ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ
“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี” “ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้” “ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย” “เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน “แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว” ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย “รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี” “ข้าไม่รู้” “เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม” ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ “เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก” “บอกข้าทำไม” ยิวพูดห้วนๆ “สิ้นซากนั้นรวมถึงองค์ชายด้วยไง” องค์ชายศิธาหัวเราะดังลั่น ด้วยความสะใจ เพราะเขาเก็บกดมานาน ด้วยอิจฉาริษยายิวที่ได้ใกล้ชิดแนบสนิทแม่ทัพวิศรุฒ ทั้งๆ ที่เขาและแม่ทัพวิศรุฒเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้แม่ทัพวิศรุฒได้สนใจแม้แต่น้อย “หมายความว่าอย่างไร” “ไม่ว่าผลสงครามจะเป็นเช่นไร พระองค์ก็จะไปดับสูญไม่เหลือซาก ในเมื่อจะตัดต้นไม้จะให้เหลือรากให้งอกขึ้นมาอีกทำไม” “พระองค์หมายความว่าจะประหารข้านั้นเหรอ” “ไม่น่าถาม” “ทำไมต้องประหารข้าด้วย ในเมื่อข้าก็ไม่มีอำนาจให้พระองค์ได้ยำเกรง มีแต่ตัวเปล่าๆ ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่มี” “ก็ข้าอยากให้องค์ชายได้ตาย เพราะองค์ชายได้รับความรัก เอ่อ” องค์ชายศิธานิ่งไปชั่วครู่ “รักอะไรข้าไม่เข้าใจ” “เปล่า ราษฎรขององค์ชายยังรักท่านอยู่ ขืนปล่อยไว้มีแต่เสียกับเสียสู้ขุดรากถอนโคนไม่ดีกว่าเหรอ” “โหดร้ายเกินไปแล้วกระมั้งองค์ศิธา” “ไม่หรอกองค์ชายเมธี ในช่วงเวลานี้ใครแข็งแกร่งคนนั้นอยู่ คนอ่อนแอก็แพ้ไป ในเมื่อองค์ชายสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนี้ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา” องค์ชายศิธาหันมามองอย่างเย้ยหยันในท่าที หลังจากนั้นองค์ชายเมธีหัวเราะดังลั่นก่อนหันหน้ากลับและกำลังจะเดินออกจากประตู่ห้องไป ยิวรู้สึกประหวั่นกลัวขึ้นมา เขาจึงคิดหาวิธีทางเอาตัวรอด จากเหตุการณ์นี้ให้ได้ สายตาวนมองรอบห้องพลันเห็นแจกันลายครามใบใหญ่ จึงหยิบขึ้นมาและไว้ด้านหลัง ฝีเท้าค่อยๆ ขยับถอยหลังทีละนิดพอองค์ชายศิธาเผลอ ยิวจึงยกแจกันฟาดไปที่ก้านคอ เพียงไม่กี่วินาทีองค์ชายศิธาก็สลบไปในทันใด ยิวพยายามรวบรวมสติรีบล็อคประตูทันที และเร่งเดินไปยังหน้าต่าง พอเปิดหน้าต่างได้กระโดดลงไปในทันใด “นั่นไงองค์ชายเมธีหนีไปแล้ว” ทหารนายหนึ่งตะโกนดังขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแจกันตกแตก เขาจึงพังประตูเข้ามาและเห็นองค์ชายศิธานอนสลบ แต่ในความจริงแล้วองค์ชายศิธาได้สิ้นพระชนม์ เพราะไปโดยจุดสำคัญและหัวล้มกระแทกพื้นจนแตก เลือดอาบนองกองกับพื้นแดงฉาดเต็มห้อง ยิวหันมามองแว่บหนึ่ง แล้ววิ่งต่อไปในทันทีเพื่อจะได้หนีให้พัน แต่แล้วความคิดนั้นกับฝีเท้าและฝีมือ ไม่ได้มีอยู่ในความสามารถของยิวแม้แต่น้อย เพียงวิ่งไปไม่นานเหล่าทหารนับร้อยชีวิตมารุมล้อมไว้ไม่ให้ยิวได้เร้นกายหายไปได้ “หนีไม่พ้นหรอกองค์ชายเมธี ทหารจับตัวไว้เอาไปท้องพระโรงให้ราชาศิลาตัดสินลงโทษ” องค์รักษ์นายหนึ่งพูดขึ้น ร่างกายของยิวยืนนิ่งเพราะเขารู้ตัวแล้วว่า ไม่สามารถที่จะหนีไปจากที่แห่งนี้ได้เลย เขาจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี พร้อมกับเดินอย่างหงอยไปยังท้องพระโรง เมื่อยิวมาถึงก็ได้เห็นหน้าราชาศิลาผู้เหี้ยมโหดครั้งแรก “เอ็งบังอาจฆ่าลูกของข้า” น้ำเสียงอันแข็งกร้าวและดุดันดังทั่วท้องพระโรง “ข้าไม่ได้ตั้งใจพระเจ้าค่ะ” “เอ็งไม่ต้องมาพูด นับจากวันนี้ไปจนแม่ทัพวิศรุฒรบชนะ นั่นคือวันตายของเอ็งองค์ชายเมธี ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันเอาไปให้พ้นหน้าข้า และให้ข้าวน้ำมันวันละมื้อจนกว่าจะถึงวันประหารชีวิตมัน” สภาพจิตใจตอนนี้ของยิวย่ำแย่และหวนคิดถึงแม่ทัพวิศรุฒ ด้วยอยากให้เขามาช่วยในการณ์ครั้งนี้ แต่ดูเหมือนคงไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน ยิวจึงโดนทหารลากไปยังที่แห่งใหม่ เพียงประตูห้องเปิดออก ยิวก็ถูกถีบเข้าไปข้างในทันที เขาล้มลงนอนกองกับพื้นอันสกปรก หลังจากนั้นเสียงปิดประตูห้องก็ดังขึ้น ยิวลุกขึ้นยืนปัดเนื้อปัดตัวมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่หยักใย้พันเต็มห้อง มีเพียงเตียงไม้เก่าๆ ผุๆ อยู่ข้างผนัง ไร้หมอนและผ้าห่มรวมทั้งที่นอนนุ่มๆ ยิวใจสะท้านหวาดกลัวเพราะห้องนี้มืดมิดไร้หน้าต่าง มีเพียงรูเล็กๆ ส่องเข้ามาแค่นั้น ร่างบางๆ ของยิวเดินไปยังเตียงนอนอันทรุดโทรม แล้วนั่งลงด้วยความอ่อนล้าและสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะไหลรินออกมาอย่างกับสายเลือด ภายในใจหวนคิดถึงวันวานในโลกปัจจุบันที่ไปพานพบมาอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าอันยิ้มแย้มด้วยความสะใจอยู่หน้าโน๊ตบุ๊ค สายตามุ่งอาฆาตมาดร้ายคมกริบจ้องตัวหนังสือ ก่อนที่จะใช้มือน้อยๆ บรรจงพิมพ์เรื่องราวต่อไปอีก กัสกะจัดการขั้นเด็ดขาดยิวไม่ให้เหลือซากในนิยายอีกต่อไป หลังจากแม่ทัพวิศรุฒรับปากมั่นเหมาะจะแต่งงาน เขาได้เดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีอีกครั้ง เพราะการไปครั้งนี้เขาจะจัดการทุกเรื่องให้เสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิดและเสือเข้ม แม่ทัพวิศรุฒจึงเดินทางหามรุ่งหามค่ำพร้อมเหล่าทหาร จนกระทั่งมาถึงยังชายแดนจึงตั้งหลักสร้างป้อมปราการเพิ่มเติม เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแม่ทัพวิศรุฒจึงเข้ามานั่งในค่ายที่จัดห้องไว้ให้เพียงผู้เดียว “ท่านแม่ทัพจะบุกเมืองเมฆาบุรีมื่อไรขอรับ” จอมที่อยู่เคียงข้างตลอดเอ่ยวาจาขึ้นมา “มะรืน” “ขอรับ ข้าจะได้บอกเหล่าทหารได้เตรียมตัวออกศึก” “ดีมาก ทันล่ะ” “กำลังตระเวนดูลาดเลาภายนอกค่ายขอรับ” “อืม” แม่ทัพพยักหน้าเป็นการับรู้ “แม่ทัพขอรับ คือข้า เอ่อ อยากจะถามบางเรื่องได้ไหมขอรับ” เมื่อจอมพูดจบได้ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาแม่ทัพวิศรุฒ “พูดมาเรื่องอะไร” “เรื่องของ เอ่อ องค์ชายเมธี” จอมเงยหน้ามอง “องค์ชายเมธีเหรอ ไอ้โสภณมากกว่ามั้ง” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าเปลื่ยนไปทันที “ขอรับ” “ทำไม” “ข้าอยากรู้ว่าต่อไปราชาศิลาจะทำอะไรกับโสภณขอรับ” “ข้าไม่รู้ และข้าไม่อยากคิด” แม่ทัพวิศรุฒหันหน้าไปทางอื่น “ท่านแม่ทัพมีปัญหาอะไรกับโสภณเหรอขอรับ เพราะตั้งแต่เจอเสือเข้มท่าทีท่านแม่ทัพก็เปลื่ยนไปในทันที “ข้าไม่อยากได้ยินชื่อนี้อีก เอ็งออกไปได้แล้ว ข้าอยากอยู่คนเดียว” “ขอรับ ถ้างั้นข้าขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะขอรับ” จอมหันหลังกลับรีบเดินไปอย่างไว เพราะกลัวแม่ทัพวิศรุฒจะโกรธและอารมณ์ขึ้น เมื่อจอมออกไปจนพ้นสายตา แม่ทัพวิศรุฒรู้สึกหวั่นไหวและซึมลงทันที เพราะถึงแม้จะเคืองแค้นมากเพียงใด แต่อดสงสารไม่ได้แต่เมื่อคิดถึงเรื่องเสือเข้ม อารมณ์นั้นได้หายไปเพราะเหมือนเป็นการเหยียบหน้ากัน เขายิ่งคิดยิ่งปวดใจยิ่งนักจึงพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้งไป แต่ไร้ผลเพราะภาพเสือเข้มกับยิวได้เข้ามาภายในใจและส่วนประสาทไม่หยุดหย่อน ในช่วงเวลานี้แม่ทัพวิศรุฒได้มีแต่ความเคืองแค้นอย่างมาก จนเขาไม่สามารถที่จะนั่งติดต่อไปได้ จึงรีบลุกขึ้นเดินไปดูรอบๆ บริเวณภายในค่ายทหาร เพื่อที่จะละทิ้งความรู้สึกนี้ให้จางหาย เพียงเขาออกไปเจอเหล่าทหารเดินมาเดินไป กับได้ความฮึกเหิมเข้ามาแทนทีและคาดหวังไว้ว่าจะจัดการเสือเข้มให้สิ้นซากภายในวันมะรืนศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว