อนาคตก้าวไกล สตรีใดแต่งงานด้วยย่อมมีหน้ามีตาในสังคม อีกทั้งยังมิได้แต่งทั้งอนุภรรยาหรือฮูหยินใหญ่ เรื่องคาวโลกีย์ก็ไม่มีให้เห็น ดูท่าจะเป็นบุรุษจำพวกเก็บตัว หรือไม่ก็ต้องเงียบขรึมไม่ฝักใฝ่มากราคะเหมือนบุรุษอื่นๆ ในเมืองหลวง หลิงจูคิดเช่นนั้น
“ชดเชยอันใดกัน ถ้าเจ้าชอบก็ชอบไป มิต้องมายัดเยียดให้ข้าต้องคล้อยตาม มิเช่นนั้นทรงผมเจ้า สหายผู้นี้ไม่รับประกันว่ามันจะออกมาสวยหรือไม่” ข้ากล่าวขู่นาง เพราะเริ่มติดไปในทางรำคาญเล็กน้อย จะมากล่าวยกยอบุรุษเช่นนั้นให้ฟังทำไมกัน สำหรับเขาทำดีมากมาย แต่มิอาจชดเชยความผิดที่ก่อเอาไว้ได้หรอก
“เหตุใดต้องอารมณ์เสียด้วย ข้าเพียงแค่เล่าสู่กันฟัง เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นสหายคนสนิท” หลิงจูกล่าวเสียงในคอ มองดวงหน้างามของตนเองที่ได้ผัดแป้งประทินโฉมขึ้นมาใหม่ในกระจกทองเหลืองด้วยความภูมิใจในความงามนี้
“อารมณ์เสียหรือ ข้าคร้านจะมานั่งฟังเจ้ากล่าวถึงบุรุษ” ข้าตอบ จัดการสางผมรวบขึ้นตกแต่งให้กับนาง
“สมัยก่อนยังสนทนากันถูกคอ…นี่ว่าแต่เจ้าพาข้าไปร่วมทานมื้อค่ำด้วยได้หรือไม่” หลิงจูตามองอ้อนผ่านกระจก เพื่อให้ไป๋ซิงหนี่ว์สหายตนเองเป็นแม่สื่อให้
อนาคตจะได้เป็นถึงฮูหยินขั้นหนึ่ง สำหรับอิสตรีเช่นนางนับว่าคุ้มค่ามากเหลือเกิน ยามออกงานทางสังคม หรือพบหน้าค่าตา จะได้รับการยอมรับและเป็นที่เคารพของเหล่าฮูหยินด้วยกัน
ข้ากลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึก ครุ่นคิดหาทางปฏิเสธ บนเรือยามเจอหน้ากับคุณชายจิ้นก็อึดอัดมามากพอแล้ว นี่สหายยังจะคิดใช้ข้าเป็นสะพานทอดไปหาเขาอีกหรือ ฮูยงฮูหยินขั้นนงขั้นหนึ่ง เสนาบดีบ้าบออันใดกัน ข้ามิอยากจะสนใจ แต่งกับตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวย ไร้กฎเกณฑ์มิดีกว่าหรือ
ไป๋ซิงหนี่ว์ที่เป็นลูกพ่อค้าจึงมองเห็นตัวเงินและชีวิตที่เป็นอิสระมากกว่าฮูหยินขั้นหนึ่ง แต่ก่อนนางชอบเยี่ยเปา เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้เมื่อสิบสี่ปีก่อน ตอนที่มีโจรบุกปล้นที่คฤหาสน์ตากอากาศนอกเมืองหลวง แต่มาบัดนี้เยี่ยเปาได้แต่งเข้ามาเป็นพี่เขยของนางแล้ว ถึงได้รู้ว่าชมชอบเขาในแง่ผู้มีพระคุณเสียมากกว่าเชิงชู้สาว
“ว่าไงซิงหนี่ว์ ให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่” หลิงจูเอ่ยย้ำอีกคราด้วยน้ำเสียงที่เล็กลงมากกว่าคราแรก
“ในกระโจมนั้น...มีไท่จื่ออยู่ด้วย ค่อนข้างจะไม่เหมาะสมเอาได้ มันมิเหมือนคราเจอกันที่เรือน่ะสิ” ข้าหยิบไท่จื่อขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เพราะรู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคุณชายจิ้นต่ออีก
