Masukเหม่ยฉีนั่งมองคันฉ่องไม้ฉลุลายโบตั๋น หลังจากที่นางหลับไปสามคืนแล้วพบว่าตัวเองติดอยู่ในนิยายจริง ๆ ทุกรุ่งเช้ามีบ่าวรับใช้นำอ่างล้างหน้าเข้ามา สาวใช้คนสนิทอย่างซูหนี่ว์ช่วยแต่งตัวและเกล้าผมให้นางอย่างสวยงาม จากนั้นนางก็ขอบ่าวให้ยกอาหารมาลองหลายอย่าง อาหารเต็มโต๊ะ! ผิดจากที่ที่นางจากมา นางเจริญอาหาร ลิ้นรับรู้รสชาติเป็นอย่างดี นางขอสุรารสเลิศมาดื่มจนเมามาย ใช้ชีวิตอย่างสตรีร่ำรวยในยุคโบราณ
ทว่าในสถานที่ที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโลกโซเชียล นางถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นางไม่มีความสุขเท่าไรนัก
ที่นี่ไม่ใช่กรุงปักกิ่ง พูดถึงแคว้นเยียน[1]นั้นนางจำได้ว่าอยู่ไกลออกไปพอสมควร
ตัวเอกของเรื่องอาศัยในต้าเหลียง[2] มันจึงไม่มีกลิ่นอายบ้านเกิดเมืองนอนของนางแม้แต่น้อย เลวร้ายเสียยิ่งกว่าคือนางอาจอยู่เมืองที่ไม่มีกำแพงหมื่นลี้[3]ด้วยซ้ำไป
เหม่ยฉีตรงไปสำรวจลานกว้างด้านหน้าเรือนไม้ ต้นไม้รายล้อมรอบดูร่มรื่นสบายตา มีม้านั่งหินสำหรับจิบชาเป็นมุมรับรองแขก ถัดไปเป็นน้ำตกที่มีหินสีนิล ดูอย่างไรก็เป็นที่พำนักอาศัยของเศรษฐีใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่ใช้ประโยชน์มันอย่างคุ้มค่าก็ตาม
ครั้นนางนึกขึ้นได้ว่าเป็นนิยาย! จึงนั่งถอนหายใจบนม้านั่งหินอย่างสิ้นหวัง
จะไปสนใจอะไรเล่า มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปสิเหม่ยฉี!
ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของคุณหนูรองน่าเป็นกังวล สาวใช้คนสนิทเข้ามาปลอบประโลมนางด้วยขนมหน้าตาน่ารับประทาน นางหยิบขนมปั้นดอกเหมยฮวาเข้าปาก บอกทั้งสองว่านางไม่ออกไปข้างนอก หากมีธุระสำคัญจะเรียกเอง ไม่ต้องตามติดนางเป็นเงา
เหม่ยฉีกลับมาใช้ความคิดอีกครั้งหนึ่ง...
นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เอ่ยถึงฮ่องเต้ในราชวงศ์ไหน นักเขียนใช้วิธีการแต่งขึ้นใหม่ อิงกลิ่นอายของความเป็นนิยายโบราณ ยากที่นางจะใช้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์
นางรู้เพียงว่าคุณหนูรองตระกูลหยาง งามไม่แพ้สตรีใดในต้าเหลียง!
