แชร์

ตอนที่ ๔

ผู้เขียน: 28พิจิกาเฉิน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-04 13:43:54

หลังออกจากคฤหาสน์สกุลโจวขบวนกลับจวนจวิ้นอันโจวได้แวะตลาดตะวันตกตามประสงค์สวีฮูหยิน นางอยากซื้อผ้าไหมกับเกาลัดหวานไว้ถวายบูชาในเทศกาลหน้าร้อนกับซื้อผลไม้เชื่อมไปฝากบิดาและมารดาของสามีเช่นเคย

ตลาดตะวันตกวันนี้คึกคักเป็นพิเศษกลิ่นเกาลัดคั่วหอมฟุ้งคลุ้งปนกับเสียงพ่อค้าแม่ค้าร้องเชิญชวน

“สาลี่สดๆ จากสวนเจ้าค่ะ เชิญมาเลือกมาชิมดูกันก่อน”

“ซาลาเปาร้อนๆ ขอรับลูกละสองอีแปะเท่านั้น”

“ผลไม้เชื่อม หวานฉ่ำเพิ่งทำเสร็จเลยจ้า!”

ขบวนของสตรีสกุลสวีมิได้โดดเด่นนัก นอกจากสาวน้อยที่เดินเคียงผู้อาวุโสอย่างสง่างาม สวีฮูหยินเดินนำหน้า มีสวีเจียงหลอยูยู่ฝุ่งขวามือเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย ส่วนสวีเจียงหลีนั้นกลับถอยไปเดินรั้งท้ายอยู่ด้านซ้ายมือโดยมีเหล่าสาวใช้คู่ใจของทั้งสามแม่ลูกคอยถือห่อข้าวของจำนวนแปดนาง

ส่วนสวีเฉียวเฟิ่งแยกไปกับคนสนิทของเขาตามประชาเด็กผู้ชายที่ชอบดูกัดปลาตีไก่และการแข่งขันจิ้งหรีดมากกว่าจะเดินดูของสวยงาม 

“ดูสิต้าหลัว ผ้าพับนี้เหมาะกับเจ้าจริง ๆ”

หลังก้าวเข้ามาในร้านขายผ้าเจ้าประจำ สวีฮูหยินหยิบผ้าสีฟ้าสดใสออกมาหนึ่งพับแล้วคลี่ออกโชว์เนื้อไหมละเอียดมันแวววาว เงาสะท้อนแดดกับเส้นไหมที่ถูกถักทอมาอย่างประณีตจนละลานตา

เจียงหลัวปรายตาดูผ้า รอยยิ้มบางประดับบนริมฝีปาก “ท่านแม่ช่างตาถึงยิ่งนักเจ้าค่ะ ผืนนี้งามมากจริงๆ” เจ้าของร้านรีบเสริมทันที

“คุณหนูใหญ่สวีเหมาะกับผ้าสีสดในนี้มากหากปักลายโบตั๋นสีแดงลงไปบนผืนผ้าจะยิ่งงดงามเจ้าค่ะ ดูสิเทียบแล้วช่างเข้ากับผิวและรูปโฉมของคุณหนูยิ่ง”

สวีฮูหยินหัวเราะเบา ๆ อย่างภาคภูมิใจ “ถ้าเช่นนั้นก็เอาผืนนี้เถอะต้าหลัว”

“เจ้าค่ะท่านแม่” เจียงหลัวรับคำอย่างสงบ ในใจของนางแม้ไม่ใคร่ชอบความโอ่อ่า แต่รู้ว่ามารดาเลือกสิ่งดีที่สุดเสมอจึงรับมาโดยไร้ขัดขืน

“เอ้อร์หลี เจ้าก็มาดูด้วยกันสิ” สวีฮูหยินหันไปชวนบุตรสาวคนรองที่ยืนเงียบขรึมอยู่ด้านหลัง

“เจ้าค่ะ ท่านแม่” เจียงหลีฝืนยิ้มเดินเข้ามา แววตาดูอ่อนหวาน แต่ภายในใจของเด็กสาวนั้นเต็มไปด้วยความไม่พึงใจและริษยา