“เฮ้อ” หลิงจูถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวขึ้นต่อ “นั่นน่ะสิ ลืมไปเสียเลยว่าตอนนั้นมันเป็นข้างนอก มิใช่สถานที่ส่วนตัวเช่นตอนนี้” นางกล่าวจบก็ใช้หัวเค้นคิดต่ออีก
“เอาเช่นนี้ก็เป็นตอนงานเลี้ยงตอนค่ำ เจ้าค่อยพาข้าไปยังกระโจมงานเลี้ยงก็ได้นี่” หลิงจูกล่าวออกมา เมื่อขบคิดหาวิธีการใหม่ได้
“หลิงจูข้าช่วยเจ้าได้ บอกเหตุผลได้หรือไม่ว่าเหตุใดต้องเข้าหาคุณชายจิ้นจริงจังเช่นนี้” ข้าเอ่ยถามนางเสียงแผ่วอย่างอ่อนใจ
“ก็…ก็” หลิงจูก้มหน้าต่ำลง มองมือที่กำอยู่บนตักตนเองอยู่พักหนึ่ง และเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าของไป๋ซิงหนี่ว์ผ่านกระจกทองเหลือง
“เก้าวันที่แล้ว ท่านพ่อเพิ่งจะให้ข้าดูตัวกับบุตรชายคนโตของซื้อวี่สื่อ แต่ทว่าที่จวนของเขามีอนุภรรยาอยู่แล้วสามคน ถึงแม้จะให้ข้าแต่งเข้าเป็นฮูหยินใหญ่ แต่มันก็น่าหนักใจอยู่ที่ต้องไปสู้รบกับอนุทั้งสามของเขา” หลิงจูกล่าวเรื่องหนักใจออกมา
“เป็นเช่นนี้เอง เจ้าถึงรีบหาบุรุษอื่นมา” ข้าเอ่ยกับนางอย่างเข้าใจ
“ซิงหนี่ว์ข้ามิไหวหรอกนะ ที่จะต้องไปแต่งงานกับบุรุษมากไปด้วยอนุภรรยาเช่นนั้น” หลิงจูหันหลังไปจับมือสหายของนางมากุมเอาไว้แน่น พร้อมเงยหน้าขึ้นมอง หวังว่าสหายนางจะเห็นใจสักเสี้ยวหนึ่งช่วยเป็นแม่สื่อแม่ชักให้กับนาง
“อาจู ข้ากับคุณชายจิ้นมิค่อยชอบพอหน้ากันเท่าใดนัก เจ้าอย่าต้องให้ข้าหนักใจเพิ่มเลย” ข้าเอ่ยตามตรง ถ้าต้องมาช่วยเหลือนางก็ไม่อาจจะเห็นผลได้หรอก
“ซิงหนี่ว์” หลิงจูกล่าวเรียกสหายอย่างผิดหวัง แล้วหันหน้ากลับไปมองกระจกทองเหลืองต่อด้วยสีหน้าคล้ำงอ
ข้าเห็นท่าทางแง่งอนของนางจึงหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ “ข้าจะทำผมให้เจ้างามที่สุดในคืนนี้ รับรองว่าบุรุษมากมายจะต้องตาในความงามของคุณหนูรองตระกูลหลิงเป็นแน่”
“มิต้องมากล่าวเอาใจข้าเลย…มิใช่ว่าทำสวยให้ข้าผู้เดียวเสียที่ไหน เจ้าเป็นสหายก็ต้องสวยไปด้วยกัน” หลิงจูฉีกยิ้มกว้างส่งไปให้
ส่วนเสี่ยวเมิ่งที่ยืนอยู่เงียบๆ ด้านหลังสาวงามทั้งสองก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย นานหลายวันได้แล้วกระมังที่นางเพิ่งเห็นรอยยิ้มที่มีชีวิตชีวาของคุณหนูรอง ยามนี้นางกำลังสนทนากับสหายอย่างสนุกสนาน ใบหน้ายิ้มแย้ม หยอกล้อกันไปมา และหัวเราะออกมาไม่หยุด ช่วยกันแต่งตัวประทินโฉมตามประสาสตรี เพื่อจะไปร่วมงานเลี้ยงยามค่ำในคืนนี้
ข้าช่วยทำผมให้หลิงจูจนเสร็จ ก็ถึงคราที่นางมาช่วยผัดแป้งแต่งหน้าให้ข้าต่อ จึงใช้ให้เสี่ยวเมิ่งไปหยิบอาภรณ์มาผลัดเปลี่ยนที่กระโจมตระกูลหลิงเสียเลย
“เสี่ยวเมิ่ง ไปหยิบอาภรณ์ในหีบข้ามาที เลือกหยิบมาสักสองสามชุดให้ข้ามาเลือกเอง”
"ได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งรับคำ แล้วรีบรุดวิ่งออกจากกระโจมไป