ในนิยายกล่าวถึงความงามของเยว่ฉี นางปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโต ขนตางอนงามเป็นแพ ผิวพรรณขาวผ่องมองเห็นเส้นเลือดฝาด ใบหน้าโฉบเฉี่ยวของนางแลดูร้ายกาจคล้ายจะฟาดหัวฟาดหางอยู่ตลอดเวลา ทว่านางกลับน่ารักใคร่เอ็นดูเสียจนบุรุษยากจะละวางตา
ตระกูลผู้มั่งมีล้วนอยากให้บุตรชายตบแต่งกับเยว่ฉี ใช่เพียงเพราะนางเป็นบุตรีหมอหลวง บิดามีอำนาจบาตรใหญ่ นางร่ำเรียนและคลุกคลีมากับวิชาปรุงยาตั้งแต่สิบขวบ นางมีประโยชน์ทั้งในทางอำนาจ ความรู้อันยากมีสตรีใดเทียบเทียม นางเป็นผู้ปรุงยาอายุวัฒนะให้ครอบครัวได้ นางเป็นหมอปรุงยามากฝีมือ หาตัวจับยากรองจากไท่ซือจิ่ว
นั่นเป็นเหตุให้นางสามารถเลือกคู่ครองของตน นางเป็นกรณีพิเศษของตระกูลและราชสำนัก ไม่ว่าใครก็เอาอกเอาใจนาง
เหม่ยฉีลุกจากม้านั่งหิน สวมชุดขาวสะอาดอย่างหมอหลวงในราชสำนัก ซึ่งนับได้ว่ามีสตรีน้อยคนนักจะได้รับพระราชทานอาภรณ์ เรือนผมดำขลับของนางประดับด้วยปิ่นทองและหยก นางใช้ฝีเท้าอย่างแมวย่อง เดินไปถึงด้านหลังเรือนนอน เปิดประตูไม้เข้าโรงปรุงยาเงียบเชียบ
น้ำลายสอในปากนาง ชะโงกคอหายาต้มกลิ่นขมในหม้อดินหลายใบ เตาไฟคุกรุ่นทำให้มันส่งกลิ่นหอมไปทั่ว นางเข้าไปยืนหน้าหม้อดินใบที่เจ็ด บิดาอยู่ซ้ายมือของนาง
หมอหลวงไท่ซือจิ่วดูไม่แก่ชรา ด้วยอายุวัยสี่สิบสามปี เขาหล่อเหลารูปร่างสูงโปร่ง แต่งตัวดีในชุดขาวสะอาด แม้เป็นพ่อม่ายลูกติด ภรรยาเสียชีวิตไปได้สิบห้าปีแล้ว
“กระหายสุราก็ไปขอจากบ่าวในโรงครัว โรงปรุงยาไม่ใช่สถานที่ร่ำสุรา” บิดาหลุบตามองหน้าตาระรื่นของบุตรสาวด้วยท่าทางไม่พอใจ คาดว่านางคงมาชิมยาในหม้อเหล่านี้แน่ นางเพ่งเล็งเฉพาะใบที่มีกลิ่นสุรา
“เกิดข้าถูกบ่าววางยาพิษขึ้นมาจะทำไง ทำไมข้าต้องไปดื่มสุราในโรงครัว ข้าชอบยาบำรุงผสมสุราของท่านพ่อมากกว่า ยาต้มของท่านบำรุงร่างกายได้ดี รสชาติถูกปากข้า”
“เจ้าว่าอร่อย... ดื่มเสียให้หมด”
บิดาส่งยาต้มให้บุตรสาวหนึ่งถ้วย เป็นยาบำรุงร่างกายทั่วไป นางรับไปเป่าลมแก้มกลมตุ่ย พอยาร้อน ๆ อุ่นขึ้น นางทำหน้าตาเหยเก ดื่มมันจนหมด หันไปสบแววตาคมกริบราวมีดพลางถาม “มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ยาต้มเหล่านี้มีส่วนผสมของสุรา ร่างกายจึงดูดซึมได้ง่ายขึ้น ประโยชน์ของสุราคือเพิ่มสรรพคุณของสมุนไพร ลดพิษและผลข้างเคียงของยา มีเพียงผู้ติดสุราเรื้อรังเท่านั้น จะได้รับการผสมยาต้มในอีกตำรับหนึ่ง”
“ข้าชอบนัก...”
