[2]
ห้ามใจไม่ให้รักเธอ ____________________ ตะวันขึ้นตรงศีรษะตอนที่ชลกรจอดรถภายในลานจอดของโรงแรมแห่งหนึ่ง ริมชายหาดสัตหีบจังหวัดชลบุรี มันเป็นโรงแรมมีชื่อทีเดียว และภาวนาขอให้มีห้องว่างสักห้องตอนฤดูท่องเที่ยวเช่นนี้ เขาจำต้องกลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้งเมื่อแสงแดดที่แผดเหนือหัวกำลังจะย่างสดให้ผิวขาวๆ แห้งกรอบ ปรายรุ้งขยับกายยุกยิกแล้วปรือตาขึ้นมาพอดี หล่อนคงง่วงเอามากๆ เพราะไม่ตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดการเดินทาง “โอ...เจ้าหญิงนิทราฟื้นแล้ว” เขาแซวแล้วยิ้มขบขัน หยิบกระดาษเช็ดหน้าที่อยู่หน้ารถมาซับที่มุมปากของแม่นักศึกษาสาว ท่ามกลางการปัดป้องด้วยงัวเงียของหล่อน “อะไรของคุณ ไม่เอา” ปฏิเสธกระดาษเนื้อนุ่มแล้วลุกนั่งดีๆ หลังจากที่เอนหลังหลับสบายไปหลายตื่น “เอาไปเถอะน่า ยัยซกมกเอ๊ย นอนน้ำลายยืด” “ว่าไงนะ!?” ปรายรุ้งรีบหากระจกมาส่องดูสภาพหนังหน้า แล้วดวงตาสาวเจ้าก็ได้เบิกโตเมื่อเห็นร่องรอยของน้ำลายไหลย้อยที่ชลกรว่า “หึๆ ไม่ทันละ ฉันเห็นความทุเรศของเธอหมดแล้ว ฮ่าๆๆ” “อ๊าย! อีตาบ้าเอ๊ย! ทำไมไม่ปลุกฉัน!” ปรายรุ้งหน้าเง้าหน้างอ อยากฆ่าคนที่ได้เห็นตัวเองนอนน้ำลายยืด เขาน่าจะปลุกเธอบ้าง สะกิดกันหน่อยก็ยังดี “เอาน่า เรื่องธรรมชาติ แล้วนี่...ไม่ตกใจบ้างเหรอ นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ นะ” เขาท้วงเพราะหล่อนไม่มีวี่แววว่าจะตกใจเลยสักนิดที่ตื่นมาในที่ที่ไม่ใช่เมืองกรุงฯ “ต้องตกใจทำไม นี่ถิ่นฉัน โรงแรมนี่ฉันก็เห็นมาตั้งแต่เกิด” “หมายความว่าไง?” “ก็แถวนี้บ้านเกิดฉัน คุณเช็คอินยังเนี่ย” “ยัง เพิ่งมาถึง เข้าเช็คอินเลยไหม ค้างสักคืน ฉลองสอบเสร็จ” แนะแล้วยิ้มจนตาหยี เรื่องกินเรื่องเที่ยวขอให้บอก ชลกรถนัดครับ “ไม่ เปลืองตังค์ นอนบ้านฉันดีกว่า ขับรถไปตามถนนด้านหลังโรงแรม เลียบหาดไปสามกิโลฯ ก็ถึงแล้ว หมู่บ้านชาวประมงน่ะ” “หือ? น่าสนุก” เขาเอ่ยแล้วเริ่มสตาร์ตรถ ในขณะที่หญิงสาวเริ่มเก็บข้าวของที่ทิ้งไว้ในรถเขาตั้งแต่เมื่อเช้า สลับกับบอกทางเขาเป็นระยะ ที่นี่คือบ้านเกิดของปรายรุ้ง บ้านเกิดที่มีความทรงจำแสนเศร้าเหลือเกิน ____________________ บนถนนที่มีต้นมะพร้าวสูงชะลูดปลูกไว้เป็นแนวยาว คือสถานที่ที่ชลกรจอดรถเก๋งคันโก้ของเอาไว้ บ้านหลังไม่ใหญ่ไม่โตที่สร้างอยู่ริมหาดคือบ้านที่ปรายรุ้งบอกว่าคือบ้านของตัวเอง มันไร้ความสวยงามใดๆ และคงจะพังแน่ๆ หากว่าพายุเข้าสักลูกสองลูกในเร็ววันนี้ ตัวบ้านสร้างจากไม้เก่าๆ หลังคาสังกะสี มีหน้าต่างอยู่หลายบาน แต่ที่น่าสยองก็คือเสาบ้านทุกต้นมันจุ่มลงไปในน้ำทะเล เสายาวๆ ผอมๆ ของมันชวนให้เขาไม่มั่นใจว่าบ้านหลังนี้จะสามารถรับน้ำหนักผู้อยู่อาศัยได้ “เดินไปสิคุณ” ปรายรุ้งบอกขณะถอดรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่แล้วก้าวขึ้นไปบนสะพานไม้โกโรโกโสที่ทอดลงไปในทะเล