เสี่ยวเมิ่งกลับไปยังกระโจมก็พบเข้ากับคุณชายจิ้นที่เดินสวนนางไปทางงานเลี้ยงด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่าคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าชนกัน จนเกิดรอยย่นลึกระหว่างคิ้ว กลิ่นอายของเขายามนี้ราวกับกลุ่มควันสีดำที่ดูอึมครึมไม่น่าเข้าหาแม้แต่น้อย
รอดในเมืองหลวง คอยส่งข่าวให้พวกที่หนีรอดไป นับว่าเป็นอีกหนึ่งแผนการที่อาจจะบรรลุผลได้เช่นกัน“สั่งงานเช่นนี้หมายความว่าวันพรุ่งท่านจะไม่เข้าวังหลวงหรือขอรับ” ผู้ช่วยเขาเอ่ยถามอย่างสงสัยจิ้นฝานปรายตาไปมองผู้ช่วยของเขาก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วกล่าวออกไปเสียงเนือยๆ“เข้าไปยามบ่าย แต่ก็จัดการตามที่ข้าบอกเอาไว้ก่อน คัดคนของเราที่พอจะคล้ายพวกมันมา”ตอนเช้าเขาต้องไปดูความคืบหน้าของเรื่องโรคระบาด ที่คฤหาสน์อวี้เป็นสถานที่เอาไว้สำหรับกลุ่มคนที่เขาจัดขึ้นโดยเฉพาะ จากนั้นตอนบ่ายก็ต้องเข้าไปดูงานในวังหลวงต่อนับว่าเป็นปีที่เขาเหน็ดเหนื่อยเอาการ แต่ดีหน่อยพอกลับเรือนซือซือ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ได้หายไปหมดสิ้น ที่นั่นคล้ายกับยาชูกำลังอย่างไรอย่างนั้น“ได้เลยขอรับ” ผู้ช่วยเขากล่าว และเข้าไปจัดการงานเบื้องหน้าต่อ ต้องเก็บกวาดสถานที่นี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นจิ้นฝานมองรถม้าที่เขานั่งมาตอนเย็น สภาพดูไม่จืด ล้อหลุดออกหนึ่งข้าง ด้านข้างมีรอยดาบฟันเข้าไปลึกอยู่มาก ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเขาไม่เอะใจขึ้นมาก่อน ยามนี้ไม่เป็นเขาก็เป็นคุณหนูรองที่ได้รับบาดเจ็บแทน ดีที่
๑๕แผนการของคนซื่อม้าสีดำตัวใหญ่ก้าวเดินเป็นจังหวะไม่ช้า และไม่เร็วเกินไป เดินผ่านม่านหมอกเย็นๆ ไปตามเส้นทางของถนนที่ทอดยาว สายลมที่พัดทำให้หมอกลอยคลุ้งกระจาย คนทั้งสองไม่อาจคาดเดาว่าเป็นหมอกที่เกิดจากอะไรอาจจะเกิดจากอากาศที่เย็นลง หรือไอร้อนระเหยของพื้นถนน มันอาจจะลอยมาจากการเผาฝืนแก้หนาวของชาวบ้านก็ได้ คนทั้งสองจมูกเย็นเกินกว่าจะได้กลิ่นควันเหล่านี้ อากาศเย็นๆ หมอกขาวๆ นั่งกอดกันบนหลังม้าคงจะอุ่นกายอุ่นใจไม่น้อยช่วงเวลาแห่งการสร้างสายใยความสัมพันธ์นี้ที่ได้ถักทอขึ้นมาอย่างเงียบๆ ได้เดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลจิ้นจิ้นฝานลงจากหลังม้า และไม่ลืมที่จะยื่นแขนขึ้นไปรับฮูหยินของเขาลงมาด้านล่าง จัดแจงจับเสื้อคลุมที่บิดเบี้ยวไปด้านข้างของนางให้เข้าที่เรียบร้อย“จมูกไม่หายแดงเสียที” เขากล่าวบ่นขึ้น หลุบตามองปลายจมูกของนาง “ก็อากาศมันหนาวนี่เจ้าคะ” ข้าเบี่ยงตาไปมองทางอื่น บอกตามตรงทำตัวไม่ถูกจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็พึ่งถูกขโมยจูบ ตลอดทางพวกเราทั้งสองก็นั่งเงียบมาตลอดไม่มีการสนทนาใดๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นอีกทั้งข้ายังใจง่ายยอมให้เขากอดเช่นนั้นโดยไม่บ่น โดยไม่ว่าเลยสักคำเดียว น่าโมโหตัวข้าเองยิ่งนั
