๕
ลูกของท่านแม่
เช้าวันต่อมาอากาศชื้นมาก เนื่องจากเมื่อวานฝนตกตั้งแต่ตอนเย็นลากยาวมาถึงรุ่งเช้าของอีกวัน เรือนป่าไผ่แห่งนี้จึงมีหมอกปกคลุมหนาแน่น บรรยากาศหนาวเย็นจนชุนเอ๋อร์ไม่อยากลุกจากที่นอน
“ขออีกนิดก็แล้วกัน”
ชุนเอ๋อร์พึมพำ ดวงตายังคงหลับพริ้มก่อนที่จะจมเข้าสู่นิทรา รู้สึกตัวตื่นอีกคราก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียก
“ท่านแม่ขอรับ ตื่นหรือยังขอรับ”
เสียงเรียกจากหน้าห้องทำให้ชุนเอ๋อร์จำใจต้องลุกจากเตียง
อายุยี่สิบปีแรกของชีวิต นางคิดว่าตัวเองอยู่ในนรกเพราะไม่เคยพบสวรรค์ที่แท้จริง เพิ่งมาค้นพบสวรรค์ก็ตอนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในหมู่บ้านสาวสองพันปี
“อยู่คนเดียวมานานหลายปีจนชิน ต่อไปนี้ข้าต้องปรับตัวแล้ว”
การอยู่คนเดียวเป็นอิสระมาก ไม่ต้องตื่นแต่เช้าขึ้นมาปรนนิบัติสามี เอาใจฮูหยินผู้เฒ่า ควบคุมบ่าวไพร่ ระวังฮูหยินรองและอนุ
พอหลันเฟิงไปฝึกวิชาต่างแดนทำนางให้ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาเป็นสิบปี นางไม่ต้องหุงหาอาหารไว้ให้ใคร ไม่ค่อยได้ใช้แรง ดังนั้นตอนเช้าทานไข่ต้มหนึ่งฟองก็อยู่ได้ถึงเที่ยง
“ท่านแม่ขอรับ”
หลันเฟิงเรียกชุนเอ๋อร์อีกครั้งนางจึงหยิบชุดตัวนอกมาใส่ เรียบร้อยแล้วค่อยเดินไปเปิดประตูให้บุตรชาย
“แม่ตื่นสายหรือ”
ปกติชุนเอ๋อร์ไม่ได้ทำผมแบบสตรีที่ออกเรือนไปแล้ว นางปักปิ่นสวยงามแบบหญิงสาววัยปักปิ่นทั่วไป ผู้คนจึงเข้าใจว่านางยังไม่ได้แต่งงาน ยิ่งยามนี้ปล่อยผมยาวดำขลับสยายละแผ่นหลังยิ่งดูอ่อนเยาว์
“ยังไม่สายมากขอรับ เฟิงเอ๋อร์เห็นท่านแม่ยังไม่ออกมาจากห้องเสียทีจึงเป็นกังวล”
“ต่อไปแม่จะตื่นมาหุงหาอาหารให้เจ้าแต่เช้า”
ชุนเอ๋อร์แสดงสีหน้ากังวลไม่น้อย หลันเฟิงจึงรีบเอ่ยว่า
“ท่านแม่ไม่ต้องลำบากขอรับ ทำตามที่ท่านแม่เคยชินเลย ต่อไปนี้เฟิงเอ๋อร์จะดูแลท่านแม่เอง”
เห็นมารดาทำหน้าเจื่อนทีไรเขารู้สึกไม่สบายใจทุกครั้ง นางมีผลต่ออารมณ์เขามากจริง ๆ
“แล้วตอนนี้อาหารพร้อมหรือยัง”
“เตรียมเรียบร้อยแล้ว ท่านแม่รีบตามมานะขอรับ”
“จ้ะ”
เมื่อหลันเฟิงหมุนตัวเดินจากไป ชุนเอ๋อร์ถึงได้ปิดประตูแล้วลงกลอนไว้ นางเข้าไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จากนั้นก็เดินมานั่งทำผมอยู่หน้ากระจก
“เฟิงเอ๋อร์บอกว่าเจ้านายซื้อเรือนหลังนี้เอาไว้ให้ลูกน้องได้เข้าพักตอนปฏิบัติงาน หลังใหญ่ขนาดนี้เงินถุงเงินถังมากกระมัง ไหนจะเงินค่าเสียหายตอนปฏิบัติงานอีก”
ชุนเอ๋อร์นึกถึงหน้าเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเมื่อวานตอนได้รับถุงเงิน ในขณะเดียวกันก็หวีผมตามองกระจก เมื่อปักปิ่นบนศีรษะแล้วก็สำรวจของในลิ้นชัก
“มีเครื่องประทินโฉมด้วย เฟิงเอ๋อร์ใส่ใจนัก เพิ่งซื้อมาให้ข้าแน่”
โถงรับประทานอาหาร...