มันเชื่อมบ้านหลังน้อยของเธอไว้กับผืนดิน บ้านเก่าลงไปมากโข แต่ยังนับว่าดูดีเมื่อเทียบกับอายุของมัน “เธอเคยอยู่ที่นี่เหรอ” “อาฮะ ตอนเด็กๆ ก็วิ่งไล่จับปูลมแถวนี้แหละ พอโตขึ้นมาหน่อยก็หาของไปขายให้กับชาวต่างชาติ พวกนักท่องเที่ยวน่ะ สนุกดี ได้เงินด้วย” “ความจนเป็นเรื่องสนุกเหรอ” เขาถามอีก ไม่ได้มีเจตนาประชด แต่มันอดไม่ได้ ปรายรุ้งดูมีความสุขทั้งที่มันมิใช่วิสัยของเด็ก ตอนเด็กเขายังสนุกอยู่กับการเล่นรถบังคับด้วยซ้ำ ไม่รู้เลยว่าการหาเงินเป็นอย่างไร แม้ตอนนี้ทำงานแล้ว แต่ก็ยังถือว่าสบายกว่าคนอื่นๆ “ไม่หรอก ความจนไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เราหาความสุขจากมันได้ เอ่อ...คุณกลัวไหม” ถามแล้วหันมามองคนที่เดินตามมา เขาตามมาห่างๆ ค่อยๆ เกาะเสาสะพานไม้มาเรื่อยๆ สะพานมันแคบและสูงมาก เขาคงจะกลัวกระมัง ปรายรุ้งหอบข้าวของตัวเองรวมทั้งรองเท้าไว้ด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวายื่นไปหาคนที่เดินตามหลังมา “มานี่มา จับมือฉันไว้ ไม่รู้จะกลัวอะไรสิน่า” “กลัวมันหักน่ะสิ” ตอบแล้วยื่นมือมากุมมือหญิงสาว วินาทีแรกที่ฝ่ามือทั้งสองสัมผัสกัน ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปถึงหัวใจ ปรายรุ้งหน้าแดง ในขณะที่ชลกรรู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจับมือผู้หญิง แต่มันไม่เหมือนครั้งนี้ มีบางอย่างกระทำต่อหัวใจเขา บางอย่างที่ส่งตรงมาจากมือบางของปรายรุ้งและสองตาประหม่าเขินของหล่อน “เดินสิคุณ จะโดนตากแห้งอยู่แล้ว” เอ่ยแก้เก้อแล้วดึงให้เขาเดินตามมา ชายชราวัยห้าสิบปลายๆ เดินออกมาเมียงมองที่หน้าประตูบ้าน แล้วท่านก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของปรายรุ้งชัดๆ “ยัยปราย!” “พ่อ! คิดถึง!!” ปรายรุ้งปล่อยมือชลกรในทันที เขาหาที่เกาะแทบไม่ทัน เกือบจะร่วงลงไปในทะเลแล้ว สองพ่อลูกโผกอดกันด้วยความคิดถึง ประดับ ปิ่นประดับ ยิ้มไม่หุบ การพบเจอบุตรสาวที่เข้าไปใช้ชีวิตในเมืองกรุงฯ โดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้ท่านอดตื่นเต้นไม่ได้ “เอ็งมาได้ยังไงฮึ ไม่ต้องเรียนหนังสือเหรอ” ดันร่างบุตรสาวออกแล้วถามไถ่ความเป็นไป “สอบตัวสุดท้ายแล้วจ้า เลยแวะมาหาพ่อก่อน” ลูกสาวคนดียิ้มสวย ผู้เป็นบิดาพยักหน้าเข้าใจ ลูบหัวลูกอีกสองสามที แล้วก็ได้เห็นว่าบุตรสาวไม่ได้มาคนเดียว “เฮ้ย! นี่เอ็งมีผัวแล้วเหรอ” “ไม่ใช่จ้ะพ่อ! ไม่ใช่! เขาเป็น...เอ่อ...” ปรายรุ้งจนใจเมื่อไม่รู้จะจัดชลกรไว้ในสถานะไหนสำหรับตัวเองบทส่งท้าย___________ทรายทองนั่งป้อนข้าวสองแฝด ในตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมา นิคยืนอยู่ไม่ไกล รอรับคำสั่งเจ้านายอย่างเอลฟ์ตัวยักษ์ผู้ภักดีอยู่เช่นเดิม ผิดก็แต่ช่วงนี้ เอลฟ์ตัวยักษ์มักเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างมาภักดีต่อคุณหนูตัวแสบแสนซนอยู่บ่อยๆ แน่ละ สองแฝดน่ารักและน่าเอ็นดูเหลือเกิน“โอย...