“มีอันใดรึเจ้าคะ”“มี ลองแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน” จิ้นฝามก้มหน้าลงตอบนาง“แหงนหน้าหรือ” ข้าเอ่ย แล้วทำตามที่เขาบอกมองภาพด้านบนนี้ มีริ้วสีขาวพร่างพราวลงมา ท่ามกลางพระจันทร์สีนวล นับว่าแปลกนัก วันใดที่หิมะตกไม่มีทางที่จะมองเห็นพระจันทร์ได้ มันช่างน่าอัศจรรย์มากยิ่งเงาดำเริ่มคืบคลานบดบังสายตาของข้า แทนที่ด้วยใบหน้าคุณชายจิ้น ไออุ่นสีขาวที่พ่นออกมาทางจมูก รดลงมาที่หน้าของข้า ความรู้สึกนี้เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงแค่พวกเราทั้งสองคนเท่านั้น ที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกันเมื่อหายใจเข้ารอบที่สามในขณะที่เราทั้งสองสบตากันนั้น ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาอย่างนุ่มนวล และแผ่วเบามันรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ตรงริมฝีปากข้าเอง หนวดที่ขึ้นตอสีเขียวถูลงที่คาง และมือของเขาประคองที่หัวข้าเอาไว้เป็นการจูบที่แตะลงมาเท่านั้น และนิ่งค้าง พอๆ กับความรู้สึกที่ตกใจ และตกตะลึงกับสัมผัสนี้จิ้นฝานวางปากประทับลงอยู่นานหนึ่งอึดใจ แล้วดึงหน้ากลับมาเลียริมฝีปากด้วยเอง พลางขมวดคิ้วเข้าอย่างสงสัย“ทำไมปากท่านถึงหวาน”“ข้า... ข้าดื่มข้าวหมักนํ้าผึ้งมา” ข้าตอบพลางหายใจหอบ แต่ทว่ามือของคุณชายจิ้นยังประคองเอาไว้ที
อี๋เสี่ยวควนคั่วได้ยินล่ามแปลประโยคที่จิ้นฝานกล่าวก็ยิ่งขบขันเข้าไปใหญ่ แบบนี้ในเผ่าของเขาเรียกว่ากลัวภรรยา แต่ถ้าเสนาบดีจิ้นเอ่ยออกมาเช่นนี้เขาก็จะเชื่อว่าแค่เกรงใจนางเท่านั้นเมื่อคิดเช่นนั้นก็หันไปมองโต้วตู่จื่อที่นั่งอยู่ เห็นตัวเล็กบอบบางคงจะร้ายไม่น้อยตอนอยู่ที่บ้าน ถึงกับทำให้บุรุษที่ขึ้นชื่อเป็นพยัคฆ์คู่ฝ่ายขวาของแคว้นซิ่นหมอบลงได้งานเลี้ยงดำเนินไปจนจบลง จิ้นฝานสั่งการลูกน้องตัวเองสองสามประโยค จากนั้นถึงจะเดินไปรับฮูหยินน้อยที่ยืนรํ่าลาเหล่าฮูหยินทั้งสามคน ก่อนจะหมุนกายกลับมาหาเขาสีหน้าของนางเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มใดๆ ปรากฏให้เห็นมีเพียงคิ้วได้รูปที่กดตํ่าลงเหมือนไม่ชอบใจอะไรในตัวเขาขณะนี้“ฮูหยินน้อยมานี่มา” จิ้นฝานเอ่ยเรียกนาง ยื่นมือออกไปด้านหน้ารอให้นางจับ“…….” ข้ามองหน้าคุณชายจิ้น เหตุใดต้องให้สาวงามใช้ซาลาเปาคู่มานั่งถูไถได้หน้าตาเฉย เขามียางอายบ้างหรือไม่!ดูท่าโต้วตู่จื่อนี้จะดื้อเอาเรื่อง จิ้นฝานมองไป๋ซิงหนี่ว์อย่างอ่อนใจ และเดินเข้าไปใกล้ก้มหน้าลงกล่าวเสียงแผ่ว“ขากลับจะควบม้ากลับกัน แต่ว่าข้าขอเสื้อคลุมของท่านได้หรือไม่ เอาไว้จะหาซื้อตัวใหม่มาคืนให้”“ข้าไม่เข้าใจ..
