Masuk
“โง่ที่สุด... โง่มาก... โง่เง่าเป็นบ้า!”
เหม่ยฉีสบถซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เคียดแค้นสาหัสซึมลึกถึงก้นบึ้งจิตใจนาง แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าริมฝีปากสั่นระริก มือกำหมัดแน่น นางโกรธจนหน้าแดงก่ำไปหมด
“หมายถึงใครเจ้าคะ? คุณหนูไม่พอใจใคร ข้าจะไปลากคอพวกนางมาลงโทษให้คุณหนูสบายใจ”
“จะใครเล่า! นักเขียนบ้านี่ไง วางพล็อตเรื่องมาซะดิบดี นางเอกฉลาดชะมัด รู้มันทุกเรื่อง รู้ไปหมดทุกอย่าง เรื่องแค่นี้กลับไม่รู้ ทำไมไม่รู้...” ปลายเสียงหายลงคอแห้งผากไป เมื่อดวงตาทั้งสองมองเห็นชัดเจนว่าคนที่นางกำลังคุยด้วยเป็นใครก็หาได้รู้ไม่ “พวกเจ้าเป็นใคร!? ทะ... ที่นี่... ที่ไหน?”
เหม่ยฉีหน้าตะลึงลาน เบิกตามองหญิงสาวในวัยไล่เลี่ยกับนาง ทั้งสองสวมชุดสีครีมอ่อน มีเครื่องประดับน้อยชิ้น คลับคล้ายคลับคลาสาวใช้ในยุคโบราณ ด้านหลังของพวกนางมีเครื่องเรือนไม้ ลมพัดอ่อนเย็นสบายผ่านบานหน้าต่างเข้ามา แน่นอนว่าไม่ใช่หน้าต่างห้องนอนในตึกสูงระฟ้า!
“คุณหนูรองจำพวกข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
สาวใช้มองหน้ากันอย่างงุนงง คุณหนูรองทำหน้าเหมือนเห็นผี อยู่ดี ๆ นางก็ลุกพรวดจากฟูก วิ่งโวยวายไปทั่วเรือน ‘นี่มันที่ไหน! ข้าฝัน ฝันไปแล้ว!’
คุณหนูในชุดขาวสะอาดไม่ทันได้รับขันน้ำเพื่อล้างหน้าบ้วนปาก แต่งตัวสวยงาม เกล้าผมด้วยปิ่นทองอย่างพิถีพิถัน อาหารเช้าอันควรละเมียดละไมชิม โดยเฉพาะผักปลาเพื่อสุขภาพ คุณหนูรองมีนิสัยจุกจิก รักสวยรักงามยิ่งกว่าใครในเรือนหมอหลวง นางมักดูแลสุขภาพผิวพรรณให้งดงามอยู่เสมอ ผิวของนางผ่องขาวดั่งหิมะ ไม่มีแม้รอยแผลเป็น ทุกรุ่งเช้านางจะยืนหน้าคันฉ่อง ชื่นชมแก้มแดงปลั่งมีเส้นเลือดฝาดจาง ๆ
รับรองว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่! ใครเล่าจะอยากโดนลงโทษในวันอากาศสดชื่นแจ่มใสเช่นนี้
เรือนกว้างขวางเกิดเสียงดังราวเสียงกลอง ล้วนเป็นเสียงฝีเท้าของคุณหนูรองและบ่าวรับใช้ บ่าวหญิงชายเข้าไปไถ่ถามว่าคุณหนูรองต้องการสิ่งใด มีอะไรให้รับใช้หรือไม่ นางตั้งคำถามแปลก ๆ ตะคอกใส่พวกเขา
เรื่องคุณหนูรองล้มป่วย แถมตื่นนอนมาก็เสียสติไปแล้วถึงหูบิดา นางทำหน้าตาประหลาด คะยั้นคะยอถามว่าพวกเขาเป็นใคร ทว่านางกลับเรียกขานบ่าวรับใช้ได้ถูกต้อง ไม่มีคนไหนที่นางจำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
อาการปวดขมับทำให้เหม่ยฉีหยุดยืนอยู่กับที่ ความทรงจำเจ้าของร่างแล่นไหลเข้ามาในหัวนาง พลันหันไปกระจกบานหนึ่งในห้องรับรองแขก
“เยว่ฉี!”
