๔
นี่แม่ข้าเอง
บรรยากาศภายในห้องรับแขกเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน บุคคลภายในห้องมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้า
หญิงหนึ่งชายสี่!
ตามหลักการแล้วควรจะเป็นสตรีที่ต้องเกร็งเมื่อต้องอยู่ร่วมกับบุรุษหลายคน แต่ในกรณีนี้ ‘ไม่’
สตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องจ้องหน้าชายหนุ่มทั้งสามอย่างสำรวจ คนถูกจ้องรู้สึกร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่
“ท่านแม่ เลิกจ้องพวกเขาเถอะขอรับ พวกเขาเกร็งกันหมดแล้ว”
หลันเฟิงไม่รู้จะหัวเราะหรือว่าจะสงสารสหายดี
หลังจากที่แยกย้ายกับเฉียนจิ่นหง หลันเฟิงก็พาชุนเอ๋อร์ไปยังเรือนขนาดกลางหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงเตี๊ยมพอสมควร
สหายทั้งสามไม่เชื่อว่าชุนเอ๋อร์คือมารดาของเขา ทว่าหลันเฟิงคร้านจะอธิบายจึงได้แต่แนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน
“ท่านแม่ขอรับ นี่คือโจวฉือเหอ จางจงกว่าน เกาจี้เฉิน”
หลันเฟิงแนะนำพวกเขาตามลำดับเก้าอี้ที่นั่งล้อมโต๊ะอยู่
โจวฉือเหอมีบุคลิกสุภาพ ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
จางจงกว่านดูเป็นคนขี้เล่นเข้ากับคนอื่นง่าย
เกาจี้เฉินเป็นคนนิ่ง ๆ ลักษณะคล้ายหลันเฟิง ต่างกันตรงที่เกาจี้เฉินเงียบมาก ตั้งแต่เข้ามาในนั่งในห้อง ชุนเอ๋อร์ยังไม่ได้ยินเสียงพูดเลยแม้แต่คำเดียว
“ในเมื่อเป็นสหายของเฟิงเอ๋อร์ เช่นนั้นเรียกข้าว่าแม่ก็ได้”
ชายหนุ่มทั้งสามชะงักไป พวกเขาต่างคิดไปในทางเดียวกันว่า
ให้เรียกนางว่าแม่หรือ มันจะกระดากปากไปหรือไม่
“เอ่อ…คงไม่เหมาะขอรับ”
โจวฉือเหอเป็นคนกล่าวขึ้นมาก่อน ในความคิดของเขา แม้จะเป็นสหายแต่ก็ยังเป็นลูกน้องด้วย จะเรียกท่านแม่ก็คงไม่เหมาะ อีกอย่างใบหน้านางอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้
ใครจะกล้าเรียก!
ชุนเอ๋อร์เห็นสีหน้าลำบากใจของพวกเขาก็ไม่ได้คะยั้นคะยอ
“เช่นนั้นให้เรียกว่าอะไรดี”
ในความคิดของสามหนุ่ม จะเรียกอะไรก็ไม่ติด ขอเพียงไม่เรียกมารดาก็พอ!
หลันเฟิงเห็นทุกคนยังติดปัญหาที่คำเรียกจึงได้เสนอ
“เช่นนั้นให้พวกเขาเรียกท่านว่าเสี่ยวกูกุ[1]ดีหรือไม่”
หลันเฟิงไม่อยากให้ใครรู้ว่าชุนเอ๋อร์เป็นมารดาของเขา เรื่องนี้รู้กันให้น้อยเท่าไรได้ยิ่งดี
ต้องปิดจุดอ่อนเอาไว้!
