LOGINตอนที่๒||เมื่อสวรรค์ทอดทิ้งข้าแต่พญายมกลับเห็นใจ
ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของ ‘นางสาวอรรัมภา จิตพิสุทธิ์’ สิ้นสุดลงพร้อมกับจิตสุดท้ายที่น้อยอกน้อยใจสวรรค์ความมืดกลืนกินทุกสรรพสิ่ง โลกของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ปีที่2 เงียบงันจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
คล้ายกับหญิงสาวตกลงไปอยู่ในห้วงอวกาศ กว้างใหญ่แต่ว่างเปล่า ทว่าไม่หนาวเหน็บกัดลึกเข้ากระดูกดังที่เคยได้ยินได้ฟังมา กลับอบอุ่นกำลังสบาย แต่รอบข้างมีแค่ความเงียบงันไม่มีแม้แต่เสียงของลมพัดหวีดหวิว
และในห้วงว่างนั้นเองกลับมีเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้วงคำนึงของวิญญาณสาว
“เจ้า…ช่างเป็นคนประหลาดนัก…มีแต่ผู้คนขอพรจากสวรรค์ แต่เจ้ากลับใฝ่หานรก…ครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่ข้าก็ชอบนะ…เพราะคนเช่นเจ้ายากนักจะหาเจอในหนึ่งหมื่นปี”
เสียงนั้นหนักแน่น เหมือนสะท้อนออกมาจากใต้ดินหมื่นฟุต อรรัมภาลืมตาขึ้นช้า ๆ พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางลานกว้างมิได้มืดมิดทว่าก็มิได้สว่างไสว คงเพราะรอบกายมีหมอกสีเทาลอยอ้อยอิ่งอยู่เต็มไปหมดก็เป็นได้
ตรงหน้าคือร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสากลดำยี่ห้อดัง ใบหน้าขาวราวกับหยก แต่เครื่องหน้าของเขากลับคมเข้มโดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นทั้งว่างเปล่าและมืดสนิทจนดูน่ากลัวและหนาวเหน็บไปพร้อมกัน
เขาคือท่านพญายม...
เสียงในหัวดังบอกกับอรรัมภาเช่นนั้นแต่แทนที่อรรัมภาจะทันได้คิดหวาดกลัวเพราะได้พบกับจ้าวแห่งขุมนรก ทว่าหญิงสาวกลับมัวแต่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองเคยพบกับเขามาก่อนจนลืมความกลัวที่สมควรจะมีไปชั่วขณะเพราะมัวนึกว่าตนเองไปเคยพบเคยเจอพญายมได้อย่างไร และที่ไหน
ท่านพญามัจจุราชเชียวนะไม่ใช่คนปกติทั่วไปที่จะบังเอิญไปเดินชนอีกฝ่ายได้!
“ไม่ต้องสงสัย” เสียงเขาดังขึ้น ราบเรียบจนชวนขนลุกยังดีวิญญาณไม่มีอะไรแบบนั้น
“นับจากครั้งแรกที่เจ้าขอพรจากนรก เราก็พบกันแล้ว…สองพันเอ็ดครั้ง”
“…ฉันน่ะนะ เจอท่านมาแล้วตั้งสองพัน…เอ็ดครั้ง?”
พอจบคำถามดังกล่าวเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกหลุดจากริมฝีปากสีซีดของท่านพญายม ราวกระดิ่งลมในคืนหิมะ
“เจ้าลืมแล้วหรือ สวีเจียงหลัว…ลืมความเจ็บปวดที่ถูกฝังทั้งเป็นในโลงไม้พร้อมกับลูกในครรภ์ เจ้าลืมเสียงกรีดร้องของตนเองที่ไม่มีใครได้ยิน ลืมดวงตาของสวามีที่มองเจ้าด้วยความเมินเฉย…ลืมแล้วหรือกับสายตาเย้ยหยันของน้องสาวตัวดีผู้นั้น”
“!!?”
อรรัมภาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และยิ่งเสียขวัญหนักขึ้นหลังท่านพญายมโบกมือหนึ่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้าถาโถม
จนดวงจิตของอรรัมภาสั่นสะท้านไหวเอนไปมาราวกับผืนผ้าถูกลมพายุพัดพาจนปลิวไสว หลังภาพบางอย่างแทรกเข้ามาในหัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับน้ำหลาก
เสียงลมโหยหวนในสุสานรกร้าง แรงตะกุยเล็บใส่ฝากระดานจนเล็บหลุดหายเหลือเพียงเนื้อแท้แต่ฝาโลงก็ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย
อาการปวดท้องอย่างรุนแรงตามมาด้วยความรู้สึกได้ถึงอาการตกเลือดที่บอกแก่สวีเจียงหลัวว่าบัดนี้ลูกน้อยในครรภ์จากนางไปแล้ว ความรู้สึกแตกสลายอยู่มิสู้ตาย
“นี่มัน…”
เสียงเธอสั่นเคือง คล้ายน้ำตาคลอขึ้นมาเต็มสองตาทั้งที่ขณะนี้เธอคือดวงจิตเท่านั้นไม่มีน้ำตาอยู่จริง เพราะความเจ็บแค้นมันอัดแน่นเกินไปเลยมีความรู้สึกดังกล่าวเด่นชัดนัก
“...ฉันคือสวีเจียงหลัว…จริงหรือ?”
ความสิ้นหวัง ความคับแค้นใจนับพันปี ตีตื้นขึ้นมาจนเจ็บร้าวคล้ายดวงจิตจะแตกสลาย
“ใช่” ท่านพญายมตอบรับคำหนักแน่น
“และทุกชาติที่ผ่านมา เจ้าล้มเหลว…เพราะความใจอ่อนมีเมตตา เป็นคนดีเกินไป อาจเป็นที่เจ้าคงมีความเชื่อว่าสวรรค์จะเห็นความดีกระมัง จึงมิอาจปล่อยวางความดีเดินเข้าสู่หนทางชั่วร้าย ได้สักครา”
ริมฝีปากอรรัมภาหรือในอดีตคือสวีเจียงหลัวกระตุกยิ้มทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยเพลิงแค้นสุมทรวง!
“สวรรค์? สวรรค์ที่มองดูข้าถูกฝังทั้งเป็น…สวรรค์ที่ปล่อยให้ข้าต้องตายเพราะช่วยคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า…?”
เสียงของเธอขาดห้วง สั่นเครือ
“ตลอดสองพันเอ็ดชาติ…ข้าทำได้แค่…ตายอย่างอนาถราวกับหมาข้างถนนตัวหนึ่ง เพื่อความดีไร้ค่าของตัวเอง…เพราะตัดอาลัยจากสวรรค์มิได้ น่าขันนัก!”
จากหมอกสีเทาอ่อนคล้ายควันบุหรี่ลอยวนรอบดวงจิตของอรรัมภาเช่นท่านพญายมค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาอมม่วงและกลายเป็นแดงเข้มเกือบดำสนิทในท้ายที่สุดซึ่งเกิดจากแรงอาฆาตแค้นรุนแรงของดวงจิต มุมปากสีเข้มของท่านพญายมยกยิ้มพึงใจ ก่อนเสียงเขาจะดังขึ้น
“เจ้ารู้ดีว่าทุกชาติ ข้าเสนอทางเลือกเดียว โอกาสให้เจ้าได้แก้แค้นสักครั้ง แลกกับสิ่งเดียว…ห้ามเจ้าทำความดี ห้ามช่วยผู้คน ต่อให้คนผู้นั้นจะน่าสงสารเพียงใดก็ห้ามใจอ่อนมีเมตตา!”