“ชอบได้ แต่พอประมาณ”
บิดาหันมาว่ากล่าวตักเตือนนางเรื่องพฤติกรรมแปลกประหลาด พักหลังมานี้นางท่าทางอมทุกข์ ทั้งที่ไม่มีใครไปทำร้ายจิตใจนาง เก็บตัวอยู่แต่ในห้องและโรงปรุงยา นางหลับไปสองวัน ตื่นขึ้นมาโวยวายเหมือนคนเสียสติ นางฟังบิดาบ่นแล้วทำเป็นไม่สนใจ เบี่ยงประเด็นการสนทนา
“ท่านพ่อเจ้าคะ จะว่าไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในราชสำนัก สมุนไพรที่นำมาต้มอยู่ดี ๆ ก็เกิดเป็นพิษ ท่านถึงกับเดินทางไปตรวจดูสวนสมุนไพรด้วยตนเองว่าอะไรทำให้พวกมันเป็นพิษ”
----------
[1] ปักกิ่ง ในสมัยรณรัฐ (战国)เป็นเมืองหลวงของแคว้นเยียน
[2] ต้าเหลียง (大梁 Dàliáng) เทียบกับปัจจุบันประมาณแถบมณฑลเหอหนาน
[3] 长城 ฉาง เฉิง : กำแพงเมืองจีน
มารดาหลอกเด็กน้อยเพื่อไม่ให้พวกเขาแตกกลุ่ม เด็ก ๆ กอดกันตัวกลมในอ้อมแขนผู้เฒ่าชรา ในกระท่อมมืดแคบท่ามกลางกองฝุ่นควันอันที่จริงมนุษย์น่ากลัวกว่าปีศาจเสียอีก...เมื่อค่ำวานนี้สมรภูมิเลือดในหนานไห่ หัวหน้ากลุ่มโจรหัวรุนแรงอาวุธครบมือถูกจับกุมแล้วส่งตัวถวายต่อองค์ฮ่องเต้เพื่อรับโทษทัณฑ์ หลังจากที่แม่ทัพเจี้ยนหยู่เข้าช่วยเหลือชาวหนานไห่อย่างทันท่วงที แต่เขายังคงมีคำถามในใจ...ไยผู้เฒ่าชราแต่งนิทานหลอกเด็กน้อย ใครเป็นผู้กุเรื่องภูตผีปีศาจเป็นคนแรกน่าขันสิ้นดี! เวลาปีศาจสูบวิญญาณจากเหยื่อน่ะ เหลือเพียงหนังติดกระดูก เบ้าตากลวงโบ๋ ไม่เสียเวลาฉีกแขนขาเพื่อความบันเทิงหรอกพลทหารใต้บังคับบัญชาไม่มีผู้ใดกล้ามองครึ่งอสรพิษสูบวิญญาณจากเหยื่อ แม้แต่ทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพตงฟาง ทหารหนุ่มอายุสามสิบห้าปี มู่หยางอายุสี่สิบกว่าปี ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาไม่เคยเชื่อเรื่องปีศาจอสรพิษที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกักขังเอาไว้ทำศึก กระทั่งได้พบด้วยสองตาตนในวันผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน‘...มายืนจ้องข้ากินอาหาร จะกินอิ่มท้องหรือไม่?’เจี้ยนหยู่เคยเอ่ยไล่ทหารผู้อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง จากนั้นทั้
ณ เมืองหนานไห่ เสียงดินปืนดังสนั่นสร้างความโกลาหล ประชาชนแตกตื่นวิ่งไปคนละทิศทาง เมื่อชนเผ่าเร่ร่อนบุกปล้นสังหารกลางตลาดร้านค้าอย่างไร้ความกลัวเกรง โจรชั่วครอบครองอาวุธและกระทำการอุกอาจกลางวันแสก ๆ แม้รู้ดีกว่าเมืองหนานไห่เป็นหนึ่งในเขตการปกครองของต้าเหลียงหญิงสาวถูกลากพาตัวไปด้วยเงื้อมมืออมนุษย์ กระชากดึงผ้าโพกศีรษะมามัดมืออุดปากพวกนาง ใช้กำลังเข้าข่มเหงจนไร้หนทางสู้ในกระท่อมคับแคบอัตคัดทางการหนานไห่และต้าเหลียงสืบทราบมาว่าไม่ใช่ชนเผ่าเร่ร่อนทั่วไป เป็นกลุ่มนักโทษฉกรรจ์อาวุธครบมือทั้งปืนใหญ่และระเบิด มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมืองที่เพิ่งสิ้นสุดไปไม่นานจากแคว้นสวี