สายๆๆ สายแล้วที่รัก” เขาบ่นขณะเดินรีบๆ มาหาภรรยากับลูก ก้มลงหอมแก้มสองแฝดแรงๆ ลูกน้อยที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ ก่อนจะหันมาจุมพิตภรรยาที่ข้างขมับ“รีบก็ไปสิคะ เดี๋ยวรถติดนะคุณเอื้อ”อังเดรพยักหน้า ก็อยากจะไปละนะแต่ว่า...“อะไรคะ” ถามสามีเพราะเขาก้มลงมาใกล้เธอแล้วแบมือขออะไรสักอย่าง“ก็ตังค์ไปทำงานไง”ทรายทองทำหน้ายุ่ง “ให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนทุกวันไงคะ” บอกเหมือนรำคาญ ก็แหม...สามีที่รักทำเหมือนจำวันสำคัญวันนี้ไม่ได้นี่นา“แต่มันไม่พอนี่ที่รัก” ก้มลงมากระซิบอีก อายเจ้านิคเกินจะกล่าวยามต้องแบมือขอเงินภรรยา“โอ๊ยคุณเอื้อ จะเอาอะไรนักหนาคะ อาหารการกินทรายก็สั่งเลขาจัดให้แล้ว แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะ แถมที่ให้ไปก็ตั้งเยอะ” บ่นอย่างงอนๆ“สองร้อยเนี่ยนะที่รัก!” อังเดรร้องออกมาอย่างสุดจะทน ได้ยินเสีย
คนถูกทักสะดุ้งโหยงรีบซ่อนถุงยางอนามัยกับเข็มไว้ข้างหลัง สองตามองไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ปรายรุ้งโผล่แค่ส่วนหน้ากับไหล่ขาวๆ ออกมานิดหน่อยแต่ช่างยั่วคนมองสิ้นดี“อ่า...ก็...หะ...หา หากรรไกรตัดเล็บไง”“หรือคะ...ฉันถูหลังไม่ถึง มาถูให้หน่อยสิ” คนสวยมียั่ว คนถูกยั่วหูผึ่ง “อ๊ะๆ หยิบถุงยางมาด้วยสิคะที่รัก”“จ้า...ไม่ลืมจ้าไม่ลืม หึๆๆ” บอกว่าไม่ลืมแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทว่าปรายรุ้งไม่ทันได้สังเกต เพราะเพียงแค่ชลกรถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า หญิงสาวก็ลืมไปแล้วว่าการถูหลังมันคืออะไร_____________สองเดือนต่อมางานเลี้ยงครบรอบการแต่งงานของทรายทอง ถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์อัชวินอย่างเป็นกันเองที่สุด ทว่าแขกที่มาร่วมงานก็ยังต้องแต่งตัวสวยแบบว่าผูกเนกไทใส่สูท ทั้งสหายและญาติๆ ของครอบครัวอัชวินและครอบครัววัฒนากูร ต่างถูกเชิญมางานเลี้ยงอย่างอบอุ่น งานเลี้ยงแบบที่มีการเปิดฟลอร์เต้นรำจึงดูหรูหราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในงานต่างมีรอยยิ้มพร่างพราย ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามและพรั่งพร้อมอย่างที่สุด สองแฝดของทรายทองถูกพาเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม ทั้งสองหลับสนิทรา