‘สตรีผู้ถือตำราลับสกุลหยาง’
นิยายที่นางกำลังอ่าน!
นางเอกของเรื่องเป็นบุตรีหมอหลวงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงอันมั่งคั่ง กำลังทหารเข้มแข็ง ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิผู้มีคุณธรรมกว่าทุกแว่นแคว้น ชาวประชาอยู่ดีกินดี เป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุด
อย่ากระนั้นเลย ขนาดว่าบ้านเมืองสุขสงบแล้วการแพทย์เป็นหนึ่งในใต้หล้า ตัวละครเอกของเรื่องคือหมอหลวง ‘ไท่ซือจิ่ว’ ได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอเทวดา ฝีมือเก่งฉกาจเสียจนเป็นที่ถูกใจของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ ว่ากันว่าไม่มียาตำรับใดที่เขาไม่สามารถปรุงมันขึ้นมา
ครั้งหนึ่ง ฮองเฮาองค์ก่อนเกือบถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยยาพิษของแคว้นศัตรู ไม่ว่าหมอคนไหนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไร้หนทางแก้ แต่เมื่อมาถึงมือหมอหลวงผู้นี้ ฮองเฮากลับรอดชีวิตราวปาฏิหาริย์
ไท่ซือจิ่วได้ถ่ายทอดวิชาการปรุงยาให้กับบุตรสาวด้วย เยว่ฉีเป็นหมอสตรีคนแรกในต้าเหลียง นางมุ่งมั่นอยู่กับการทำงานในโรงปรุงยา
“ก็ต้องเป็นนางนั่นแหละ ห้องนอนข้าไม่ใหญ่ขนาดนี้!”
แม้แต่ภาษาที่พลั้งปากพูดดันเป็นหญิงโบราณไปเสียอย่างนั้น เหม่ยฉีส่ายหน้ามองเรือนกว้างขวางแบ่งแยกเป็นสัดส่วน ตกแต่งด้วยของมีค่าสมฐานะผู้ดี เรือนไม้แยกย่อยที่ล้อมลานทั้งสี่ทิศ ต้นไม้เขียวชอุ่ม มีป่าไผ่ด้านหน้าเรือนรับรองแขกในทิศอุดร สวนน้ำตกประดับด้วยหินนิลหายาก บ่อปลาซึ่งรวมทั้งบ่อแล้วต่อให้นางตรากตรำทำงานครึ่งชีวิตก็คงไม่มีปัญญาจะซื้อแม้ปลาสักตัว
ที่นี่ไม่ต่างจากพระราชวังขนาดย่อม ด้วยความที่เป็นทั้งบ้านพักอาศัยและโรงปรุงยา ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้สร้างโรงยาขนาดใหญ่ใกล้กับวังหลวง เพื่อราชวงศ์และขุนนางทั้งหลายจะได้รับรักษาอย่างทันท่วงทียามป่วยไข้
หลังสำรวจพื้นที่โดยรอบในระยะเวลาอันสั้น โดยไร้บ่าวรับใช้ซึ่งพาลหวาดกลัวนางจนไปหาที่หลบซ่อนตัวในเรือน นางเหงื่อท่วมโทรมกาย พบชายร่างสูงใหญ่เดินผ่านไปไว ๆ ทางชะลอมไม้ไผ่สำหรับตากสมุนไพรวางเรียงราย
นางขยับจมูดตามกลิ่นอบอวลของใบไม้ที่ถูกต้มและเผา ชะโงกคอมองเรือนไม้สำหรับปรุงยา มีทั้งบ่าวรับใช้และผู้มาศึกษาวิชายา ได้ยินพวกเขาเรียก ‘ท่านหมอหลวงขอรับ’ ต่างคนเข้าไปช่วยงานเจ้าของเรือนอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนสวมชุดสีขาว
“ลูกสาว... เจ้าควรรับสมุนไพรบำรุงร่างกายเสียหน่อย... ข้าได้ยินเรื่องแปลก ๆ จากบ่าวรับใช้ในเรือน”
“ทะ... ท่าน!” นางชี้หน้าบุรุษร่างสูงโปร่งในชุดขาว อายุราว ๆ สามสิบกว่าปี ไม่สิ! กลิ่นยาตลบขนาดนี้ก็ต้องเป็นท่านหมอหลวง แล้วเขาเรียกนางลูกสาว หมอหลวงไท่ซือจิ่วอายุสี่สิบสามปี “หน้าเด็กชะมัด! ท่านหมออายุสี่สามปีจริงหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าจำอายุบิดาไม่ได้รึไง หรือว่าเจ้าดื่มยาผิดขนานจนสติเลอะเลือนไปแล้ว ไหน... มาให้ข้าดู อาการเจ้าเป็นยังไงบ้าง? ลูกสาว”
นางฝันไปแน่ ๆ เป็นความฝัน!
เหม่ยฉีกลับมามีสีหน้านิ่งเรียบ หันไปทางเครื่องชาม แทนที่จะหยิกตนเองให้ตื่น นางพุ่งไปคว้ามันแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ เขวี้ยงจานไปสองสามใบ
เพล้ง! เพล้ง!
“สามสหายแห่งเหมันต์[1]ฤดูของข้า! นั่นชามพระราชทานเชียวนะ ลูกสาว เจ้าทำอะไร? เจ้าเสียสติไปแล้ว!”
“ไท่ซือจิ่ว!”
“เจ้าไม่เรียกข้าท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อรึ!?”
หากเป็นบุตรสาวของไท่ซือจิ่ว ก็คงไม่ฝันแน่นอน เหม่ยฉีอ้าปากค้าง เข้าไปกอดบิดาผู้ซึ่งนางพานพบเป็นคราแรก “ขอโทษที่ทำให้ท่านพ่อตกใจ ลูกสาวจะทำงานชดใช้ให้”
“เรื่องเล็กน้อย ของนอกกายไม่สำคัญเท่าลูกสาวข้าหรอก เจ้ามีสติดีแล้วใช่ไหม?”
เหม่ยฉีพยักหน้า...
ใครเล่าจะคิดว่านอนอ่านนิยายในคอนโดมิเนียม นั่งด่านักเขียนอยู่ดี ๆ ดันหลุดเข้ามาเป็นตัวละครที่นางด่าทอสารพัดว่าโง่ นักเขียนก็โง่เง่าไม่แพ้กัน
-------------
[1] ซุ่ยหานซานโหย่ว (岁寒三友) ประกอบด้วยต้นไม้สามชนิด ต้นสน (松, sōng) ต้นไผ่ (竹, zhú) และต้นบ๊วย (梅, méi)
มารดาหลอกเด็กน้อยเพื่อไม่ให้พวกเขาแตกกลุ่ม เด็ก ๆ กอดกันตัวกลมในอ้อมแขนผู้เฒ่าชรา ในกระท่อมมืดแคบท่ามกลางกองฝุ่นควันอันที่จริงมนุษย์น่ากลัวกว่าปีศาจเสียอีก...เมื่อค่ำวานนี้สมรภูมิเลือดในหนานไห่ หัวหน้ากลุ่มโจรหัวรุนแรงอาวุธครบมือถูกจับกุมแล้วส่งตัวถวายต่อองค์ฮ่องเต้เพื่อรับโทษทัณฑ์ หลังจากที่แม่ทัพเจี้ยนหยู่เข้าช่วยเหลือชาวหนานไห่อย่างทันท่วงที แต่เขายังคงมีคำถามในใจ...