ชายฉกรรจ์นับร้อยไปเข้าพรรคพวกกับกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเจิ้นจู้[1]โจรชั่วช้าสามานย์เจ็ดคนส่งเสียงหัวเราะ พวกมันใช้มือสกปรกกดศีรษะบุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีครามให้คุกเข่าลงเจ้าเมืองถูกจับเป็นตัวประกัน ‘รุ่ยยี่เหยา’ ถูกปลายกระบี่พาดคอรอให้ยอมจำนน ทว่าเขากลับเสียงหัวเราะ เหลือกตามองผู้บุกรุกอย่างเคียดแค้น “มีโอกาสให้หนี ก็รีบไป พวกเจ้าเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ”“โอ้... ใครช่างแต่งนิทานหลอกเด็ก ในกลุ่มของพวกข้า ปล้นฆ่ามานับ
เดินเลาะเรือนทิศอุดรถัดจากโรงปรุงยาไปก็ถึงเรือนหลังใหญ่ร่มรื่น รายล้อมด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน แม้เล็กกว่าเรือนท่านหมอหลวง ทว่าแบ่งแยกเป็นสัดส่วนเหม่ยฉีเดินตามเสียงชื่นชม ‘น่ารักน่าชัง’ เข้าไปถึงด้านในเรือนไม้กว้างขวาง ครอบครัวใหญ่อาศัยร่วมกัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน เสียงทารกหัวเราะให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวย นางเข้าไปในห้องนอนซึ่งกลายเป็นสถานที่คลอดบุตร“น่ารักจริง ๆ ขอให้เจ้าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย อวี้ซือ อวี้ซิน” นางเอ่ยชมทารกอวบอ้วน ผิวขาวผุดผ่องดั่งหยก หยอกล้อทารกน้อยฝาแฝด ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มป่อง ๆ ของทั้งสองเล่นทีละคนสายตาเอ็นดูนับสิบคู่จ้องมองเด็กน้อย หันไปถามเยว่ฉีเมื่อไรจะมีบุตรให้บิดาอุ้ม นางตอบพวกเขา “ว่าแต่ข้าเมื่อไรจะมีบุตร ข้ายังไม่มีสามีเลยเจ้าค่ะ”ตามด้วยเสียงหัวเราะขบขันของครอบครัว พวกเขาพูดกับนางอย่างจริงจัง ไยไม่แต่งงานกับท่านผู้ตรวจการไปเสีย บุตรของนางและเขาจะต้องหน้าตาดีเหมือนบิดามารดาแน่นอน นางรีบบ่ายเบี่ยงประเด็นไป ส่งตะกร้ายาบำรุงผ่านมือบ่าวรับใช้“เยว่ฉี ข้าสามารถแนะนำผู้ดีให้เจ้า ลองออกไปเปิดหูเปิดตาในเมืองบ้าง เทพผู้เฒ่าจันทรามิอาจผูกด้ายแดงให้เจ้าได้ สามีเจ้าคงจะอยู
บิดาเรียกบุตรสาวเหม่ยฉี หากมีใครถามขึ้นมา เขาเพียงแก้ตัวว่าเป็นนามใหม่ ขนาดผู้คนในเมืองยังตั้งสมญานามผู้อื่นได้ พวกเขาเรียกสกุลหยางว่า ‘หยางเย่าฟาง’ [杨药坊][1] ยกให้เป็นห้องยาแห่งต้าเหลียง บิดาจะเปลี่ยนชื่อให้บุตรสาวบ้างจะเป็นไรไป อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรีของเขาอยู่วันยังค่ำท่านหมอไท่ซือจิ่วย้อนถามคนรอบกายว่า เหม่ยฉี เยว่ฉี มีความหมายถึงคำว่างาม ลูกสาวของเขาก็งามดุจนางฟ้านางสวรรค์จริงไหมเล่า?“ข้ามีเรื่องจะถามท่านพ่อ...” ร่างบางในชุดขาวนั่งอยู่ข้างบิดาหน้าเตาปรุงยา นางเอาถั่วมานั่งกินหนึ่งหยิบมือ “เรื่องตำราผสานจิตใจ ท่านพอจะรู้หรือไม่? ข้าจำไม่ได้ชัดเจนนัก”“ไม่รู้”บิดาไม่บอกนางต่างหาก! เหม่ยฉีมองค้อนเสื้อขาวสะอาดผ่านแผ่นหลังกว้างไป บิดาลุกขึ้นหนีนางไปหยิบสมุนไพรตากแดดด้านหลังมาหย่อนใส่หม้อต้ม มือพัดควันพวยพุ่งขึ้นฟ้าเปิดโล่ง“เจ้าจะจับผิดอะไรข้าอีก เหม่ยฉี ข้าบอกไม่รู้ก็คือไม่รู้” เขาเอ่ยพลางชำเลืองมองบุตรสาว นางเปิดประตูเข้า ๆ ออก ๆ ชะโงกหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียด บิดาทำเมินเฉยกับบุตรสาวราวกับว่านางไม่มีตัวตน‘คอยดูเถิด ข้าต้องรู้ความจริงให้ได้!’ นางหรี่ตาเล็กจนเป็นเส้นตรง เด