“เป็นอะไรไปคะ แค่จะมีน้องต้องงอนพ่อแม่ด้วยเหรอ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ” ทรายทองติงสามี ไม่ได้เอ่ยอย่างตำหนิมากมาย แค่อยากให้เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ คนเราไม่สามารถบงการทุกอย่างได้หรอกคนถูกติงถอนหายใจอีกครั้ง สองตาทอดมองออกไปยังชายหาด สองแขนโอบเอวภรรยาไว้แน่น“ก็ห่วงนี่นา แม่ไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็ห้าสิบแล้ว มันอันตราย ฉันเคืองพ่อด้วย อะไรจะฟิตขนาดนั้น”“โธ่คุณเอื้อ พวกเขาก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ดีๆ นี่เอง อย่าไปงอนพวกเขามากเลย ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ให้พวกเขาได้อยู่ดูแลกันไปอย่างมีความสุขเถอะ อีกอย่างน่ะ มีเด็กเยอะๆ ครอบครัวจะได้อบอุ่นไม่ใช่หรือคะ”“มีปัญหาตั้งมากกับการมีลูกในตอนอายุเยอะแล้ว” เขายังท้วงติงไม่เลิก“งั้นคุณก็ช่วยพ่อคุณดูแลแม่สิคะ เราอาจต้องมีหมอประจำบ้านที่เป็นหมอสูติก็คราวนี้แหละ ยิ่งอายุเยอะยิ่งอันตราย แต่ถ้าเรารู้วิธีดูแลแก้ไข มันก็ไม่น่าห่วงไม่ใช่หรือคะ แม่คุณไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ มันเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน แต่มันเป็นความผิดที่งดงามเหลือเกินคุณเอื้อ มันเป็นเรื่องดี แทนที่จะงอนพวกเขา ทรายว่ามาเอาใจช่วยพวกเขาดีกว่านะคะ”อังเดรกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก ทรา
[20]กรงขังผีเสื้อ_________“พี่ทราย...พี่คะ!”ทรายทองสะดุ้งโหยง กะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงมืออุ่นของน้องสาวที่จับมือตนอยู่“เอ่อ...ขอโทษที มันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ตอบออกไปแล้วเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง อังเดรเดินเข้ามาหาเธอ วางมือบนไหล่บางอย่างต้องการให้กำลังใจปรายรุ้งยิ้มให้พี่สาว “บอกหนูหน่อย ทำไมพี่ไปอยู่กับคนอื่น ทำไมไม่อยู่กับหนูคะ แล้วทำไมแม่ต้องบอกว่าพี่ตายแล้ว”“เรื่องมันยาวน่ะปราย แต่ว่า มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่สองผัวเมียที่มีลูกไม่ได้ มาเจอพี่ เห็นพี่แล้วคงนึกเอ็นดูเลยขอไปเลี้ยง พ่อแม่เอง ก็คงอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีละมั้ง ก็แค่นั่นแหละ”“หรือคะ ดีจัง...แม่เคยเล่าว่าตอนหนูเด็กๆ บ้านเราจนมากๆ เพิ่งพอมีใช้บ้างตอนที่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง แล้วพี่ละคะ พี่เป็นยังไงบ้าง”“ก็สบายดี คนฐานะดีย่อมเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีอย่างใจพวกเขา เสียก็แต่พวกท่านอายุสั้นไปหน่อย”ปรายรุ้งพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่ได้บทสรุป“แล้วทำไมพี่ไม่มาหาเราบ้าง”“เพราะว่า เอ่อ...เรื่องมันยาวไงปราย คร้านจะเล่า เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทรายทองปฏิเสธ เงยหน้ามองสามีก็เห็นเขามองลงมาอย่