“เสี่ยวกูกุยังไม่ตื่นหรือขอรับท่านประมุข”
“เรียกข้าว่าเหล่าต้า[1]”
หลันเฟิงกล่าวเสียงเข้มทำให้จางจงกว่านที่กำลังแอบทานข้าวเช้าไปก่อนถึงกับสำลักไปเลยทีเดียว
“แค่ก ๆ ขออภัยขอรับ เหล่าต้า”
โจวฉือเหอเอื้อมมือไปลูบหลังให้จางจงกว่าน ส่วนเกาจี้เฉินมองเขาด้วยหางตาแล้วส่ายหน้า จนเวลาผ่านไปสักพัก ชุนเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาในโถงรับประทานอาหาร
“เสี่ยวกูกุมาแล้ว”
ชุนเอ๋อร์ยิ้มให้ทุกคนอย่างสดใส สมาชิกในบ้านเพิ่มขึ้นทำลายความเงียบสงบที่นางชอบ แต่ชุนเอ๋อร์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับการมีพวกเขาเพิ่มเข้ามา
“เสี่ยวกูกุหลับสบายดีหรือไม่ขอรับ”
โจวฉือเหอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ มือหนายกกาชาขึ้นมาเทใส่ถ้วยแล้วยื่นให้ชุนเอ๋อร์
“หลับสบายดีมาก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่ฉุนเกินไป”
หลันเฟิงดีใจที่มารดาชอบ ของตกแต่งทุกชิ้น ของใช้ทุกอย่าง เขาตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้นาง เรือนหลังนี้เขาก็จ่ายเงินส่วนตัวซื้อไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
เพราะหมู่บ้านสาวสองพันปีมีแต่สตรี เขาคิดว่าคงไม่เหมาะหากบุรุษโตเต็มวัยเช่นเขาจะเดินเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ตลอด
ที่สำคัญเรือนหลังนี้ตั้งใจซื้อไว้ให้นางแล้วชวนย้ายมาอยู่ที่นี่ เขายังมีธุระที่แคว้นถูอีกมาก กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จก็คงใช้เวลาอีกเป็นเดือน
“กับข้าวน่าทานมาก ใครทำหรือ” กลิ่นหอมของอาหารโชยเข้าสู่จมูกจนชุนเอ๋อร์อยากทราบตัวพ่อครัว
“เสี่ยวกูกุลองทายสิขอรับ”
จางจงกว่านถามด้วยท่าทางซุกซน ชุนเอ๋อร์จึงตกใจ เพราะตอนแรกนางเดาว่าพวกเขาซื้อมากจากตลาด แต่พอเป็นหนึ่งในสี่ทำ นางจึงรู้สึกประหลาดใจมาก
“เสี่ยวเหอหรือ”
หน้าตาและภาพลักษณ์ของโจวฉือเหอดูเป็นคนที่สามารถทำอาหารได้มากที่สุดแล้ว
จางจงกว่านหัวเราะ ไม่วายกระทบกระทั่งสหาย
“เสี่ยวกูกุโดนหน้าตาสะอาดสะอ้านของเจ้านี่หลอกเอาเสียแล้ว เสี่ยวเหอของท่านหุงข้าวยังไม่สุกเลย”
“เสี่ยวกูกุก็หุงข้าวไหม้”
ชุนเอ๋อร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มชะงักไปก็ฉีกยิ้มกว้างให้เขา
จางจงกว่านถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง ในความรู้สึกของเขาพอชุนเอ๋อร์ทำหน้านิ่งแล้วไม่ต่างจากหลันเฟิงในร่างสตรีเลย
“สรุปแล้วใครเป็นคนทำ”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังเกาจี้เฉินเป็นตาเดียว เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารสบตาชุนเอ๋อร์ ตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอันเป็นเอกลักษณ์
“ข้าทำเอง”
ชุนเอ๋อร์ตกใจที่คนหน้านิ่งอย่างเขาสามารถทำอาหารได้ และตกใจยิ่งกว่าที่อีกฝ่ายมีเนื้อเสียงเช่นนี้ ในใจคิด...
เพราะไม่ค่อยพูดเสียงจึงแหบ หรือว่าไม่ค่อยพูดเพราะเสียงแหบ
“คนเราจะดูที่รูปกายภายนอกอย่างเดียวไม่ได้นะขอรับเสี่ยวกูกุ อย่างเช่นที่พวกเราเตะต่อยเมื่อวาน ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเราจะเป็นอันธพาล”
ชุนเอ๋อร์มองหน้าจางจงกว่านสลับกับหลันเฟิง ในใจคิด...
คงไม่ได้เตรียมกันมาใช่หรือไม่ แต่เดี๋ยวนะ!
“เสี่ยวกว่านใช่ชายชุดดำคนแรกที่เข้ามาในโรงเตี๊ยมหรือไม่”
“ใช่ขอรับ!”
จางจงกว่านดีดนิ้วแล้วยิ้มให้ชุนเอ๋อร์อย่างน่ารัก ชุนเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นจึงยิ้มให้กับท่าทางน่ารักสดใสของเขา
เหมือนข้ามีบุตรเพิ่มเลย
“ทานข้าวกันเถอะ”
หลันเฟิงเอ่ยชวนทุกคน หลังจากนั้นเสียงสนทนาบนโต๊ะอาหารตกเป็นของชุนเอ๋อร์และจางจงกว่านเสียส่วนใหญ่
คนอื่นเพียงแค่ฟังพวกเขาพูดคุยแล้วร่วมสนทนาเพียงบางประโยคเท่านั้น
“ปกติเสี่ยวกูกุทานอาหารเช้ากับอะไรหรือขอรับ”
ชุนเอ๋อร์เงียบไป ครั้งนี้นางไม่ได้ตอบจางจงกว่านในทันที
บุรุษทั้งหลายบนโต๊ะอาหารจึงเงยหน้ามองก็เห็นว่านางกำลังเคี้ยวอาหารอยู่
“ท่านแม่ ไม่ต้องรีบขอรับ”
หลันเฟิงหยิบผ้าเช็ดมุมปากให้ชุนเอ๋อร์ แอบดีใจไม่น้อยเมื่อตนได้เป็นฝ่ายทำหน้าที่นี้ให้มารดาบ้าง
เมื่อชุนเอ๋อร์กลืนอาหารลงคอแล้วก็เอ่ยตอบ
“เคี้ยวอาหารจนเหนื่อยเลย ปรกติเสี่ยวกูกุไม่ค่อยได้ทานเนื้อหากต้องใช้แรงจะทานไข่ต้มหลายฟอง แต่วันไหนที่ไม่ได้ทำอะไรจะทานตอนเที่ยงแค่มื้อเดียว ผักสด แตง มะเขือเทศ...”
หลันเฟิงขมวดคิ้ว เมื่อวานมารดาบอกเขาว่าไม่ทานมื้อเย็น วันนี้มาบอกเขาอีกว่าไม่ทานมื้อเช้าด้วย
“ท่านแม่…” ลำบากจนต้องอดมื้อกินมื้อเลยหรือ
ชุนเอ๋อร์หันไปมองหน้าบุตรชาย เห็นเขาทำหน้ารู้สึกผิดจึงคิดทบทวนว่าตนกล่าวสิ่งใดออกไป
หรือเขากังวลที่ข้าทานแต่ผักไม่ทานเนื้อ
“เฟิงเอ๋อร์ แม่สบายดี ที่ไม่ค่อยทำอาหารปลุกสุกทานเพราะว่า เอ่อ เพราะว่า…”
“เพราะอะไรขอรับ”
หลันเฟิงเอื้อมมือมาจับแขนชุนเอ๋อร์แน่นพร้อมจ้องหน้านางด้วยสายตาคาดคั้น
“ขี้เกียจ”
จางจงกว่านรีบเอามือปิดปากกันข้าวกระเด็นออกจากปากเพราะหลุดหัวเราะ ในใจคิด...
ที่แท้เสี่ยวกูกุเป็นคนตลก!
เมื่อทราบเหตุผลการอดมื้อกินมื้อ หลันเฟิงถึงกับไปไม่เป็น
ดวงตาคู่คมหลับลงแล้วถอนหายใจ ไม่คิดว่ามารดาจะขี้เกียจถึงขั้นไม่ทำอาหารให้ตนเองทาน
ชุนเอ๋อร์รีบแก้ต่างให้ตัวเอง เพราะไม่อยากให้บุตรชายและสหายเข้าใจตนในแง่ลบ
“เฟิงเอ๋อร์ ทานผักสดดีต่อสุขภาพนะ ไม่ต้องสิ้นเปลืองถ่าน ไม่ต้องปรุงรส อยู่อย่างสมถะ”
หลันเฟิงพยักหน้ารับแต่กลับถอนหายใจ
ครั้งนี้เขาจะยอมนางไปก่อน ว่างเมื่อไรจะซักฟอกนางให้สะอาดว่าสิบปีที่ผ่านมานี้ใช้ชีวิตอย่างไร
ชุนเอ๋อร์ไม่อยากสนทนาในหัวข้อนี้แล้วจึงได้เปลี่ยนเรื่อง
“เฟิงเอ๋อร์ เมื่อไรจะไปส่งแม่กลับหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าลูก ๆ ของแม่จะร้องไห้เพราะความหิวโหยกันอยู่หรือไม่”
หลันเฟิงใจหายเมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูก’ จากปากมารดา
ในใจคิด...นี่ข้ามีน้องหรือ
...ที่สำคัญยังเป็นลูก ๆ ด้วย!
[1] เหล่าต้า หมายถึง ลูกพี่