สตรีผู้เดียวในต้าเหลียง สำคัญที่สุดสำหรับแม่ทัพเจี้ยนหยู่คือคุณหนูเยว่ นางเป็นจุดอ่อนของเขา การมีอยู่ของเขาในฐานะแม่ทัพก็เพื่อปกป้องนาง แต่ดูเข้าสิ... ท่านแม่ทัพจะมาจะไป นางเคยสนใจเสียที่ไหน“ตอนเล็ก ๆ ข้าเคยพูดว่าจะตามติดเขาไปทุกที่เป็นวิญญาณร้าย ถ้าหากว่าเขาหนีข้าไป ดังนั้นข้าย่อมสำคัญที่สุด แม่ทัพเจี้ยนหยู่เป็นคนของข้า ข้าก็เป็นคนของเขาน่ะสิ” คุณหนูเอ่ยเรื่องในวันวานอย่างที่นางไม่เคยเปิดเผยกับใคร นางหัวเราะเสียงดังไปถึงข้างนอก บ่าวในเรือนสะดุ้ง เว้นเพียงซูหนี่ว์ซึ่งได้รับความเอ็นดู เพราะนางประจบประแจงเก่ง“ขอบใจเจ้าที่กล้าพูดออกมา ซูหนี่ว์ เด็กดี ข้าจะไม่ทำโทษเจ้า ข้าไว้ใจเจ้าที่สุดรู้ไหม? พวกเจ้าก็เอาอย่างซูหนี่ว์ อย่าขัดใจข้านะซิงอี ซีซวน”“เจ้าค่ะ!” สาวน้อยทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียง ซูหนี่ว์ขยับมาใกล้ ๆ คุณหนู“คุณหนูรองไว้ใจข้าแล้วต้องกินข้าวกินยาด้วยนะเจ้าคะ พวกข้าไม่อยากโดนท่านแม่ทัพดุ”“กินสิ...”อย่างไรนางก็ต้องกิน เพราะถ้านางไม่กินข้าวครบมื้อ ทั้งซูหนี่ว์และบ่าวรับใช้บ้านนี้คงถูกแม่ทัพคนดีตามมาเอาเรื่อง หลังจากที่เขาเสร็จธุระแน่นับตั้งแต่วันที่ออกจากบ้านเด็กกำพร้า นางก็ปา
กว่าเยว่ฉีจะรู้ตัวว่าหลงกลพวกงูลิ้นสองแฉกเข้าแล้ว คมกระบี่เย็บวาบพาดลงบนลำคอ บุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่ใต้แสงเทียนสลัวตะคอกนาง ‘ยาอะไร!?’การสังหารเด็กไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแม่ทัพปีศาจ หากไม่ติดว่าเขาดันนึกขึ้นได้ นางเป็นคนคนเดียวกับที่เคยพบในหอไท่หยาง เขาพอรู้ว่าเมื่อไรที่บิดาเลี้ยงเดี่ยวเข้ามาทำธุระในวังหลวง เด็กสาวตัวน้อยจะมุดช่องส่งอาหารเข้ามา นำขนมและยาสมุนไพรมาให้เขา นางเป็นบุตรีแพทย์หลวงผู้หนึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ เหตุใดแม่ทัพเจี้ยนหยู่ยอมให้เยว่ฉีจดบันทึกอาการโดยละเอียด แถมยอมดื่มยาต้มสมุนไพรผสมฝิ่น เป็นผู้ป่วยในความดูแลของนางอย่างว่าง่าย ฮ่องเต้อำมหิตก็เช่นกัน พอรู้ว่าคุณหนูเยว่ฉี บุตรีหมอหลวงกระทำผิดมหันต์ กลับถามความสมัครใจของนางว่าจะรับหน้าที่นี้หรือไม่อาการผู้ป่วยเสพติดฝิ่นมักง่วงซึม สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ตัวซีดเหลือง ซูบผอม ดวงตาเหม่อลอย แต่เมื่อครึ่งปีศาจเสพติดสมุนไพรให้โทษเหล่านี้ กลับกลายเป็นกระปรี้กระเปร่า มีบ้างที่เขาจะปิดตานอนเกียจคร้าน ปวดหัวปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ปากซีดมือสั่น เขาอารมณ์แปรปรวนอย่างมนุษย์ กินอาหารมากขึ้น ช่วงนี้เขาก็มีอาการเช่นนั้น‘ระหว่างที่ข้







