ติ๊ง!!
เสียงข้อความเข้า เรียกความสนใจของทรายทอง หญิงสาวยกสมาร์ตโฟนขึ้นดู สลับกับใบหน้าเขา และสมาร์ตที่เขาถืออยู่ ดูเหมือนว่าเขากำลังโอนเงินให้กัน
“สำหรับเมื่อเช้า และเพิ่มให้อีกหน่อยเป็นค่าอารมณ์ของเธอ ฉันซื้ออารมณ์บูดๆ นั่น ทิ้งมันซะ อย่าพามันไปหาลูกค้าของฉันเลย” เขาเอ่ยอย่างจริงจังในอย่างหลัง เพราะไม่ต้องการให้คู่ค้าที่กำลังจะไปพบ ต้องเผชิญกับอารมณ์บูดๆ ของคู่ควงเขา การสละทรัพย์อันน้อยนิดเพื่อแลกกับทรัพย์ก้อนใหญ่จึงเป็นสิ่งที่เขาควรทำอย่างยิ่ง
“คิดว่าเงินนี่จะฟาดหัวฉันได้หรือยะ”
“อย่าคิดแบบนั้นสิ มีเลขศูนย์ตั้งห้าหกตัวนะ”
“เชอะ! ฉันไม่เอาหรอก” เบะปากใส่เขาอย่างอวดดี
“แน่ใจเหรอ เอาไปต่อทุนได้นะ”
“ไม่!” ยืนยันเสียงกร้าวแกร่ง แต่แอบเหล่มองตัวเลขในข้อความแวบหนึ่ง
“โอเค...ไม่ก็ไม่ งั้นโอนคืนมา”
“เอาก็ได้!” ทรายทองรีบเอ่ย อารมณ์ดีขึ้นมาห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะนอกจากค่าเสื้อผ้าที่ยังเหลือแล้ว เธอยังมีทุนสำหรับการไปคลายเครียดที่บ่อนก้อนใหญ่ๆ
“หายอารมณ์บูดหรือยัง”
“หายแล้วค่า” ตอบเขาชัดๆ เอียงร่างไปแนบชิดต้นแขนกำยำที่อยู่ใต้เชิ้ตเนื้อดี ซุกใบหน้าเข้าหาต้นแขนเขา ถูไถเบาๆ เหมือนแมวน้อยกำลังอ้อนเจ้าของ
นิคเหลือบมองไปด้านหลังก็ต้องอมยิ้ม ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของอังเดร แม้ว่ามันจะบางเบาก็ตาม และเมื่อบังเอิญสานสบสายตากับผู้เป็นนาย ก็ต้องรีบเบนสายตากลับมายังท้องถนนเช่นเดิม
“ฉันซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง เผื่อเธออยากไปอยู่”
“บ้านหรือกรงคะ รู้ทันน่า”
คนสวยยอกย้อนพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ อังเดรได้แต่ส่ายหน้าระอา
“บ้านก็บ้านสิ ฉันจะแวะไปหาบ่อยๆ”
“บ้านทรายก็เปิดต้อนรับคุณเสมอ ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยละคะ”
“เธอนั่นแหละทำให้มันยุ่งยาก”
หญิงสาวส่ายหน้าบ้าง
“ไม่อยากคุยเรื่องนี้ คุยทีไรก็ทะเลาะกัน ทรายเบื่อ”
“ฉันก็เบื่อ” เขาโต้กลับอย่างระอาเหลือ “จอดข้างหน้าทีนิค ลงไปซื้อยาที่ว่านั่นด้วย” เขาหมายถึงยาบางอย่างที่ได้โทรคุยกับนิคแล้วทางโทรศัพท์ ตั้งแต่ตอนที่สั่งให้นิคเอารถมารอที่หน้าบ้านของทรายทอง
นิคจอดรถแล้วลงไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับซองกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือ เขาส่งมันให้เจ้านายที่อยู่เบาะหลัง แล้วเริ่มขับรถต่อ สองมือแกร่งบังคับพวงมาลัยให้มันแล่นไปตามทางที่ใช้แล่นออกนอกเมือง
“นั่นน้ำ” เขาชี้ไปยังขวดน้ำที่เสียบอยู่ตรงบาร์เล็กๆ ภายในห้องโดยสาร “นี่ยา กินซะ เธอจะได้ปลอดภัยจากการมีเด็ก”
อารมณ์บูดๆ ของทรายทองกลับมาอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอกัดฟันแน่นแล้วดึงเอาห่อยามาแกะดู อ่านสรรพคุณบนฉลากเสร็จก็แกะมันออกจากสิ่งห่อหุ้ม กำมันไว้ในมือ ก่อนจะขว้างออกไปทางหน้าต่าง
ฟิ้ว...
