนอกยังยิ้มหวานอ่อนให้กับมารดาเมื่ออีกฝ่ายถาม
“เอ้อร์หลีอยากได้ผ้าพับไหนเป็นพิเศษหรือไม่?” แม้คำถามจะใส่ใจมิต่างจากที่สวีฮูหยินสอบถามบุตรสาวคนโต ทว่าอคติกับคำยั่วยุของสาวใช้คนสนิทกลับปิดบังหัวใจและสติกับดวงตาของสวีเจียงหลีไปจนสิ้นนางจึงมองไม่เห็นความใส่ใจนี้ที่มารดามอบให้นางเสมอมา
“ข้าเลือกไม่เก่งเจ้าค่ะ กลัวขายหน้า ท่านแม่กับต้าหลัวเลือกเถอะ”
สวีฮูหยินไม่ได้ทันสังเกตสายตาเศร้าของบุตรสาว นางจึงหยิบผ้าผืนสีชมพูอ่อนกลีบบัวขึ้นมาเทียบกับผิวตรงหลังมือของบุตรสาวคนรองด้วยใบหน้าอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง
“เช่นนั้นเอ้อร์หลี เจ้าลองดูผืนนี่สิ สีอ่อนหวาน เหมาะกับเจ้า เอ้อร์หลีชอบหรือไม่”
เจียงหลีรับผ้ามาถือเอาไว้ในมือส่วนริมฝีปากยังยิ้มแต่ภายในใจกลับรู้สึกไม่พึงใจจนอึดอัดความคิดของนางคือผ้านี้ก็งดงามอยู่หรอก หากแต่นางไม่ถูกใจ ทว่าในสายตากับความคิดของท่านแม่กลับชอบเลือกแต่ผ้าสีจืดจาง ให้กับนาง คิดมาถึงตรงนี้แววตาของสวีเจียงหลีจึงวาววับคล้ายจะร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว
ระหว่างที่สวีฮูหยินกับเจียงหลัวเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อผ้าให้กับบุตรและน้องสาวคนกลางอยู่นั้น อาจิ้งสาวใช้คนสนิทของสวีเจียงหลีก็ชะโงกหน้ากระซิบอีกครั้ง
“คุณหนูรอง ท่านควรบอกฮูหยินบ้างนะเจ้าคะว่าสีใดที่ท่านชอบ ถ้าไม่พูดนางก็จะนึกว่าท่านพอใจแล้วอยู่เช่นนี้”
“ข้าไม่กล้าอาจิ้ง”
“แต่ว่า…”
“เจ้าหุบปากเถอะอาจิ้ง” เจียงหลีตัดบท แต่ในใจกลับขุ่นเคืองและคิดว่าแม้จะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะนางคิดไปแล้วว่าสิ่งที่งามที่สุดทุกคนมักเลือกให้กับพี่สาวเท่านั้นส่วนนางต้องรอภายหลังอยู่ดี
สายลมเอื่อยพัดเส้นผมนุ่มของเจียงหลีปลิวเล็กน้อยเด็กสาวได้แต่เก็บความน้อยใจไว้ลึก ๆ ใต้รอยยิ้มและถ้อยคำอ่อนหวาน
ด้านสวีเฉียวเฟิ่งกำลังส่งเสียงเชียร์การแข่งขันจิ้งหรีดของเด็กผู้ชายดังมาแต่ไกล เขากับคนสนิทกำลังสนุกกับเหล่าลูกหลานหลานผู้มีฐานะเล่นสนุก ไม่สนใจเลยว่าฝั่งสาว ๆ กำลังเลือกผ้ากันอย่างไร
ตลาดยังคงเต็มไปด้วยความคึกคักจู่ ๆ เสียงโกลาหลเบา ๆ ดังขึ้นจากปลายถนน ขณะนั้นสวีฮูหยินออกจากร้านขายผ้าแล้วนางกำลังเลือกผลไม้อยู่อดแปลกใจไม่ได้เลยเอ่ยปากถามคนขายผลไม้ที่คุ้นเคยกันดีออกไปว่าวันนี้จะมีใครผ่านถนนสายหลักเส้นนี้
“อ๋อ วันนี้ได้ยินว่าชินอ๋องจะเสด็จผ่านมาทางตลาดตะวันตกเพื่อกลับมาเยี่ยมจ้านไทเฮากับเข้าเฝ้าหย่งหมิงฮ่องเต้เจ้าค่ะ จึงมีทหารมาเปิดทางให้ขบวนเสด็จตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว นี่ขบวนเสด็จคงใกล้จะมาถึงแล้วกระมังคนเลยฮือฮากันใหญ่”
สวีเจียงหลัวขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยฉายประกายครุ่นคิด ชินอ๋องไป๋อี้หานหรือปกติเขามักอยู่ที่เจียงหนานแคว้นบรรดาศักดิ์ไม่อย่างนั้นก็พักที่ค่ายอวี้หลินมิใช่หรือเหตุใดวันนี้จึงมาถึงเสวียนหยางได้ แต่ช่างเถิดไม่เกี่ยวกับนาง
ส่วนเจียงหลีนั้นกลับตื่นตกใจเล็กน้อย ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ชินอ๋องไป๋อี้หาน! หลายปีมานี้นางเคยได้ยินสาวใช้บอกว่าเขางดงามมากราวเทพเซียนแต่ก็โหดร้ายและอำมหิตจนถูกขนาดนามว่าเทพสังหารแห่งต้าหรง หากได้เห็นสักครั้งก็คงดี นางอยากรู้ยิ่งนักว่าเสด็จอากับหลานชายผู้ใดงดงามกว่ากัน? ...
“เช่นนั้นต้าหลัวเจ้ารีบไปบอกกับคนบังคับรถม้าหลีกทางให้ขบวนเสด็จขององค์ชินอ๋องกันก่อน เอ้อร์หลีเจ้าไปตามหาเสี่ยวเฟิ่งนะ เตือนเขาว่าอย่าไม่ขวางขบวนเสด็จ จะมีโทษ”
สวีฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะในต้าหรงนี้นอกจากจักรพรรดิหย่งหมิง จ้านไทเฮา ก็มีชินอ๋องนี่แหละที่มากอำนาจและน่ากลัว แม้แต่จ้านไทเฉากับฮ่องเต้ยังเกรงใจเขาอยู่เจ็ดส่วน นางกับลูกมีหรือจะกล้าไปล่วงเกินเขา
บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ข้างนอก หลัวปัง ถังเหยียน และจิ่งกงกงรีบพังประตูเข้ามา ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตัวสั่นเครือ เลือดนองทั่วพื้นหิน ร่างหนึ่งบ้าคลั่ง อีกหนึ่งใกล้สิ้นสติ“เร็วเข้า! หลัวปัง อุ้มองค์ชายไปวางบนเตียง! ถังเหยียนรีบไปตามหมอหลวง!” จิ่งกงกงตะโกนสั่งเสียงสั่นในที่สุดข่าวก็ส่งไปถึงหย่งหมิงฮ่องเต้ พระองค์รีบโปรดให้หมอหลวงมารักษาชีวิตทั้งสองไว้ เพราะถึงอย่างไร อี้เฉินก็ยังเป็นพระโอรส ส่วนเจียงหลีก็เป็นบุตรสาวของขุนนางเอกทว่าตำหนักเหมันต์คืนนี้...เลือดแดงนองพื้นหินเป็นธาร ความสัมพันธ์ขององค์ชายสามกับเจียงหลี พังทลายจนสิ้นซาก แม้หมอหลวงจะยื้อชีวิตทั้งคู่ไว้ได้ แต่…อี้เฉินสูญสิ้นความเป็นชายไปชั่วชีวิต ส่วนเจียงหลีที่ถูกทุบตีจนแท้งและบอบช้ำทั้งกายใจ ก็กลายเป็นคนเสียสติ ไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกต่อไปตำหนักเหมันต์ที่เคยหรูหราสง่างาม บัดนี้กลับกลายเป็นคุกขังมืดหม่น หลังจากถูกปิดตายมาหลายเดือน เพียงสิบกว่าวันหลังเหตุการณ์คืนโลหิต บรรยากาศยิ่งหดหู่และอึมครึมราวถูกคำสาป กลิ่นคาวเลือดแม้จางไปแล้ว แต่ยังแทรกอยู่ในทุกอณูอากาศ ราวจะตอกย้ำให้ผู้ที่อยู่ภายในไม่อาจลืมเหตุการณ์อำมหิตคืนนั้นคืนที่องค์ชายสามทุบตีพ
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