“เข้าท่า เช่นนั้นต่อจากนี้เสี่ยวเหอ เสี่ยวกว่าน เสี่ยวเฉินเรียกข้าว่าเสี่ยวกูกุนะ”
บุรุษทั้งสามหน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ พวกเขาสามคนเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรมา รู้สึกไม่ชินที่โดนเรียกแบบนี้
“พวกเจ้าตามใจท่านแม่เถอะ!” ประโยคนี้แฝงความกดดันไม่น้อย ชายหนุ่มทั้งสามทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยคำว่า
“ก็ได้/แล้วแต่/ตามสบายขอรับ” ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน
ชุนเอ๋อร์ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเอ็นดู “น่ารักจริง ๆ”
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์พาท่านไปดูห้องพักในคืนนี้ดีหรือไม่”
หลันเฟิงเสนอ เพราะจะได้หาเวลาตกลงกับสหายเรื่องสถานะใหม่ของเขา ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่เข้าที่ หลันเฟิงยังไม่อยากให้มารดาทราบสถานะที่แท้จริงของเขา
“ได้”
หลันเฟิงพยุงชุนเอ๋อร์ขึ้นจากเก้าอี้พากันเดินออกจากห้องนี้ไป
“ท่านแม่หิวหรือไม่”
“แม่ไม่ทานมื้อค่ำมานานแล้ว ไม่หิวเลย”
เมื่อเสียงของสองแม่ลูกห่างออกไปจนไม่ได้ยินแล้ว สามหนุ่มที่อยู่ในห้องก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
จางจงกว่านกล่าวด้วยความสงสัย
“ไม่คิดว่ามารดาของท่านประมุขอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ พวกเจ้าเชื่อว่าเป็นมารดาเขาจริงหรือไม่”
เห็นสีหน้าของสหายทั้งสอง จางจงกว่านก็ทราบแล้วว่าทั้งคู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พวกเขาหน้าคล้ายกันกว่าแปดส่วน”
“หรือจะเป็นพี่สาวล่ะ พี่สาวก็หน้าคล้ายกันได้ ท่านประมุขกลัวพวกเราเกี้ยวนางเลยโกหกว่าเป็นมารดา”
เกาจี้เฉินมองจางจงกว่านด้วยหางตา “ท่านประมุขไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”
โจวฉือเหอเอ่ยต่อ “หรือต่อให้ทำจริง ก็คงเพื่อปกป้องนางออกห่างเจ้า”
“นี่พวกเจ้า!”
“หรือไม่จริง”
จางจงกว่านชี้หน้าสหายเพราะถูกปรักปรำว่าเป็นคนเจ้าชู้ แต่เมื่อเถียงกลับไม่ได้ก็สะบัดหน้าใส่
“เหอะ!”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจนกระทั่งหลันเฟิงเดินเข้ามาในห้องกอดอกมองคนที่อายุน้อยกว่าตนไม่กี่ปี
“พวกเจ้าคลางแคลงใจสินะ”
“ขออภัยท่านประมุข แต่มันดูน่าเชื่อถือยากไปหน่อย”
โจวฉือเหอสบตาหลันเฟิงไม่หลบหลีก ไม่ใช่ไม่อยากเชื่อ แต่พยายามเชื่อแล้วแต่เชื่อไม่ลง
หลันเฟิงกล่าวความในใจ...
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านแม่จะมีความสามารถเช่นนี้ รวมถึงท่านลุงเฉียนด้วย”
“บุรุษที่อยู่กับนางใช่หรือไม่”
จางจงกว่านถามหลันเฟิงจึงพยักหน้ารับ
“ท่านประมุขกำลังสงสัยสิ่งใดอยู่หรือ”
หลันเฟิงมองหน้าโจวฉือเหอแล้วตอบ
“ชาติกำเนิดมารดาข้าอาจจะไม่ธรรมดา คงเกี่ยวกับท่านลุงเฉียนไม่มากก็น้อย”
“จะสืบหาหรือไม่”
“ทางให้สืบหามีอยู่ แต่ข้าไม่ทำ!”
หลันเฟิงพลันมีแววตาอำมหิต พวกเขาเคยเห็นแววตาเช่นนี้จากหลันเฟิงมาก่อนตอนที่พูดถึงบิดา
“สี่คนนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” หลันเฟิงรีบปรับอารมณ์แล้วกลับมาคุยเรื่องงานต่อ
“ขอรับ เด็ก ๆ มารับกลับไปที่พรรคสาขาใหญ่แล้ว”
หลันเฟิงพยักหน้ารับ อารมณ์ของเขาในตอนนี้ต่างจากตอนอยู่กับมารดาลิบลับ
ตอนอยู่กับชุนเอ๋อร์ยังมีความอ่อนโยนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีแต่ความเย็นชาแผ่ออกมาจากร่างสูง
“ถ้าพวกมันไม่ยอมสารภาพก็ไม่ต้องเค้นให้เสียเวลา จัดการโยนลงทะเลเสีย จะรอดหรือไม่แล้วแต่เวรกรรม คนที่ไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงไว้ให้เสียข้าวสุก”
“ขอรับ”
“หากท่านแม่ถามว่าพวกเราทำงานอะไร บอกนางไปว่ารับจ้างคุ้มกันภัยก็พอ ข้าไม่อยากให้นางรู้เรื่องที่ข้าเป็นประมุขพรรคมาร”
“ขอรับท่านประมุข”
[1] กูกุ หมายถึง หมายถึง ป้า,น้า ใส่คำว่า ‘เสี่ยว’ ที่แปลว่า เล็ก,น้อย เข้าไปจะให้ความอ่อนเยาว์มากขึ้น