“นี่เธอ!?”
อังเดรไม่รู้จะพูดอย่างไรกับสถานการณ์นี้ มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้
“นั่นมันยาคุมแบบฉุกเฉิน และฉันจะไม่กินหรอกนะในเมื่อมันไม่สามารถป้องกันอะไรๆ ได้แล้ว กินไปมดลูกก็พังเปล่าๆ”
“พูดอะไรของเธอ”
“ก็ยานั่นต้องกินภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งฉันรู้ดีว่าไม่สามารถเอาวันเวลาที่ผ่านไปแล้วกลับมาได้ค่ะอังเดร”
“เรียกฉันว่าเอื้อ!” เขาท้วงจริงจัง ไม่ชอบเวลาที่หล่อนเรียกเขาด้วยชื่อนั้น มันเหมือนจะผลักเขาให้กลายเป็นคนอื่น และที่สำคัญกว่านั้น หล่อนแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ อีกแล้ว
ทรายทองเม้มปากแน่น พยายามไม่โกรธมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะความโกรธของอังเดรทำหน้าที่แทนความโกรธของเธอไปแล้ว เธอต้องสงบสติอารมณ์และใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ทรายไม่กินค่ะ มันไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าคุณโชคดี เขาคงจะไม่มาเกิดกับทรายหรอกค่ะ”
“แล้วถ้าฉันโชคร้ายล่ะ” เขาถามห้วนๆ
คราวนี้ทรายทองนั่งเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ไม่อยากคิดว่าการที่เธอมีลูกขึ้นมาจะกลายเป็นความโชคร้ายของเขา ไม่อยากให้เด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องมีมลทิน
“ถ้าคุณไม่ต้องการมีความสัมพันธ์อย่างปกติกับเด็กคนหนึ่งที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณ ทรายก็จะไม่ทำให้มันเป็นปัญหา คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ ทรายรู้ดีว่าการเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการน่ะ มันทรมานแค่ไหน”
“เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก! ไม่มีวัน!”
ทรายทองตกใจเมื่อจู่ๆ อารมณ์อันเกรี้ยวกราดมาปะทุอยู่ข้างตัวเธอ อังเดรเหมือนจะโกรธที่เธอบังอาจพูดถึงความทรมานนั้น เขากล่าวหาว่าเธอไม่เข้าใจมัน ทั้งๆ ที่เธอรู้จักความรู้สึกนั้นดี แล้วดูเขาสิ จ้องมาตาขวางขุ่น จะโกรธอะไรนักหนา
“อารมณ์คุณขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งกว่าพวกผู้หญิงซะอีก”
เธอเตือนสติเขาด้วยสติที่ยังมีของตัวเอง
อังเดรขยับกายอย่างอึดอัด หลับตาลงไปชั่วนาทีแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ มองไปยังร่างบอบบางของทรายทองที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ฉันเกลียดการแต่งงาน ไม่ใช่เพราะฉันไม่เคยรักใคร แต่เพราะฉันมั่นใจว่าการแต่งงานจะทำให้มีเด็กเกิดขึ้น และฉัน...เกลียด!”