ไยผู้เฒ่าชราแต่งนิทานหลอกเด็กน้อย ใครเป็นผู้กุเรื่องภูตผีปีศาจเป็นคนแรกน่าขันสิ้นดี! เวลาปีศาจสูบวิญญาณจากเหยื่อน่ะ เหลือเพียงหนังติดกระดูก เบ้าตากลวงโบ๋ ไม่เสียเวลาฉีกแขนขาเพื่อความบันเทิงหรอกพลทหารใต้บังคับบัญชาไม่มีผู้ใดกล้ามองครึ่งอสรพิษสูบวิญญาณจากเหยื่อ แม้แต่ทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพตงฟาง ทหารหนุ่มอายุสามสิบห้าปี มู่หยางอายุสี่สิบกว่าปี ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาไม่เคยเชื่อเรื่องปีศาจอสรพิษที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกักขังเอาไว้ทำศึก กระทั่งได้พบด้วยสองตาตนในวันผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน‘...มายืนจ้องข้ากินอาหาร จะกินอิ่มท้องหรือไม่?’เจี้ยนหยู่เคยเอ่ยไล่ทหารผู้อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง จากนั้นทั้
ณ เมืองหนานไห่ เสียงดินปืนดังสนั่นสร้างความโกลาหล ประชาชนแตกตื่นวิ่งไปคนละทิศทาง เมื่อชนเผ่าเร่ร่อนบุกปล้นสังหารกลางตลาดร้านค้าอย่างไร้ความกลัวเกรง โจรชั่วครอบครองอาวุธและกระทำการอุกอาจกลางวันแสก ๆ แม้รู้ดีกว่าเมืองหนานไห่เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของต้าเหลียงหญิงสาวถูกลากพาตัวไปด้วยเงื้อมมืออมนุษย์ กระชากดึงผ้าโพกศีรษะมามัดมืออุดปากพวกนาง ใช้กำลังเข้าข่มเหงจนไร้หนทางสู้ในกระท่อมคับแคบอัตคัดทางการหนานไห่และต้าเหลียงสืบทราบมาว่าไม่ใช่ชนเผ่าเร่ร่อนทั่วไป เป็นกลุ่มนักโทษฉกรรจ์อาวุธครบมือทั้งปืนใหญ่และระเบิด มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองที่เพิ่งสิ้นสุดไปไม่นานจากแคว้นสวี ชายฉกรรจ์นับร้อยไปเข้าพรรคพวกกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเจิ้นจู้[1]โจรชั่วช้าสามานย์เจ็ดคนส่งเสียงหัวเราะ พวกมันใช้มือสกปรกกดศีรษะบุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีครามให้คุกเข่าลงเจ้าเมืองถูกจับเป็นตัวประกัน ‘รุ่ยยี่เหยา’ ถูกปลายกระบี่พาดคอรอให้ยอมจำนน ทว่าเขากลับเสียงหัวเราะ เหลือกตามองผู้บุกรุกอย่างเคียดแค้น “มีโอกาสให้หนี ก็รีบไป พวกเจ้าเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ”“โอ้... ใครช่างแต่งนิทานหลอกเด็ก ในกลุ่มของพวกข้า ปล้นฆ่ามานับ
เดินเลาะเรือนทิศอุดรถัดจากโรงปรุงยาไปก็ถึงเรือนหลังใหญ่ร่มรื่น รายล้อมด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน แม้เล็กกว่าเรือนท่านหมอหลวง ทว่าแบ่งแยกเป็นสัดส่วนเหม่ยฉีเดินตามเสียงชื่นชม ‘น่ารักน่าชัง’ เข้าไปถึงด้านในเรือนไม้กว้างขวาง ครอบครัวใหญ่อาศัยร่วมกัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน เสียงทารกหัวเราะให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวย นางเข้าไปในห้องนอนซึ่งกลายเป็นสถานที่คลอดบุตร“น่ารักจริง ๆ ขอให้เจ้าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย อวี้ซือ อวี้ซิน” นางเอ่ยชมทารกอวบอ้วน ผิวขาวผุดผ่องดั่งหยก หยอกล้อทารกน้อยฝาแฝด ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มป่อง ๆ ของทั้งสองเล่นทีละคนสายตาเอ็นดูนับสิบคู่จ้องมองเด็กน้อย หันไปถามเยว่ฉีเมื่อไรจะมีบุตรให้บิดาอุ้ม นางตอบพวกเขา “ว่าแต่ข้าเมื่อไรจะมีบุตร ข้ายังไม่มีสามีเลยเจ้าค่ะ”ตามด้วยเสียงหัวเราะขบขันของครอบครัว พวกเขาพูดกับนางอย่างจริงจัง ไยไม่แต่งงานกับท่านผู้ตรวจการไปเสีย บุตรของนางและเขาจะต้องหน้าตาดีเหมือนบิดามารดาแน่นอน นางรีบบ่ายเบี่ยงประเด็นไป ส่งตะกร้ายาบำรุงผ่านมือบ่าวรับใช้“เยว่ฉี ข้าสามารถแนะนำผู้ดีให้เจ้า ลองออกไปเปิดหูเปิดตาในเมืองบ้าง เทพผู้เฒ่าจันทรามิอาจผูกด้ายแดงให้เจ้าได้ สามีเจ้าคงจะอยู
บิดาเรียกบุตรสาวเหม่ยฉี หากมีใครถามขึ้นมา เขาเพียงแก้ตัวว่าเป็นนามใหม่ ขนาดผู้คนในเมืองยังตั้งสมญานามผู้อื่นได้ พวกเขาเรียกสกุลหยางว่า ‘หยางเย่าฟาง’ [杨药坊][1] ยกให้เป็นห้องยาแห่งต้าเหลียง บิดาจะเปลี่ยนชื่อให้บุตรสาวบ้างจะเป็นไรไป อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรีของเขาอยู่วันยังค่ำท่านหมอไท่ซือจิ่วย้อนถามคนรอบกายว่า เหม่ยฉี เยว่ฉี มีความหมายถึงคำว่างาม ลูกสาวของเขาก็งามดุจนางฟ้านางสวรรค์จริงไหมเล่า?“ข้ามีเรื่องจะถามท่านพ่อ...” ร่างบางในชุดขาวนั่งอยู่ข้างบิดาหน้าเตาปรุงยา นางเอาถั่วมานั่งกินหนึ่งหยิบมือ “เรื่องตำราผสานจิตใจ ท่านพอจะรู้หรือไม่? ข้าจำไม่ได้ชัดเจนนัก”“ไม่รู้”บิดาไม่บอกนางต่างหาก! เหม่ยฉีมองค้อนเสื้อขาวสะอาดผ่านแผ่นหลังกว้างไป บิดาลุกขึ้นหนีนางไปหยิบสมุนไพรตากแดดด้านหลังมาหย่อนใส่หม้อต้ม มือพัดควันพวยพุ่งขึ้นฟ้าเปิดโล่ง“เจ้าจะจับผิดอะไรข้าอีก เหม่ยฉี ข้าบอกไม่รู้ก็คือไม่รู้” เขาเอ่ยพลางชำเลืองมองบุตรสาว นางเปิดประตูเข้า ๆ ออก ๆ ชะโงกหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียด บิดาทำเมินเฉยกับบุตรสาวราวกับว่านางไม่มีตัวตน‘คอยดูเถิด ข้าต้องรู้ความจริงให้ได้!’ นางหรี่ตาเล็กจนเป็นเส้นตรง เด