สองสาวต่างกอดกันแล้วร่ำไห้ ทรายทองรู้สึกเหมือนว่าความลับที่แบกมานานได้ถูกทำลายให้สูญสลายไป ด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำของน้องสาว ส่วนปรายรุ้งนั้นสุดแสนจะดีใจ ดีใจยิ่งกว่าถูกบอกรักจากชลกรเสียอีก“พี่ทราย พี่รู้ไหมว่าหนูดีใจแค่ไหน...ฮึกๆ ในที่สุดพี่ก็เป็นพี่สาวหนูจริงๆ ฮึกๆ”“อือ...แกอย่าร้องสิ ร้องทำไม เลยทำให้ฉันร้องด้วย” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง สองบุรุษที่ยืนดูอยู่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งอังเดรและชลกรต่างรู้ว่าสองสตรีรักกันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่กลายมาเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วอังเดรยังข้องใจ เหตุใดทรายทองถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ปรายรุ้งรู้ตั้งแต่แรกปรายรุ้งผละจากการกอดพี่สาว“พี่ปิดบังหนูทำไม ทำไมไม่บอกล่ะ”“มัน...ไม่มีจังหวะน่ะ” ทรายทองแก้ต่างไปเรื่อย เธอกลัวต่างหาก กลัวความจริง ไม่อยากให้ปรายรุ้งต้องเจ็บปวดไปกับตัวเอง“ทำไมละคะ ทำไมพี่ถึงไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่กับพ่อแม่ ทำไม”ปรายรุ้งถามรัวๆ นั่งถามพี่สาวจริงจัง ไม่หวั่นแม้ว่าใต้เข่าของตัวเองจะเป็นเม็ดทราย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังมีอยู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจจะเช็ดมันแล้วนัยน์ตาของตาทรายทองไ
“ฉันจะใส่”“ไม่เอา อายเขา เอารองเท้าคุณคืนไปนะตาบ้า ฮ่าๆๆ” เธอหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ มองเท้าเขาแล้วขำแรง เหมือนเอารองเท้าเด็กมาสวมให้ช้างอะไรอย่างนั้น“ใส่เถอะน่า ถ้าฉันใส่แล้วเธอหัวเราะ ฉันจะใส่มันให้เธอดูทุกวันเลย”“โอ๊ย...คุณโช...แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว...” บอกเขาแล้วเกาะแขนประจบ เอาแก้มถูๆ ต้นแขนเขาเหมือนอย่างที่เคยเห็นทรายทองทำกับอังเดร“ก็อยากให้รักมากๆ นี่นา เอาละ เราจะไปซื้อรองเท้าหรือว่าจะขึ้นไปหาพี่สาวเธอก่อนดี”“ไปซื้อรองเท้าค่า อย่าไปห่วงพี่ทรายเลย สามีนางมาค่ะ เราเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน”“ดีจริง...เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า...หึๆ”“อย่านะคุณโช ไม่ต้องเลย” บอกเขาอย่างนั้นแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สุดท้ายก็โดนชลกรลากแขนไปขึ้นรถ และไม่ได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีก แม้ว่าจะถึงเวลาที่ทรายทองต้องกลับบ้านก็ตาม___________หลายเดือนต่อมากลิ่นน้ำทะเลเค็มๆ ลอยมาปะทะประสาทรับกลิ่นของทรายทองอย่างจัง ทว่านั่นไม่ทำให้คุณแม่มือใหม่สนใจมันได้เท่ามะม่วงเปรี้ยวในตะกร้าที่แม่ค้าหิ้วมาขาย ลูกชายฝาแฝดของเธอตอนนี้อายุได้สิบเดือนแล้ว และกำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่กับบิดาของแกและนิค น้ำทะเลตอนบ่ายคล้อยเริ