กาลล่วงเลยไปอีกสองเดือน...หลังเหตุการณ์ปราบกบฏและการประหารใหญ่จบสิ้น บ้านเมืองเสวียนหยางกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ถนนหนทางคลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงหาบเร่ของพ่อค้าแม่ค้าดังก้องเป็นสัญญาณแห่งความมั่นคง ผู้คนต่างเอ่ยขอบคุณสวรรค์ที่บัลลังก์มังกรยังตั้งมั่น ปราศจากภัยร้ายคุกคามภายในตำหนักกวางผิง แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านม่านโปร่ง กลีบเหมยสีแดงสดร่วงโปรยแต่งแต้มพื้นหินให้ดูราวภาพวาด ชินอ๋องกับชินหวางเฟยกำลังจัดเตรียมสัมภาระด้วยตนเอง เตรียมเสด็จกลับสู่แคว้นเจียงหนานตามที่ตั้งใจไว้สวีเจียงหลัวนั่งคัดเลือกผ้าผืนงามด้วยดวงตาสงบนิ่ง บ่าวไพร่ขะมักเขม้นยกหีบสมบัติลงเกวียนอย่างขยันขันแข็ง แต่เพียงไม่นาน สีหน้าของนางพลันซีดเผือด ร่างอรชรทรงลงพิงโต๊ะ ข้าวของในมือร่วงกระจาย“ต้าหลัว!” ไป๋อี้หานตวัดกายเข้าประคองทันที แววตาคมดุจเพลิงสะท้อนความตระหนกขันทีรีบส่งเสียงตะโกน “ตามหมอหลวงมาเร็ว!”บรรยากาศทั้งเรือนตึงเครียดในพริบตา สิ่งอวิ๋นกับสืออวี่คุกเข่าหน้าซีดเผือดราวจะขาดใจ รอคอยด้วยลมหายใจอันสั่นไหว เสี่ยวผิงกับเสี่ยวจิ่ววิ่งวุ่นไปมาราวไร้ทิศทาง กระทั่งหมอหลวงผู้เฒ่าเร่งรุดเข้ามา จับชีพจรตรวจอย่างละเอียด
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ยามเขาขยับเร่งเร้า สายน้ำพลันแตกกระจายสูงขึ้นราวฝนซัด นางไม่อาจทรงกายได้อีกต่อไป ต้องโอบรอบแผ่นหลังแข็งแรงไว้แน่น ความอบอุ่นและแรงปรารถนาที่โถมทับเข้ามาทำให้ทุกสิ่งรอบกายเลือนหาย มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นถี่รัวเป็นหนึ่งเดียวเวลาล่วงไปไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด กว่าคลื่นน้ำจะสงบ ร่างบางก็อ่อนแรงแทบหมดสิ้น ได้แต่เอนพิงอกกว้าง หอบหายใจถี่แผ่ว ดวงตาคมกริบ ที่มักเย็นเยียบพลันพราวระยับด้วยหยาดน้ำใสไป๋อี้หานประคองเรือนร่างในอ้อมแขน กดจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ เสียงทุ้มพร่ากระซิบใกล้หู“ต้าหลัว…มีเพียงเจ้าที่ทำให้ข้าสูญสิ้นการควบคุมเช่นนี้”เจียงหลัวปรือตามองเขาอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าขาวนวลแดงซ่าน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทั้งอับอายทั้งอบอุ่นท่ามกลางไอหมอกขาวและน้ำอุ่นที่คลอเคลีย สองร่างยังโอบกอดกันแนบแน่น กระทั่งเสียงหยดน้ำจากเพดานก็คล้ายกลายเป็นทำนองกล่อมที่ปิดฉากค่ำคืนในอ่างหิน…ปิดฉากอันใดกัน!ยามที่เจียงหลัวถูกอุ้มขึ้นจากอ่าง ร่างของนางช่างเบาราวขนนกในอ้อมแขนกำยำ เสื้อคลุมน้ำตาลอ่อนเพียงพาดหลวม ๆ มิอาจปกปิดผิวขาวผ่องที่เปล่งประกายยามต้องแสงตะเกียง แต่เพียงสบตากับสามี นางก็รู้