เขาประกาศเสียงดังฟังชัด ทรายทองไม่เข้าใจ ก็แค่เด็ก เขาจะเกลียดอะไรนักหนา หรือเป็นเพราะเด็กนั่นอาจจะเกิดจากแม่อย่างเธออย่างนั้นหรือ
“อย่าทำเป็นลืมสิคะว่าครั้งหนึ่งคุณก็เคยเป็นคนที่คุณเกลียด”
“ใช่ไง และฉันยิ่งเกลียดที่มันเป็นอย่างนั้น”
“คุณมันบ้า!” เธอร้องใส่หน้าเขา หันหน้าหนี เปิดกระเป๋าใบเก่งแล้วหาขวดวิสกี้เล็กๆ ในนั้นมาจิบเบาๆ แต่ยังไม่เบาพอให้อังเดรทำเป็นว่าไม่ได้ยิน
บทส่งท้าย___________ทรายทองนั่งป้อนข้าวสองแฝด ในตอนที่อังเดรเดินลงบันไดมา นิคยืนอยู่ไม่ไกล รอรับคำสั่งเจ้านายอย่างเอลฟ์ตัวยักษ์ผู้ภักดีอยู่เช่นเดิม ผิดก็แต่ช่วงนี้ เอลฟ์ตัวยักษ์มักเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างมาภักดีต่อคุณหนูตัวแสบแสนซนอยู่บ่อยๆ แน่ละ สองแฝดน่ารักและน่าเอ็นดูเหลือเกิน“โอย...สายๆๆ สายแล้วที่รัก” เขาบ่นขณะเดินรีบๆ มาหาภรรยากับลูก ก้มลงหอมแก้มสองแฝดแรงๆ ลูกน้อยที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ ก่อนจะหันมาจุมพิตภรรยาที่ข้างขมับ“รีบก็ไปสิคะ เดี๋ยวรถติดนะคุณเอื้อ”อังเดรพยักหน้า ก็อยากจะไปละนะแต่ว่า...“อะไรคะ” ถามสามีเพราะเขาก้มลงมาใกล้เธอแล้วแบมือขออะไรสักอย่าง“ก็ตังค์ไปทำงานไง”ทรายทองทำหน้ายุ่ง “ให้แล้ว วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนทุกวันไงคะ” บอกเหมือนรำคาญ ก็แหม...สามีที่รักทำเหมือนจำวันสำคัญวันนี้ไม่ได้นี่นา“แต่มันไม่พอนี่ที่รัก” ก้มลงมากระซิบอีก อายเจ้านิคเกินจะกล่าวยามต้องแบมือขอเงินภรรยา“โอ๊ยคุณเอื้อ จะเอาอะไรนักหนาคะ อาหารการกินทรายก็สั่งเลขาจัดให้แล้ว แทบไม่ต้องซื้ออะไรเลยนะ แถมที่ให้ไปก็ตั้งเยอะ” บ่นอย่างงอนๆ“สองร้อยเนี่ยนะที่รัก!” อังเดรร้องออกมาอย่างสุดจะทน ได้ยินเสีย
คนถูกทักสะดุ้งโหยงรีบซ่อนถุงยางอนามัยกับเข็มไว้ข้างหลัง สองตามองไปที่หน้าประตูห้องน้ำ ปรายรุ้งโผล่แค่ส่วนหน้ากับไหล่ขาวๆ ออกมานิดหน่อยแต่ช่างยั่วคนมองสิ้นดี“อ่า...ก็...หะ...หา หากรรไกรตัดเล็บไง”“หรือคะ...ฉันถูหลังไม่ถึง มาถูให้หน่อยสิ” คนสวยมียั่ว คนถูกยั่วหูผึ่ง “อ๊ะๆ หยิบถุงยางมาด้วยสิคะที่รัก”“จ้า...ไม่ลืมจ้าไม่ลืม หึๆๆ” บอกว่าไม่ลืมแต่น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ทว่าปรายรุ้งไม่ทันได้สังเกต เพราะเพียงแค่ชลกรถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาในห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า หญิงสาวก็ลืมไปแล้วว่าการถูหลังมันคืออะไร_____________สองเดือนต่อมางานเลี้ยงครบรอบการแต่งงานของทรายทอง ถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์อัชวินอย่างเป็นกันเองที่สุด ทว่าแขกที่มาร่วมงานก็ยังต้องแต่งตัวสวยแบบว่าผูกเนกไทใส่สูท ทั้งสหายและญาติๆ ของครอบครัวอัชวินและครอบครัววัฒนากูร ต่างถูกเชิญมางานเลี้ยงอย่างอบอุ่น งานเลี้ยงแบบที่มีการเปิดฟลอร์เต้นรำจึงดูหรูหราอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในงานต่างมีรอยยิ้มพร่างพราย ซุ้มอาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้อย่างสวยงามและพรั่งพร้อมอย่างที่สุด สองแฝดของทรายทองถูกพาเข้านอนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม ทั้งสองหลับสนิทรา