‘มีอะไรงดงามก็ยกให้ต้าหลัวเจี่ยก่อนเสมอ แล้วข้าเล่า?’ เงาแห่งความริษยาดำมืดเพิ่มขึ้นในหัวใจนางมากขึ้นทุกขณะ

ในขณะนั้นเองอาจิ้งสาวใช้คนสนิทของสวีเจียงหลีก็ขยับมากระซิบชิดใบหูผู้เป็นนายสาวหวังเติมเชื้อไฟ

“คุณหนูรอง ท่านก็เหมาะกับผ้าสีฟ้าสดใสเช่นกันนะเจ้าคะ แต่เหตุใดฮูหยินมักเลือกแต่ของดีให้คุณหนูใหญ่ไปก่อนทุกครั้งเลยเจ้าค่ะ”

ยิ่งพอได้ฟังคำพูดยั่วยุเป่าหูนั้นของสาวใช้คนสนิทลอยมาไม่เลิก เจียงหลีขบฟันแน่น ภายในใจร้อนระอุ ทว่าภายนอกยังยิ้มหวานอ่อนให้กับมารดาเมื่ออีกฝ่ายถาม

“เอ้อร์หลีอยากได้ผ้าพับไหนเป็นพิเศษหรือไม่?” แม้คำถามจะใส่ใจมิต่างจากที่สวีฮูหยินสอบถามบุตรสาวคนโต ทว่าอคติกับคำยั่วยุของสาวใช้คนสนิทกลับปิดบังหัวใจและสติกับดวงตาของสวีเจียงหลีไปจนสิ้นนางจึงมองไม่เห็นความใส่ใจนี้ที่มารดามอบให้นางเสมอมา

“ข้าเลือกไม่เก่งเจ้าค่ะ กลัวขายหน้า ท่านแม่กับต้าหลัวเลือกเถอะ”

สวีฮูหยินไม่ได้ทันสังเกตสายตาเศร้าของบุตรสาว นางจึงหยิบผ้าผืนสีชมพูอ่อนกลีบบัวขึ้นมาเทียบกับผิวตรงหลังมือของบุตรสาวคนรองด้วยใบหน้าอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง

“เช่นนั้นเอ้อร์หลี เจ้าลองดูผืนนี่สิ สีอ่อนหวาน เหมาะกับเจ้า เอ้อร์หลีชอบหรือไม่”

เจียงหลีรับผ้ามาถือเอาไว้ในมือส่วนริมฝีปากยังยิ้มแต่ภายในใจกลับรู้สึกไม่พึงใจจนอึดอัดความคิดของนางคือผ้านี้ก็งดงามอยู่หรอก หากแต่นางไม่ถูกใจ ทว่าในสายตากับความคิดของท่านแม่กลับชอบเลือกแต่ผ้าสีจืดจาง ให้กับนาง คิดมาถึงตรงนี้แววตาของสวีเจียงหลีจึงวาววับคล้ายจะร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว

ระหว่างที่สวีฮูหยินกับเจียงหลัวเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อผ้าให้กับบุตรและน้องสาวคนกลางอยู่นั้น อาจิ้งสาวใช้คนสนิทของสวีเจียงหลีก็ชะโงกหน้ากระซิบอีกครั้ง

“คุณหนูรอง ท่านควรบอกฮูหยินบ้างนะเจ้าคะว่าสีใดที่ท่านชอบ ถ้าไม่พูดนางก็จะนึกว่าท่านพอใจแล้วอยู่เช่นนี้”

“ข้าไม่กล้าอาจิ้ง”

“แต่ว่า…”

“เจ้าหุบปากเถอะอาจิ้ง” เจียงหลีตัดบท แต่ในใจกลับขุ่นเคืองและคิดว่าแม้จะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะนางคิดไปแล้วว่าสิ่งที่งามที่สุดทุกคนมักเลือกให้กับพี่สาวเท่านั้นส่วนนางต้องรอภายหลังอยู่ดี

สายลมเอื่อยพัดเส้นผมนุ่มของเจียงหลีปลิวเล็กน้อยเด็กสาวได้แต่เก็บความน้อยใจไว้ลึก ๆ ใต้รอยยิ้มและถ้อยคำอ่อนหวาน