คราวนี้อรรัมภาหัวเราะเสียงขมขื่นออกมาแล้วจริงๆ เพราะตามข้อตกลงตลอดสองพันเอ็ดครั้งทุกชาติหญิงสาวไม่เคยทำได้ตามข้อแลกเปลี่ยนเดียวที่ท่านพญายมเสนอให้คือห้ามทำความดี ต่อให้เห็นจะตายต่อหน้าก็ห้ามเข้าไปช่วย ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดใหม่มาสองพันเอ็ดชาติ พออายุครบ ยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเท่ากับตอนที่สวีเจียงหลัวถูกฝังทั้งเป็นคราวนั้น หญิงสาวจึงจบชีวิตแล้วกลับมาพบกับท่านพญายมที่ตรงนี้เสมอ
“แล้วข้าก็ยังคงทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องตายซ้ำตายซากถึงสองพันเอ็ดครั้ง เพราะดันคิดจะเป็นคนดีให้สวรรค์เห็นใจ หึ ดียิ่งนัก!”
“คราวนี้…เจ้าจะเลือกอย่างไร?” เสียงของท่านพญายมที่ดูหนุ่มแน่นไม่เหมือนดังเรื่องเล่ามากมายกดต่ำ เย็นชาราวจะแช่แข็งทุกสรรพชีวิตในใต้หล้า
“แต่คราวนี้มีข้อแม้มากกว่าทุกครั้งที่เจ้าได้โอกาสนะ”
“ข้อแม้อันใดเจ้าค่ะ”
“ข้อแม้ว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย โอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว หากเจ้ายังใจอ่อน เป็นคนดี เข้าช่วยคนเฉียดตายอีก เจ้าจะตายแทนคนผู้นั้น แล้วจะตกนรก ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกต่อไปชั่วกัปชั่วกัลป์เจ้ายินดีจะยอมแลกหรือไม่”
“……”
เป็นข้อแม้ที่เลือกได้ยากเสียจริง อรรัมภา หรืออดีตก็คือสวีเจียงหลัวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“มีทางเลือกเดียวหรือคะ?”
“แน่นอนว่าข้ามีเมตตา เหลือทางเลือกให้เจ้าอีกข้อ หากเข้าไม่เลือกข้อแรก ข้อสองเจ้าสามารถไปเกิดใหม่ได้ แต่เป็นการเวียนว่ายตายเกิดตามวัฏสงสารมิอาจหานกลับไปแก้แค้นได้อีก”
ดวงจิตอาฆาตพลันสั่นสะท้านกับข้อเสนอดังกล่าว คล้ายมีหมอกเย็นเกาะหนาทั่วแผ่นหลัง หากเลือกทางสอง ไปเกิดใหม่ ไม่จองเวร ไม่แก้แค้นย่อมไม่ใช่นางแล้ว จะต้องยอมลืมทุกอย่าง ยอมให้อีกสองคนอยู่สุขสบายในชะตาเดิม ความคิดนั้นเหมือนไฟเผาไหม้อยู่ภายในอกยากจะทนไหว
วิญญาณสาวคิดอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจได้ แค้นในใจอัดแน่น คนอื่นไม่รู้ หรือหากยังเป็นเพียงอรรัมภาอยู่ไม่ได้รับรู้ว่าอดีตตนเองคือสวีเจียงหลัวอาจปล่อยวางแล้วไปเกิดใหม่ได้
แต่เพราะครู่ก่อนหญิงสาวได้ซาบซึ้งถึงวาระสุดท้ายของสวีเจียงหลัวแล้ว ในนิยายที่อ่านไม่อาจกล่าวถึงได้ว่ามันคือทุกข์แสนสาหัส ดังนั้นต่อให้คราวนี้คือโอกาสสุดท้าย หญิงสาวก็ยอม
“ข้าเลือกข้อแรกเจ้าค่ะ”
“ดี! ต้องเช่นนี้สิ จึงสมกับที่ข้าให้โอกาสเจ้ามาถึงสองพันเอ็ดครั้ง!”