“เป็นอะไรไปคะ แค่จะมีน้องต้องงอนพ่อแม่ด้วยเหรอ ไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ” ทรายทองติงสามี ไม่ได้เอ่ยอย่างตำหนิมากมาย แค่อยากให้เขาเข้าใจว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ คนเราไม่สามารถบงการทุกอย่างได้หรอกคนถูกติงถอนหายใจอีกครั้ง สองตาทอดมองออกไปยังชายหาด สองแขนโอบเอวภรรยาไว้แน่น“ก็ห่วงนี่นา แม่ไม่ใช่สาวรุ่นแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็ห้าสิบแล้ว มันอันตราย ฉันเคืองพ่อด้วย อะไรจะฟิตขนาดนั้น”“โธ่คุณเอื้อ พวกเขาก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ดีๆ นี่เอง อย่าไปงอนพวกเขามากเลย ชีวิตคนเรามันสั้นนะคะ ให้พวกเขาได้อยู่ดูแลกันไปอย่างมีความสุขเถอะ อีกอย่างน่ะ มีเด็กเยอะๆ ครอบครัวจะได้อบอุ่นไม่ใช่หรือคะ”“มีปัญหาตั้งมากกับการมีลูกในตอนอายุเยอะแล้ว” เขายังท้วงติงไม่เลิก“งั้นคุณก็ช่วยพ่อคุณดูแลแม่สิคะ เราอาจต้องมีหมอประจำบ้านที่เป็นหมอสูติก็คราวนี้แหละ ยิ่งอายุเยอะยิ่งอันตราย แต่ถ้าเรารู้วิธีดูแลแก้ไข มันก็ไม่น่าห่วงไม่ใช่หรือคะ แม่คุณไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ มันเป็นความผิดพลาดเหมือนกัน แต่มันเป็นความผิดที่งดงามเหลือเกินคุณเอื้อ มันเป็นเรื่องดี แทนที่จะงอนพวกเขา ทรายว่ามาเอาใจช่วยพวกเขาดีกว่านะคะ”อังเดรกอดภรรยาแน่นขึ้นไปอีก ทรา
[20]กรงขังผีเสื้อ_________“พี่ทราย...พี่คะ!”ทรายทองสะดุ้งโหยง กะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงมืออุ่นของน้องสาวที่จับมือตนอยู่“เอ่อ...ขอโทษที มันแค่คิดอะไรเพลินๆ น่ะ” ตอบออกไปแล้วเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง อังเดรเดินเข้ามาหาเธอ วางมือบนไหล่บางอย่างต้องการให้กำลังใจปรายรุ้งยิ้มให้พี่สาว “บอกหนูหน่อย ทำไมพี่ไปอยู่กับคนอื่น ทำไมไม่อยู่กับหนูคะ แล้วทำไมแม่ต้องบอกว่าพี่ตายแล้ว”“เรื่องมันยาวน่ะปราย แต่ว่า มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่สองผัวเมียที่มีลูกไม่ได้ มาเจอพี่ เห็นพี่แล้วคงนึกเอ็นดูเลยขอไปเลี้ยง พ่อแม่เอง ก็คงอยากให้ลูกมีความเป็นอยู่ที่ดีละมั้ง ก็แค่นั่นแหละ”“หรือคะ ดีจัง...แม่เคยเล่าว่าตอนหนูเด็กๆ บ้านเราจนมากๆ เพิ่งพอมีใช้บ้างตอนที่พ่อมีเรือเป็นของตัวเอง แล้วพี่ละคะ พี่เป็นยังไงบ้าง”“ก็สบายดี คนฐานะดีย่อมเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งได้ดีอย่างใจพวกเขา เสียก็แต่พวกท่านอายุสั้นไปหน่อย”ปรายรุ้งพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายข้อที่ยังไม่ได้บทสรุป“แล้วทำไมพี่ไม่มาหาเราบ้าง”“เพราะว่า เอ่อ...เรื่องมันยาวไงปราย คร้านจะเล่า เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน” ทรายทองปฏิเสธ เงยหน้ามองสามีก็เห็นเขามองลงมาอย่