ด้านสวีเฉียวเฟิ่งกำลังส่งเสียงเชียร์การแข่งขันจิ้งหรีดของเด็กผู้ชายดังมาแต่ไกล เขากับคนสนิทกำลังสนุกกับเหล่าลูกหลานหลานผู้มีฐานะเล่นสนุก ไม่สนใจเลยว่าฝั่งสาว ๆ กำลังเลือกผ้ากันอย่างไร

ตลาดยังคงเต็มไปด้วยความคึกคักจู่ ๆ เสียงโกลาหลเบา ๆ ดังขึ้นจากปลายถนน ขณะนั้นสวีฮูหยินออกจากร้านขายผ้าแล้วนางกำลังเลือกผลไม้อยู่อดแปลกใจไม่ได้เลยเอ่ยปากถามคนขายผลไม้ที่คุ้นเคยกันดีออกไปว่าวันนี้จะมีใครผ่านถนนสายหลักเส้นนี้

“อ๋อ วันนี้ได้ยินว่าชินอ๋องจะเสด็จผ่านมาทางตลาดตะวันตกเพื่อกลับมาเยี่ยมจ้านไทเฮากับเข้าเฝ้าหย่งหมิงฮ่องเต้เจ้าค่ะ จึงมีทหารมาเปิดทางให้ขบวนเสด็จตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อนแล้ว นี่ขบวนเสด็จคงใกล้จะมาถึงแล้วกระมังคนเลยฮือฮากันใหญ่”

สวีเจียงหลัวขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยฉายประกายครุ่นคิด ชินอ๋องไป๋อี้หานหรือปกติเขามักอยู่ที่เจียงหนานแคว้นบรรดาศักดิ์ไม่อย่างนั้นก็พักที่ค่ายอวี้หลินมิใช่หรือเหตุใดวันนี้จึงมาถึงเสวียนหยางได้ แต่ช่างเถิดไม่เกี่ยวกับนาง

ส่วนเจียงหลีนั้นกลับตื่นตกใจเล็กน้อย ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ชินอ๋องไป๋อี้หาน! หลายปีมานี้นางเคยได้ยินสาวใช้บอกว่าเขางดงามมากราวเทพเซียนแต่ก็โหดร้ายและอำมหิตจนถูกขนาดนามว่าเทพสังหารแห่งต้าหรง หากได้เห็นสักครั้งก็คงดี นางอยากรู้ยิ่งนักว่าเสด็จอากับหลานชายผู้ใดงดงามกว่ากัน? ...

“เช่นนั้นต้าหลัวเจ้ารีบไปบอกกับคนบังคับรถม้าหลีกทางให้ขบวนเสด็จขององค์ชินอ๋องกันก่อน เอ้อร์หลีเจ้าไปตามหาเสี่ยวเฟิ่งนะ เตือนเขาว่าอย่าไม่ขวางขบวนเสด็จ จะมีโทษ”

สวีฮูหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะในต้าหรงนี้นอกจากจักรพรรดิหย่งหมิง จ้านไทเฮา ก็มีชินอ๋องนี่แหละที่มากอำนาจและน่ากลัว แม้แต่จ้านไทเฉากับฮ่องเต้ยังเกรงใจเขาอยู่เจ็ดส่วน นางกับลูกมีหรือจะกล้าไปล่วงเกินเขา