เขากล่าวจบหมอกสีเทาเข้มจนเกือบเป็นสีดำสนิทขุมใหญ่ก็พุ่งเข้าหาดวงจิตของอรรัมภารวดเร็วเพียงแค่พริบตา อรรัมภารู้สึกคล้ายตนเองจะหายใจไม่ออกทั้งที่คนตายแล้วไม่มีลมหายใจ ก่อนจะรู้สึกหนาวยะเยือกจนถึงกระดูก!
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบ อรรัมภายังพึมพำเสียงแผ่วว่า...
“สวรรค์ทอดทิ้งข้า…อย่าโทษว่าข้าจะละทิ้งสวรรค์ก็แล้วกันคราวนี้…”
เสียงทุ้มของพญายมลอยมาเป็นครั้งสุดท้าย “ตัดอาลัยจากสวรรค์เสียที…เจียงหลัว หากเจ้าจะเกิดใหม่”
“สามพันปีแล้วหากคราวนี้เจ้ายังอาวรณ์สวรรค์อยู่อีกแค้นของเจ้าคงหมดโอกาสแล้ว แต่หากเจ้าเลือกจะเป็นลูกรักของข้า จ้าวแห่งขุมนรก…แค้นใดที่เจ้าคาดหวังจะสำเร็จแน่!”
จบเสียงตวาดกึกก้องพลันนั้นความหนาวเหน็บก็ยิ่งกัดลึกจนถึงแก่นวิญญาณ ความมืดมิดก็เริ่มกลืนทุกสรรพสิ่ง เหลือเพียงเปลวเพลิงอาฆาตในหัวใจที่ไม่อาจมอดดับของนาง
บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ข้างนอก หลัวปัง ถังเหยียน และจิ่งกงกงรีบพังประตูเข้ามา ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตัวสั่นเครือ เลือดนองทั่วพื้นหิน ร่างหนึ่งบ้าคลั่ง อีกหนึ่งใกล้สิ้นสติ“เร็วเข้า! หลัวปัง อุ้มองค์ชายไปวางบนเตียง! ถังเหยียนรีบไปตามหมอหลวง!” จิ่งกงกงตะโกนสั่งเสียงสั่นในที่สุดข่าวก็ส่งไปถึงหย่งหมิงฮ่องเต้ พระองค์รีบโปรดให้หมอหลวงมารักษาชีวิตทั้งสองไว้ เพราะถึงอย่างไร อี้เฉินก็ยังเป็นพระโอรส ส่วนเจียงหลีก็เป็นบุตรสาวของขุนนางเอกทว่าตำหนักเหมันต์คืนนี้...เลือดแดงนองพื้นหินเป็นธาร ความสัมพันธ์ขององค์ชายสามกับเจียงหลี พังทลายจนสิ้นซาก แม้หมอหลวงจะยื้อชีวิตทั้งคู่ไว้ได้ แต่…อี้เฉินสูญสิ้นความเป็นชายไปชั่วชีวิต ส่วนเจียงหลีที่ถูกทุบตีจนแท้งและบอบช้ำทั้งกายใจ ก็กลายเป็นคนเสียสติ ไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกต่อไปตำหนักเหมันต์ที่เคยหรูหราสง่างาม บัดนี้กลับกลายเป็นคุกขังมืดหม่น หลังจากถูกปิดตายมาหลายเดือน เพียงสิบกว่าวันหลังเหตุการณ์คืนโลหิต บรรยากาศยิ่งหดหู่และอึมครึมราวถูกคำสาป กลิ่นคาวเลือดแม้จางไปแล้ว แต่ยังแทรกอยู่ในทุกอณูอากาศ ราวจะตอกย้ำให้ผู้ที่อยู่ภายในไม่อาจลืมเหตุการณ์อำมหิตคืนนั้นคืนที่องค์ชายสามทุบตีพ
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
กาลล่วงเลยไปอีกสองเดือน...หลังเหตุการณ์ปราบกบฏและการประหารใหญ่จบสิ้น บ้านเมืองเสวียนหยางกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ถนนหนทางคลาคล่ำด้วยผู้คน เสียงหาบเร่ของพ่อค้าแม่ค้าดังก้องเป็นสัญญาณแห่งความมั่นคง ผู้คนต่างเอ่ยขอบคุณสวรรค์ที่บัลลังก์มังกรยังตั้งมั่น ปราศจากภัยร้ายคุกคามภายในตำหนักกวางผิง แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านม่านโปร่ง กลีบเหมยสีแดงสดร่วงโปรยแต่งแต้มพื้นหินให้ดูราวภาพวาด ชินอ๋องกับชินหวางเฟยกำลังจัดเตรียมสัมภาระด้วยตนเอง เตรียมเสด็จกลับสู่แคว้นเจียงหนานตามที่ตั้งใจไว้สวีเจียงหลัวนั่งคัดเลือกผ้าผืนงามด้วยดวงตาสงบนิ่ง บ่าวไพร่ขะมักเขม้นยกหีบสมบัติลงเกวียนอย่างขยันขันแข็ง แต่เพียงไม่นาน สีหน้าของนางพลันซีดเผือด ร่างอรชรทรงลงพิงโต๊ะ ข้าวของในมือร่วงกระจาย“ต้าหลัว!” ไป๋อี้หานตวัดกายเข้าประคองทันที แววตาคมดุจเพลิงสะท้อนความตระหนกขันทีรีบส่งเสียงตะโกน “ตามหมอหลวงมาเร็ว!”บรรยากาศทั้งเรือนตึงเครียดในพริบตา สิ่งอวิ๋นกับสืออวี่คุกเข่าหน้าซีดเผือดราวจะขาดใจ รอคอยด้วยลมหายใจอันสั่นไหว เสี่ยวผิงกับเสี่ยวจิ่ววิ่งวุ่นไปมาราวไร้ทิศทาง กระทั่งหมอหลวงผู้เฒ่าเร่งรุดเข้ามา จับชีพจรตรวจอย่างละเอียด
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ยามเขาขยับเร่งเร้า สายน้ำพลันแตกกระจายสูงขึ้นราวฝนซัด นางไม่อาจทรงกายได้อีกต่อไป ต้องโอบรอบแผ่นหลังแข็งแรงไว้แน่น ความอบอุ่นและแรงปรารถนาที่โถมทับเข้ามาทำให้ทุกสิ่งรอบกายเลือนหาย มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นถี่รัวเป็นหนึ่งเดียวเวลาล่วงไปไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด กว่าคลื่นน้ำจะสงบ ร่างบางก็อ่อนแรงแทบหมดสิ้น ได้แต่เอนพิงอกกว้าง หอบหายใจถี่แผ่ว ดวงตาคมกริบ ที่มักเย็นเยียบพลันพราวระยับด้วยหยาดน้ำใสไป๋อี้หานประคองเรือนร่างในอ้อมแขน กดจุมพิตเบา ๆ บนหน้าผากชื้นเหงื่อ เสียงทุ้มพร่ากระซิบใกล้หู“ต้าหลัว…มีเพียงเจ้าที่ทำให้ข้าสูญสิ้นการควบคุมเช่นนี้”เจียงหลัวปรือตามองเขาอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้าขาวนวลแดงซ่าน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทั้งอับอายทั้งอบอุ่นท่ามกลางไอหมอกขาวและน้ำอุ่นที่คลอเคลีย สองร่างยังโอบกอดกันแนบแน่น กระทั่งเสียงหยดน้ำจากเพดานก็คล้ายกลายเป็นทำนองกล่อมที่ปิดฉากค่ำคืนในอ่างหิน…ปิดฉากอันใดกัน!ยามที่เจียงหลัวถูกอุ้มขึ้นจากอ่าง ร่างของนางช่างเบาราวขนนกในอ้อมแขนกำยำ เสื้อคลุมน้ำตาลอ่อนเพียงพาดหลวม ๆ มิอาจปกปิดผิวขาวผ่องที่เปล่งประกายยามต้องแสงตะเกียง แต่เพียงสบตากับสามี นางก็รู้