สองสาวต่างกอดกันแล้วร่ำไห้ ทรายทองรู้สึกเหมือนว่าความลับที่แบกมานานได้ถูกทำลายให้สูญสลายไป ด้วยคำถามเพียงไม่กี่คำของน้องสาว ส่วนปรายรุ้งนั้นสุดแสนจะดีใจ ดีใจยิ่งกว่าถูกบอกรักจากชลกรเสียอีก“พี่ทราย พี่รู้ไหมว่าหนูดีใจแค่ไหน...ฮึกๆ ในที่สุดพี่ก็เป็นพี่สาวหนูจริงๆ ฮึกๆ”“อือ...แกอย่าร้องสิ ร้องทำไม เลยทำให้ฉันร้องด้วย” ว่าพลางปาดน้ำตาป้อยๆ รอยยิ้มแห่งความยินดีปรากฏบนใบหน้าของทั้งสอง สองบุรุษที่ยืนดูอยู่ อดยิ้มออกมาไม่ได้ทั้งอังเดรและชลกรต่างรู้ว่าสองสตรีรักกันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องดีที่ทั้งคู่กลายมาเป็นพี่น้องกันจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วอังเดรยังข้องใจ เหตุใดทรายทองถึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ปรายรุ้งรู้ตั้งแต่แรกปรายรุ้งผละจากการกอดพี่สาว“พี่ปิดบังหนูทำไม ทำไมไม่บอกล่ะ”“มัน...ไม่มีจังหวะน่ะ” ทรายทองแก้ต่างไปเรื่อย เธอกลัวต่างหาก กลัวความจริง ไม่อยากให้ปรายรุ้งต้องเจ็บปวดไปกับตัวเอง“ทำไมละคะ ทำไมพี่ถึงไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่กับพ่อแม่ ทำไม”ปรายรุ้งถามรัวๆ นั่งถามพี่สาวจริงจัง ไม่หวั่นแม้ว่าใต้เข่าของตัวเองจะเป็นเม็ดทราย หยดน้ำตาบนใบหน้ายังมีอยู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจจะเช็ดมันแล้วนัยน์ตาของตาทรายทองไ
“ฉันจะใส่”“ไม่เอา อายเขา เอารองเท้าคุณคืนไปนะตาบ้า ฮ่าๆๆ” เธอหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ มองเท้าเขาแล้วขำแรง เหมือนเอารองเท้าเด็กมาสวมให้ช้างอะไรอย่างนั้น“ใส่เถอะน่า ถ้าฉันใส่แล้วเธอหัวเราะ ฉันจะใส่มันให้เธอดูทุกวันเลย”“โอ๊ย...คุณโช...แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว...” บอกเขาแล้วเกาะแขนประจบ เอาแก้มถูๆ ต้นแขนเขาเหมือนอย่างที่เคยเห็นทรายทองทำกับอังเดร“ก็อยากให้รักมากๆ นี่นา เอาละ เราจะไปซื้อรองเท้าหรือว่าจะขึ้นไปหาพี่สาวเธอก่อนดี”“ไปซื้อรองเท้าค่า อย่าไปห่วงพี่ทรายเลย สามีนางมาค่ะ เราเข้าไปก็เป็นส่วนเกิน”“ดีจริง...เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า...หึๆ”“อย่านะคุณโช ไม่ต้องเลย” บอกเขาอย่างนั้นแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สุดท้ายก็โดนชลกรลากแขนไปขึ้นรถ และไม่ได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีก แม้ว่าจะถึงเวลาที่ทรายทองต้องกลับบ้านก็ตาม___________หลายเดือนต่อมากลิ่นน้ำทะเลเค็มๆ ลอยมาปะทะประสาทรับกลิ่นของทรายทองอย่างจัง ทว่านั่นไม่ทำให้คุณแม่มือใหม่สนใจมันได้เท่ามะม่วงเปรี้ยวในตะกร้าที่แม่ค้าหิ้วมาขาย ลูกชายฝาแฝดของเธอตอนนี้อายุได้สิบเดือนแล้ว และกำลังนั่งเล่นกองทรายอยู่กับบิดาของแกและนิค น้ำทะเลตอนบ่ายคล้อยเริ