“นํ้าข้าวหมักนํ้าผึ้งนี้ ได้ยินขันทีกล่าวว่าเผ่าอิงคาขนมา” ฮูหยินหลันกล่าว พลางยกขึ้นจิบรสชาติหวานปลายลิ้นของมันในแก้ว“รสชาติเป็นเช่นไรบ้างฮูหยินหลัน” ฮูหยินที่นั่งด้านทางขวาเอ่ยถาม“รสชาติดี กินง่ายเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันเอ่ยตอบ“นํ้าข้าวหมักนี้กินแล้วเมาหรือไม่” ถึงตาข้าเอ่ยถามบ้าง อยากจะลองกิน แต่กลัวจะเมาเหมือนครั้งที่แล้ว“ไม่เมาเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันหันไปตอบอย่างมั่นใจข้ามองสีหน้าของฮูหยินหลันอย่างชั่งใจอยู่มาก อะไรหมักๆ ไม่อยากกินเข้าปากเลย แต่กลิ่นมันหอมข้าวอ่อนๆ จะไม่ลองก็กระไรอยู่ ประเดี๋ยวจะเสียเที่ยวเอาได้ มิใช่ว่าจะหาดื่มของแปลกต่างถิ่นได้เช่นนี้ ว่าแล้วก็ค่อยๆ จิบตามที่คุณชายจิ้นบอกเอาไว้ละกันเสียงกลองแผ่วลง พวกนางรำของเผ่าอิงคาก็เข้าไปนั่งลงตามโต๊ะขุนนาง และบุรุษในงานเลี้ยง ข้ามองตามสะโพกงอนงาม ตามจังหวะการก้าวเท้าเดินไปด้วยของพวกนางแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสาวงามหนึ่งในนั้นดวงหน้าคมเข้ม เดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างคุณชายจิ้นจากนั้นนางก็เอื้อมมือไปหยิบจอกสุราขนาดใหญ่รินลงไปให้เขา แล้วยื่นขึ้นไปป้อนถึงปาก ข้าหรี่ตาลงมองให้ชัดเจน อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อจิ้นฝานหลุบตาลงมองจอกสุราส
“ฟางซายจือ เหลียงเหลง หวู่ต้าตั๋ว ดานตรง ซีจงจึ่ย ฮ่างซี” อี๋เสี่ยวควนคั่วตอบออกไป พร้อมกับชูจอกสุราสีทองให้จิ้นฝาน“ท่านอี๋เสี่ยวกล่าวว่า ดีมาก แต่ขาดการระบำ และสาวงาม แต่สุรานี้อร่อยถูกปากเขานัก” ล่ามภาษาได้แปลออกมาให้ท่านเสนาบดีจิ้นฟัง“บอกเขาว่าไม่นานเกินรอ” จิ้นฝานเอ่ยขึ้นต่อ“จางไจ่ บู่ลู่” ล่ามหันไปแปลให้อี๋เสี่ยวควนคั่วฟังอย่างรวดเร็วอี๋เสี่ยวควนคั่วที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตบหน้าตักตัวเองไปหนึ่งที แล้วกล่าวออกมาเป็นภาษาถิ่นของแผ่นดินหยวนโปวที่เขาพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่เก่งจนสนทนากันได้อย่างเข้าใจ และฉะฉาน“เยี่ยม เยี่ยม!”จิ้นฝานพยักหน้ารับอี๋เสี่ยวควนคั่ว หันไปมองกลุ่มคนพิเศษ ที่เขาจัดขึ้นมาเพื่อหาวิธียุติโรคระบาดชายแดน หนึ่งในนั้นก็มีเจิ้งหรินอี้ด้วยเช่นกัน กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง จากนั้นก็กวาดตามองฮูหยินน้อยของเขาว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหนเขามองเห็นสาวงามเด่นสะดุดตา เพราะเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวที่ฟูฟ่อง กำลังยืนสนทนากับสตรีนางอื่นอีกสี่คน แล้วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะน้อยๆ ออกมา“ยินดีด้วยนะเจ้าค่ะ ที่ได้เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งแล้ว งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งที่แล้วข้า