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่ ๑๐

    ทว่า…สำหรับนาง กลับรู้ดี ว่าเป็นเพราะเขารู้จักชินอ๋องดีเกินไป มิใช่แค่รู้จักนิสัยของชินอ๋องดี แม้แต่นิสัยของพระนาง ขุนนางสองแผ่นดินตรงหน้าก็คงถ่องแท้เช่นกันถ่องแท้จนเข้าใจว่าหากเขารีบเอ่ยปาก ‘ขอร้อง’ ต่อหน้ามารดาเช่นนาง อาจกลายเป็นการยั่วไฟโทสะให้ลุกท่วมง่ายกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นตัวของพระนางหรือไป๋อี้หานเองจ้านไทเฮาหลุบตาลงเล็กน้อย ในแววตาฉายความซับซ้อนทั้งเป็นห่วงสวีเจียงหลัว ทั้งโกรธบุตรชาย และทั้งอ่อนใจในคราเดียวกันเพียงชั่วอึดใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไป“เจ้ากล่าวว่า…ต้าหลัวบาดเจ็บหนัก…เป็นหรือตายมิอาจทราบ แต่กลับถูกชินอ๋องพาตัวไป…เช่นนั้นหรือ…อาฟ่าน”สุ้มเสียงนุ่มลึกล้ำซึ่งเคยสงบ บัดนี้ไม่หลงเหลือรอยตกพระทัยอีก มีเพียงความเด็ดขาดที่น่าหวาดเกรง“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”“เช่นนั้น…พวกเจ้าจึงยังไม่รู้เลยสินะ…ว่านางเป็นเช่นไรแล้วบ้างหลังจากอาหานพานางจากไป…”พระเนตรทอดลงต่ำ แววในดวงตาประหนึ่งพายุซึ่งค่อยๆ ก่อตัว“กราบทูลไทเฮา…”เสียงสวีฉีฟ่านสั่นพร่า มือใหญ่ที่คุกเข่ากำจนสั่น“ต้าหลัว…นางบาดเจ็บหนัก…กระหม่อมกับฮูหยินมิอาจตามไปตำหนักชินอ๋องได้…จนปัญญาจริงๆ พ่ะย่

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่ ๑๐

    “…”“…”สองสามีภรรยาสวีมิกล้าตอบคำถามนั้นของจ้านไทเฮาในทันใด แม้พระนางจะวางพระองค์เป็นกันเองเพียงใด แต่จะอย่างไร…ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ มิอาจวางใจได้ทั้งหมดจ้านไทเฮาประทับนิ่ง ดวงเนตรทอดมองร่างทั้งสองที่หมอบอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับทั้งกังขาทั้งไม่อยากเชื่อว่าที่ตนเองได้ยินนั้นเป็นความจริงสีพระพักตร์ของพระนางเผยอารมณ์ตื่นตระหนกชัดเจนมิอาจเก็บซ่อนอารมณ์ อาการดังกล่าวนี้แทบไม่เคยปรากฏให้ผู้ใกล้ชิดได้เห็นบ่อยนักทว่าวันนี้ ทุกคนล้วนได้เห็นเต็มสองตา และนั่นย่อมแสดงว่า คุณหนูใหญ่สวีผู้นี้ย่อมมีน้ำหนักในพระทัยจ้านไทเฮามากกว่าที่ใครเข้าใจอึดใจหนึ่ง พระวรกายที่เคยนั่งอิงหมอนค่อยๆ ขยับเหยียดตัวตรง เรียวพระหัตถ์วางบนตั่งหยก แล้วเผลอกำแน่น ดวงเนตรคู่งามเบิกขึ้นเล็กน้อย ริมพระโอษฐ์ขยับเปล่งวาจาถามย้ำ“พวกเจ้าสองผัวเมีย…” สุ้มเสียงนั้นจริงจังไม่หยอกล้ออีกแล้ว จนทุกคนที่ได้ฟังล้วนขนลุก“ใครก็ได้…พูดกับไอเจี่ยอีกครั้งเถอะ…ว่าที่ไอเจี่ยได้ยินเมื่อครู่…มิใช่เรื่องเพ้อฝัน…มิใช่เพราะไอเจี่ยหูฝาดไปเอง…”สองสามีภรรยาเหลือบตามองกันไปมา แล้วสวีฮูหยินก็พยักหน้าให้สามี…เป็นเชิงบอกให้ตอบแทนตน“ไทเฮามิได้ฟังผิดไปพ่