สตรีผู้เดียวในต้าเหลียง สำคัญที่สุดสำหรับแม่ทัพเจี้ยนหยู่คือคุณหนูเยว่ นางเป็นจุดอ่อนของเขา การมีอยู่ของเขาในฐานะแม่ทัพก็เพื่อปกป้องนาง แต่ดูเข้าสิ... ท่านแม่ทัพจะมาจะไป นางเคยสนใจเสียที่ไหน“ตอนเล็ก ๆ ข้าเคยพูดว่าจะตามติดเขาไปทุกที่เป็นวิญญาณร้าย ถ้าหากว่าเขาหนีข้าไป ดังนั้นข้าย่อมสำคัญที่สุด แม่ทัพเจี้ยนหยู่เป็นคนของข้า ข้าก็เป็นคนของเขาน่ะสิ” คุณหนูเอ่ยเรื่องในวันวานอย่างที่นางไม่เคยเปิดเผยกับใคร นางหัวเราะเสียงดังไปถึงข้างนอก บ่าวในเรือนสะดุ้ง เว้นเพียงซูหนี่ว์ซึ่งได้รับความเอ็นดู เพราะนางประจบประแจงเก่ง“ขอบใจเจ้าที่กล้าพูดออกมา ซูหนี่ว์ เด็กดี ข้าจะไม่ทำโทษเจ้า ข้าไว้ใจเจ้าที่สุดรู้ไหม? พวกเจ้าก็เอาอย่างซูหนี่ว์ อย่าขัดใจข้านะซิงอี ซีซวน”“เจ้าค่ะ!” สาวน้อยทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียง ซูหนี่ว์ขยับมาใกล้ ๆ คุณหนู“คุณหนูรองไว้ใจข้าแล้วต้องกินข้าวกินยาด้วยนะเจ้าคะ พวกข้าไม่อยากโดนท่านแม่ทัพดุ”“กินสิ...”อย่างไรนางก็ต้องกิน เพราะถ้านางไม่กินข้าวครบมื้อ ทั้งซูหนี่ว์และบ่าวรับใช้บ้านนี้คงถูกแม่ทัพคนดีตามมาเอาเรื่อง หลังจากที่เขาเสร็จธุระแน่นับตั้งแต่วันที่ออกจากบ้านเด็กกำพร้า นางก็ปา
กว่าเยว่ฉีจะรู้ตัวว่าหลงกลพวกงูลิ้นสองแฉกเข้าแล้ว คมกระบี่เย็บวาบพาดลงบนลำคอ บุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่ใต้แสงเทียนสลัวตะคอกนาง ‘ยาอะไร!?’การสังหารเด็กไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแม่ทัพปีศาจ หากไม่ติดว่าเขาดันนึกขึ้นได้ นางเป็นคนคนเดียวกับที่เคยพบในหอไท่หยาง เขาพอรู้ว่าเมื่อไรที่บิดาเลี้ยงเดี่ยวเข้ามาทำธุระในวังหลวง เด็กสาวตัวน้อยจะมุดช่องส่งอาหารเข้ามา นำขนมและยาสมุนไพรมาให้เขา นางเป็นบุตรีแพทย์หลวงผู้หนึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ เหตุใดแม่ทัพเจี้ยนหยู่ยอมให้เยว่ฉีจดบันทึกอาการโดยละเอียด แถมยอมดื่มยาต้มสมุนไพรผสมฝิ่น เป็นผู้ป่วยในความดูแลของนางอย่างว่าง่าย ฮ่องเต้อำมหิตก็เช่นกัน พอรู้ว่าคุณหนูเยว่ฉี บุตรีหมอหลวงกระทำผิดมหันต์ กลับถามความสมัครใจของนางว่าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่อาการผู้ป่วยเสพติดฝิ่นมักง่วงซึม สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ตัวซีดเหลือง ซูบผอม ดวงตาเหม่อลอย แต่เมื่อครึ่งปีศาจเสพติดสมุนไพรให้โทษเหล่านี้ กลับกลายเป็นกระปรี้กระเปร่า มีบ้างที่เขาจะปิดตานอนเกียจคร้าน ปวดหัวปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ปากซีดมือสั่น เขาอารมณ์แปรปรวนอย่างมนุษย์ กินอาหารมากขึ้น ช่วงนี้เขาก็มีอาการเช่นนั้น‘ระหว่างที่ข้