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่ ๙

    เวลาบ่ายคล้อย แสงแดดสีทองทอดเงายาวเหนือลานหินกว้างจนสุดสายตาสองสามีภรรยาสกุลสวีเดินตามขันทีเข้าสู่เขตพระราชฐานด้านในสองข้างทางเรียงรายด้วยต้นบ๊วยที่กำลังชูช่อดอกขาวสะพรั่งเต็มกิ่งหากในยามนี้กลับไม่มีผู้ใดคิดใส่ใจความงามนั้นแม้เพียงคนเดียวสวีฮูหยินยังคงก้าวเดินช้ารักษามารยาทสตรีชั้นสูงไว้อย่างดี แต่ลมหายใจของนางใน บ้างจังหวะก็มีสะดุดขาดเป็นห้วง ฝ่ามือเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกังวลที่กัดกินทุกครั้งยามก้าวเดินไปข้างหน้า นางเคยชื่นชมความสงบของตำหนักหนิงเฟิ่งเสมอกว่าจะมาถึง พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามในที่สุด ประตูสูงประดับลายหงส์สยายปีก ปากคาบรวงข้าวสาลี จึงปรากฏในครรลองสายตาที่แห่งนี้คือเขตตำหนัก ‘หนิงเฟิ่ง’ ของจ้านไทเฮาสตรีผู้ทรงอำนาจสูงสุดแห่งวังหลังแม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องยำเกรงพระนางแสงแดดต้นยามเว่ยแผดจ้าเงาสะท้อนระยิบอยู่บนตัวอักษรสองคำ หนิงเฟิ่ง ที่หมายถึงหงส์ผู้สงบ...ชื่อที่ประกาศถึงพระปณิธานรักความสงบของเจ้าของตำหนักว่ามีมากเพียงใดทว่าในยามนี้ ความสงบนั้นกลับกดทับจิตใจของทั้งสองสามีภรรยาจนแทบสิ้นเรี่ยวแรงหลังสวีฉีฟ่านแจ้งกับขันทีเฝ้าตำหนักไม่นานนัก เสียงฝี

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่๘

    ลานหินอ่อนหน้าประตูวังหลวงของต้าหรงด้านใต้ในวันนี้ สะท้อนแสงอาทิตย์ต้นยามอู่จนเกิดไอร้อนลอยระยับในอากาศ มองไปราวกับเปลวเพลิงกำลังเริงระบำเสียงลมพัดเสียดสีกับธงสีดำที่ปักมังกรทองเหยียบเมฆา อยู่บนแผ่นผ้าที่ยอดเสาสูงโบกสะบัดจนเกิดเสียงหวีดหวิวน่าหวาดหวั่น คล้ายมังกรตัวนั้นกำลังคำรามข่มขู่ผู้คนทหารรักษาพระองค์เดินลาดตระเวนเข้มงวด นางกำนัลกับขันทีเดินเข้าออกประปรายใต้ร่มผ้าแพรสีอ่อน มีสตรีผู้หนึ่งยืนเงยหน้าจ้องประตูวัง ไม่ละสายตาด้วยกิริยาร้อนใจยิ่งนางคือสวีฮูหยิน ในอาภรณ์สีฟ้าครามแกมม่วง ใบหน้าของนางซีดขาว ดวงตาคลอหยาดน้ำตาจนขอบตาแดงช้ำบุตรสาวคนรองกับบุตรชายคนเล็กนางส่งกลับจวนไปแล้ว เหลือเพียงนางยืนรออยู่กับข่งหมัวมัวและสาวใช้อีกสองคน ด้วยเกรงจะเอิกเกริกจนผู้คนเพ่งมองแดดยิ่งแรง เหงื่อยิ่งซึมตามขมับ แต่หัวใจกลับร้อนราวไฟแผดเผามากกว่าแสงแดดยามอู่ข่งหมัวมัวมองแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “ฮูหยิน…ขึ้นรถม้าสักครู่เถิดเจ้าค่ะ…”สวีฮูหยินส่ายหน้า แลเห็นน้ำตาเป็นเงาอยู่ในดวงตาไม่จาง “ไม่…ข้าจะรอท่านพี่ที่ตรงนี้”ไม่นานนัก ฝีเท้าหนักของคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านในอึดใจต่อมาบานประตูวังชั้นนอกถูกผ

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่๗

    ตอนที่ ๗เสียงล้อรถม้าบดผ่านถนนช่วงปลายยามเฉินด้วยความเร่งรีบ เงารถทอดยาวบนพื้น แล้วค่อย ๆ หดสั้นลงตามแสงอาทิตย์ที่เคลื่อนขึ้นสูงในยามอู่ (12 นาฬิกา) องครักษ์ชุดดำร่วมสองร้อยคนขนาบข้างแน่นหนา ชาวบ้านต่างรีบหลีกทางเมื่อเห็นขบวนเกรียงไกร คาดว่าต้องเป็นขุนนางผู้มีอำนาจสูงส่งหรืออาจเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่ จึงกล้าเฆี่ยนม้าบนถนนหลวงอย่างอุกอาจได้เช่นนี้ผ้าม่านหน้าต่างรถม้าถูกตลบขึ้น เผยสายตาคมเข้มที่จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวขององครักษ์และฝีเท้าอาชาแม้ลมหายใจไป๋อี้หานจะราบเรียบ แต่ภายในอกกลับอึดอัดราวมีหินกดทับ อาจเพราะร่างบอบบางที่นอนนิ่งหนุนตักเขานั้นเริ่มเย็นเฉียบราวไร้ร่างวิญญาณขึ้นทุกขณะลมหายใจของนางก็แผ่วเบาแทบไม่เหลือเค้าลางของคนมีชีวิตจนเขาอดจะกดปลายนิ้วแตะลงบนชีพจรข้างลำคอเสียมิได้ หวังตรวจดูว่านางยังหายใจหรือไม่ เมื่อสัมผัสได้ว่ายังคงเต้นอยู่ แม้อ่อนระโหย ใบหน้าคมจึงคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย ก่อนหลุบตาจ้องใบหน้าซีดเผือดนิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน“หวางเยี่ย ถึงตำหนักกวางผิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฉีเหล่ยเอ่ยขึ้นเมื่อขบวนชะลอลงและหยุดสนิทในท้ายที่สุดไป๋อี้หาน จึงได้สติแล้วละสายตาจ

  • นางร้ายเช่นข้าจะเปลี่ยนสามี!   ตอนที่๖

    ตอนที่ ๖ เสียงเกือกม้าศึกนับร้อยกระทบพื้นถนนดังก้องสะท้อนทั่วตลาดตะวันตก ทุกสรรพสิ่งพลันเงียบงันราวต้องมนตร์ ผู้คนที่เพิ่งแตกตื่นต่างเบียดตัวถอยจนชิดแนวกั้น ทหารที่จัดเตรียมไว้ยืนเรียงแถวแน่นขนัด สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความหวาดเกรง จนแม้แต่เสียงหายใจก็อึดอัดหนักอึ้งรถม้าคันใหญ่หรูหราที่มีอักษร หาน สีทองอร่ามประดับเด่น ชัดเจนในสายตาค่อย ๆ ชะลอหยุดลง ทหารองครักษ์ในเกราะดำสองแถวรั้งบังเหียนอาชาเรียงแถวราวกำแพงเหล็ก หน้าขบวนปักธงผ้าสีแดงเข้มลายกิเลนเพลิงเหยียบเมฆซึ่งเป็นธงประจำกองทัพอวี้หลินที่ชินอ๋องควบคุมอยู่ ทหารทุกนายจับด้ามกระบี่ประจำเอวแน่น ไม่มีใครกล้าไหวติงบัดนั้นเอง เสียงตวาดกังวานดุจอสนีพลันปะทุจากองครักษ์ร่างใหญ่บนหลังม้าสีน้ำตาลแดง เจ้าของนาม ฉีเหล่ย ผู้เป็นหัวหน้าขบวนและหัวหน้าองครักษ์เงาคุ้มกันชินอ๋องแห่งต้าหรง“เป็นผู้ใดบังอาจมาขวางรถม้าของชินอ๋องจนเสียขบวน?!”เสียงเย็นจัดเสียจนผู้คนพากันก้มหน้า ใจคิดตรงกันว่านี่แค่เสียงองครักษ์นำขบวนยังน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ หากเป็นชินอ๋องตัวจริง…จะน่ากลัวเพียงใดไม่ทันสิ้นความคิด ม่านแพรสีดำปักลายกิเลนหน้ารถม้าแผ่วไหว มือเรียวยาวเลิกม่า

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status